ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 204 ยืมมีดฆ่าคน
และเดิมทีความรักที่จวินฉีเซิ่งมีต่อนาง ในใจนางรู้นานแล้ว เกรงว่าคงไม่เท่ามู่หรงอี๋ด้วยซ้ำ
นี่ถือว่าทิ่มแทงเข้าไปในส่วนที่เจ็บของฉินโม่เอ๋อร์ ก่อนที่นางจะมาแคว้นฉี พ่อแม่ก็เคยกล่าวเตือนแล้วว่า จะให้จวินฉีเซิ่งรู้สึกว่าตัวเองหมดประโยชน์แล้วไม่ได้อย่างเด็ดขาด ทันทีที่สูญเสียคุณค่าไป นางก็จบเห่ไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
คนที่สูญเสียคุณค่า ก็จะเป็นเหมือนหมากที่ถูกทอดทิ้ง สิ่งที่นางต้องเผชิญก็มีแต่ความโดดเดี่ยวเดียวดายไปจนตายเท่านั้น
มู่หรงอี๋เกี่ยวมุมปากขึ้นมาเล็กน้อย นางทำให้ฉินโม่เอ๋อร์ตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ ย่อมมีเจตนาอย่างอื่นอยู่แล้ว
ขอเพียงทำให้ฉินโม่เอ๋อร์รู้ว่ากู้ชิวเหลิ่งขวางทางของนาง ก็เพียงพอที่จะทำให้ฉินโม่เอ๋อร์ลงมือกับกู้ชิวเหลิ่งแล้ว
ถึงแม้ว่ากู้ชิวเหลิ่งจะเป็นคนที่มีความคิดละเอียดรอบคอบ ก็ไม่สามารถสกัดกั้นการโจมตีที่ปะปนมาทั้งในที่แจ้งและในที่ลับเช่นนี้อย่างเด็ดขาด
นางไม่เชื่อหรอกว่า กู้ชิวเหลิ่งจะสามารถออกจากแคว้นฉีไปได้อย่างปลอดภัย
ในที่สุดฉินโม่เอ๋อร์ก็เอ่ยปากกล่าวขึ้นมาว่า: “ความหมายของกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง หม่อมฉันเข้าใจแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนี้หนิงจวิ้นจู่คือคนที่อยู่ในใจของฝ่าบาท หม่อมฉันควรจะทำเช่นไร ถึงจะสามารถดึงหัวใจของฝ่าบาทกลับมาได้?”
“วิธีน่ะมันมีอยู่มากมาย ต้องการจะให้ฝ่าบาทเก็บใจกลับมายังไม่ง่ายหรือ? ถ้าหากกู้ชิวเหลิ่งไม่ใช่สาวพรหมจรรย์แล้ว หรือบางทีอาจจะตายโดยไม่คาดคิด เช่นนั้นหัวใจของฝ่าบาทก็ย่อมกลับคืนมาอยู่แล้ว”
มู่หรงอี๋พูดออกมาอย่างเปิดเผยไม่มีปิดบังเลยแม้แต่น้อย เพราะภายในตำหนักนี้ ทุกคนล้วนเป็นคนสนิทของนาง ถ้าหากหลังจากนี้ฉินโม่เอ๋อร์ก้าวผิดไปโดยไม่ได้ตั้งใจแม้แต่น้อยนิด นางยังมีความสามารถปิดปากฉินโม่เอ๋อร์ไปซะ
ฉินโม่เอ๋อร์เหมือนกับตัดสินใจได้แล้ว กล่าวว่า: “หม่อมฉันเข้าใจแล้ว ขอบพระทัยกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงที่ชี้แนะ หม่อมฉันนึกขึ้นมาได้ว่าในตำหนักยังมีธุระให้ต้องจัดการ ขอตัวลาไปก่อนแล้ว”
มู่หรงอี๋พยักหน้า กล่าวว่า: “เวลาก็ไม่เช้าแล้ว ข้ายังอยู่ในช่วงกักบริเวณอยู่ ไม่ส่งน้องสาวแล้ว หวังว่าน้องสาวจะระมัดระวังระหว่างทาง”
“เพคะ”
ฉินโม่เอ๋อร์ออกไปทางด้านนอกตำหนัก นางรู้เจตนาของมู่หรงอี๋นานแล้ว แต่กลับยังต้องพูดกับมู่หรงอี๋เช่นนี้ เดิมก็เพื่อแสดงความเป็นมิตรอยู่แล้ว ตอนนี้นางยิ่งรู้ความคิดของมู่หรงอี๋มากขึ้นแล้ว นี่มันหวังดีต่อนางตรงไหน เห็นได้ชัดว่านางดูออกแล้วว่าตอนนี้กู้ชิวเหลิ่งคือคนที่อยู่ในหัวใจของจวินฉีเซิ่ง ดังนั้นถึงได้สับสนวุ่นวายขึ้นมา
ถ้าหากว่านางฆ่ากู้ชิวเหลิ่ง เช่นนั้นจะไม่ใช่การล่วงเกินจวินฉีเซิ่งหรอกหรือ? นางก็ไม่ได้โง่ จวินฉีเซิ่งเป็นราชาแห่งแคว้น ต้องการจะสืบเรื่องราวให้ชัดเจนมันง่ายดายขนาดไหน? นางจะไปเป็นผู้ที่รับเคราะห์แทนคนนี้ไม่ได้เด็ดขาด
ฉินโม่เอ๋อร์รีบเร่งกลับไปถึงตำหนักบรรทมของตัวเอง ระหว่างทางเห็นนางกำนัลที่กุมหน้าครึ่งหนึ่งที่บาดเจ็บเอาไว้ กระซิบกับนางกำนัลอีกคนหนึ่งว่า: “วันนี้องค์หญิงน้อยอารมณ์เสียอีกแล้ว ก็ยังเป็นเพราะจวิ้นจู่คนนั้น……”
“ชู่ เจ้าเบาเสียงลงหน่อย ตอนนี้ในวังแห่งนี้ ใครยังกล้าพูดว่าร้ายจวิ้นจู่แม้แต่ครึ่งคำ?”
