ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 206 กู้ชิวเหลิ่งเป็นชายาของข้า
สีหน้าของนางกำนัลรับใช้ซีดขาว คารวะหน้าผากแตะพื้นไม่หยุดกล่าวว่า: “สิ่งที่บ่าวพูดคือความจริง! สิ่งที่บ่าวพูดคือความจริงทั้งนั้น! ฝ่าบาท! บ่าวถูกปรักปรำ! บ่าวไม่ได้ทำร้ายฉินเฟยเหนียงเหนียงนะ!”
“ลากตัวไป!”
องครักษ์สองคนลากคนทั้งคนของนางกำนัลรับใช้ลงไป จวินฉีเซิ่งนั่งนวดหว่างคิ้วอยู่บนเก้าอี้ ราวกับรู้สึกปวดหัวมาก
กู้ชิวเหลิ่งกลับกล่าวขึ้นมาอย่างธรรมดาราบเรียบ: “นางกำนัลคนนี้จับได้คนหนึ่งก็ใส่ร้ายคนหนึ่งจริงๆ อยู่ดีๆก็ดึงวี่เฟย มาเกี่ยวข้องโดยไม่มีเหตุผล ข้าก็ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกโชคดีหรือว่าสำนึกผิดดี ถ้าหากน้ำแกงหวานนี้เข้าไปในปากของข้า เกรงว่าเวลานี้คงจะมีจุดจบเดียวกับฉินเฟยแล้ว”
จวินฉีเซิ่งก็รู้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ รู้สึกหงุดหงิดเหลือทนขึ้นมาทันที: “พวกเจ้าทุกคนออกไปก่อน ให้ฉินเฟยได้พักผ่อนให้เต็มที่”
หยินซวงซวงกล่าวว่า: “หม่อมฉันทูลลา”
มู่หรงอี๋แอบกัดฟันเงียบๆ เพิ่งจะร่วมมือกับฉินโม่เอ๋อร์จะมาจัดการกู้ชิวเหลิ่งวันนี้ แต่แล้วยังผ่านไปไม่เท่าไหร่ ฉินโม่เอ๋อร์ก็เกิดเรื่องแล้ว จะบอกว่าเรื่องนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับกู้ชิวเหลิ่ง ให้ตายอย่างไรนางก็ไม่เชื่อ เพียงแต่น่าเสียดาย ที่ไม่ได้ใช้ฉินโม่เอ๋อร์หมากที่ดีเยี่ยมตัวนี้ในการทำให้กู้ชิวเหลิ่งล้มลง
มู่หรงอี๋ยืนอยู่กับที่ไม่ได้ขยับเขยื้อนเลย จวินฉีเซิ่งขมวดคิ้วขึ้นมา กล่าวว่า: “เจ้ายังจะยืนอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน? ไม่ได้ยินคำพูดของข้าหรือ!”
ในอดีตจวินฉีเซิ่งไม่เคยทำให้นางเสียหน้าต่อหน้าคนนอกมาก่อน หลังจากเสียงคำรามของจวินฉีเซิ่ง มู่หรงอี๋ก็รู้สึกเสียหน้าทันที เพียงแค่กล่าวออกมาอย่างราบเรียบคำหนึ่ง “หม่อมฉันทูลลา” ก็จากไปอย่างเร่งรีบ
ก่อนจากไปมู่หรงอี๋ยังไม่ลืมถลึงตามองกู้ชิวเหลิ่งครู่หนึ่ง ทำให้กู้ชิวเหลิ่งเม้มริมฝีปากยิ้มขึ้นมา
“ดูท่าข้าจะเป็นบุคคลอันไม่พึงประสงค์อย่างมากในแคว้นฉีแห่งนี้ สายตาของกุ้ยเฟยเมื่อครู่นี้ ราวกับจะขูดเลือดขูดเนื้อของข้าออกมาเลย”
จวินฉีเซิ่งมองดูฉินเฟยที่อยู่ด้านหลังฉากบังตา แน่ใจว่าหมดสติไปแล้ว ถึงได้เอ่ยปากขึ้นมา: “ถ้าหากจวิ้นจู่ไม่รังเกียจ เราไปเดินเล่นข้างนอกดีหรือไม่?”