“ข้าว่าวี่เฟยเหนียงเหนียงตัดสินใจแล้วว่าจะจัดการจวิ้นจู่คนนี้ องค์หญิงน้อยคือสมบัติล้ำค่าที่อยู่ในใจของวี่เฟยเหนียงเหนียงมาโดยตลอด ครั้งนี้จวิ้นจู่แห่งต้าเยียนคนนั้นอนาถแน่”
ฉินโม่เอ๋อร์ฟังอย่างรู้บ้างไม่รู้บ้าง ในใจคิดอยู่ว่า นี่มันโอกาสที่สวรรค์ประทานให้ชัดๆ
“ฮึ ใครใช้ให้กู้ชิวเหลิ่งคนนี้มาถึงวังหลวงของแคว้นฉีแล้วก็เริ่มตั้งตัวเป็นศัตรูไปคนไปทั่ว? ล่วงเกินวี่เฟยแห่งเหมียวเจียงคนนั้นแล้ว ยังจะมีผลดีอะไรได้?”
ฉินโม่เอ๋อร์เผยรอยยิ้มเย้ยหยันออกมาเล็กน้อย ถึงแม้นางจะไม่รู้วิธีการของวี่เฟย แต่ก็รู้ถึงความร้ายกาจของพิษกู่ ทั่วทั้งวังหลังของแคว้นฉีแห่งนี้ ใครก็ไม่มีความสามารถให้กำเนิดลูกให้กับจวินฉีเซิ่งได้ มีเพียงวี่เฟยคนนี้เท่านั้นจะเห็นได้ว่าวิธีการของวี่เฟยไม่ได้ด้อยไปกว่ามู่หรงอี๋
มีวี่เฟยอยู่ นางยังต้องกังวลเรื่องการลงมือด้วยตัวเองอีกหรือ?”
เวลานี้กู้ชิวเหลิ่งกำลังนั่งอยู่ในห้อง จู่ๆด้านนอกประตูก็มีเสียงเคาะประตูดังมา
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ: “เข้ามา”
ท้องฟ้าด้านนอกมืดสลัวลงแล้ว นางกำนัลคนหนึ่งเดินเข้ามา ในมือยังยกน้ำแกงเอาไว้ถ้วยหนึ่ง: “เรียนจวิ้นจู่ นี่คือน้ำแกงหวานที่ฝ่าบาทส่งมา บอกว่าครั้งก่อนจวิ้นจู่ดื่มอย่างเอร็ดอร่อย ดังนั้นครั้งนี้จึงส่งมาอีก”
จีเฟิงกำลังจะก้าวเข้าไป กู้ชิวเหลิ่งก็ขัดจังหวะ เดินไปด้วยตัวเองแล้ว เปิดฝาของน้ำแกงหวานออก กล่าวว่า: “ข้าคิดว่าน้ำแกงหวานมันอร่อยจริงๆ เพียงแต่ว่าคืนนี้กินอิ่มแล้ว อันนี้รบกวนส่งไปที่ตำหนักของฉินเฟยเหนียงเหนียงเถอะ บอกว่าฝ่าบาทส่งมาเหมือนเดิมนั่นแหละไม่ต้องเอ่ยถึงข้า”
“เจ้าค่ะ”
กู้ชิวเหลิ่งกลับไปยังตั่งนอน จีเฟิงปิดประตูลง กล่าวถามด้วยความสงสัย: “อยู่ดีๆทำไมพระชายาต้องส่งน้ำแกงหวานถ้วยนี้ให้ฉินเฟยเหนียงเหนียงอย่างไร้เหตุผลด้วย?”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ: “น้ำแกงหวานถ้วยนั้นมีกลิ่นแปลกเล็กน้อย เจ้าได้กลิ่นหรือไม่?”
“ข้าน้อยไม่ได้กลิ่นเลย”
“นั่นคือกลิ่นเหม็นคาว ข้าเคยได้กลิ่นแบบนี้จากกลุ่มหน่วยกล้าตายของจวินฉีเซิ่ง มันคือพิษกู่ของเหมียวเจียง”
กู้ชิวเหลิ่งต้องขอบคุณที่ชาติก่อนตัวเองรู้จักกับองค์หญิงหลัวซู่ ซึ่งก็คือวี่เฟยในตอนนี้ เพื่อตำแหน่งชายาเอกองค์หญิงหลัวซู่ในตอนนั้นพูดได้ว่าทำทุกวิถีทางจริงๆ มักจะยกน้ำแกงที่ใส่พิษกู่ หรือไม่ก็อาหารมาเป็นระยะๆ ไม่มีการปิดบังเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าจวินฉีเซิ่งไม่กล้าล่วงเกินเหมียวเจียงอย่างเด็ดขาด
ในตอนนั้นนางก็ถือได้ว่าระมัดระวังอย่างมาก ค้นหาวิธีจากในนั้นมาได้ ขอเพียงเป็นสิ่งที่มีกลิ่นคาว ล้วนถูกผสมด้วยพิษกู่ทั้งนั้น เพราะหนอนอย่างไรก็คือหนอน ถึงแม้จะถูกบดเป็นผงแล้วก็ยังมีกลิ่นคาวอยู่
กู้ชิวเหลิ่งดื่มชาอย่างราบเรียบ: “น่าจะเป็นเพราะองค์หญิงเฟิงคนนั้น จวินฉีเซิ่งมีลูกแค่คนนี้คนเดียวเท่านั้น วี่เฟยให้ความสำคัญอย่างมาก ดังนั้นจึงทนไม่ไหวต้องการจะลงมือแล้วล่ะมั้ง”
ในใจของวี่เฟยคิดอะไรอยู่ไม่สำคัญ ขอเพียงแค่วี่เฟยต้องการจะลงมือ เช่นนั้นนางก็ดำเนินการไปตามสถานการณ์ ให้ฉินโม่เอ๋อร์ได้เห็นว่า วังหลังที่ลวงโลกของแคว้นฉี มีหน้าตาอย่างไรกันแน่
อยากจะสู้กับนาง ยังต้องดูความสามารถของตัวเองก่อนด้วย
จีเฟิงไม่เคยคิดไปถึงระดับนี้เลย ตอนที่เห็นกู้ชิวเหลิ่งกล่าวคำพูดเหล่านี้ออกมาเมื่อครู่นี้ เกือบจะนึกว่าท่านอ๋องของตัวเองเข้าสิงแล้ว เพราะไม่ว่าจะมองอย่างไร ท่านอ๋องของตัวเองกับพระชายาล้วนมีส่วนที่คล้ายกันมากเกินไป
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวกับจีเฟิงว่า: “วันนี้ข้างนอกอาจจะมีความผิดปกติ เจ้าเฝ้าเอาไว้ก่อนเถอะ ข้าก็ไม่นอนแล้ว ไม่เกินครึ่งชั่วยาม ทางด้านตำหนักจาวหรงอาจจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากที่จีเฟิงถอยออกไปแล้ว กู้ชิวเหลิ่งถึงได้วางถ้วยชาที่อยู่ในมือลง หยิบกระดาษข้อความออกมาจากแขนเสื้อ เป็นจดหมายที่กู้เจินส่งให้นางเมื่อครู่นี้: มู่อยู่นอกวัง เข้าวังเร็วๆนี้ ไม่ต้องเป็นห่วงเจิน
กู้ชิวเหลิ่งโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง คนที่มาวันนั้นเป็นกู้เจิน ไม่ใช่จวินหวาเทียน นางยังเป็นห่วงเล็กน้อยไปพักหนึ่ง แต่ย้อนคิดกลับมาใหม่ ด้วยความสามารถของจวินหวาเทียน จะปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายง่ายๆได้อย่างไร?
ในเมื่อกู้เจินเป็นคนมา เช่นนั้นจวินหวาเทียนก็ต้องมีมาตรการตอบโต้ของตัวเองอย่างแน่นอน
เข้าวังเร็วๆนี้……กลัวแต่ว่าถึงเวลานั้นจะถูกจวินฉีเซิ่งมองเห็นเค้าเงื่อนอะไรขึ้นมา
กู้ชิวเหลิ่งวางกระดาษข้อความเอาไว้บนเปลวเทียน มองดูมันถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน ในหัวอดที่จะนึกถึงอวี้ฉือจ้านขึ้นมาไม่ได้ ไม่ได้รับจดหมายจากอวี้ฉือจ้านมาได้สักพักหนึ่งแล้ว ก็ไม่รู้ว่าทางต้าเยียนเกิดความผิดปกติอะไรขึ้นหรือไม่
ในอดีตเวลานี้ จดหมายของอวี้ฉือจ้านมีมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหวแล้ว