กู้ชิวเหลิ่งมองเห็นความจนใจจากในดวงตาของจวินฉีเซิ่ง ข้างกายของผู้ชายมักจะต้องการผู้หญิงที่ดูแลเอาใจใส่ และในใจของจวินฉีเซิ่งเวลานี้ น่าจะหวังให้นางปลอบโยน
กู้ชิวเหลิ่งเกรงว่าคงทำไม่ได้ เติมเชื้อเพลิงเข้าในกองไฟกลับมีความเป็นไปได้อย่างมาก
จวินฉีเซิ่งกลับไม่ได้คิดเช่นนี้ ในตอนที่กู้ชิวเหลิ่งไม่แสดงท่าที เขาก็คิดว่ายอมรับโดยปริยาย
ทั้งสองคนเดินมาถึงเส้นทางเล็กๆเส้นหนึ่งโดยไม่รู้ตัว สีหน้าท่าทางของจวินฉีเซิ่งเหมือนกับผู้ชายที่ลุ่มหลงในความรักอย่างมาก: “ในอดีตข้าก็มีผู้หญิงที่ชอบอยู่คนหนึ่งเช่นกัน เสียดายนางดื้อรั้นยิ่งนัก นิสัยไม่เหมือนผู้หญิงทั่วไป ดังนั้น……”
กู้ชิวเหลิ่งก็หยุดฝีเท้าลงมาเช่นกัน หยุดอยู่ที่ใต้ต้นไห่ถัง จวินฉีเซิ่งหันหลังกลับมา กล่าวว่า: “ตอนที่เห็นจวิ้นจู่ครั้งแรก ข้ายังนึกว่านางกลับมาแล้ว นางเป็นฮองเฮาองค์แรกของข้า ชายาเอกในอดีต”
มุมปากของกู้ชิวเหลิ่งแฝงไปด้วยรอยยิ้ม: “ฮ่องเต้ฉีชอบนางมากหรือ?”
“ใช่”
“แล้วนางตายอย่างไร?”
“ฆ่าตัวตายหนีความผิด”
ไม่รู้ว่าทำไม กู้ชิวเหลิ่งรู้สึกว่าผู้ชายหน้าซื่อใจคดที่อยู่ตรงหน้าคนนี้น่าขยะแขยงอย่างมาก
จวินฉีเซิ่งกลับไม่รู้สึกตัวเลย ตรงกันข้ามยังปัดกลีบดอกไห่ถังที่อยู่บนผมของกู้ชิวเหลิ่งออกอย่างแผ่วเบา กล่าวว่า: “ข้าก็ชอบเจ้าจริงๆเช่นกัน เหลิ่งเอ๋อร์ เจ้ายินดีจะแต่งงานกับข้าไหม? ข้าสามารถรับประกันได้ ถ้าหากเจ้าให้กำเนิดองค์ชาย เขาจะต้องเป็นไท่จื่อเพียงหนึ่งเดียวของแคว้นฉีอย่างแน่นอน เจ้าก็จะเป็นฮองเฮาของข้าเช่นกัน”
“ฮ่องเต้ฉีกล่าวเช่นนี้ ข้าก็ไม่เข้าใจแล้ว ในเมื่อฮ่องเต้มีความรักที่ลึกซึ้งแล้วเหตุใดถึงโปรดปรานเฉพาะฉีกุ้ยเฟยมานานหลายปีขนาดนี้? แล้วทำไมถึงจะมีนางสนมมากมายขนาดนี้ได้? ถ้าหากฮ่องเต้ฉีคิดถึงแต่มู่หรงชิว ไม่มีวันลืมเลือนจริงๆ แล้วจะชอบข้าได้อย่างไร?”
จวินฉีเซิ่งพูดไม่ออก กู้ชิวเหลิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ: “ใกล้ยามสามแล้ว ดึกแล้วน้ำค้างแรง ข้าต้องขอตัวทูลลาก่อนแล้ว”
“เหลิ่งเอ๋อร์!”
แขนของกู้ชิวเหลิ่งถูกจวินฉีเซิ่งจับเอาไว้ แรงกำลังที่ใช้สิบเต็มสิบ ชั่วขณะหนึ่งกู้ชิวเหลิ่งไม่สามารถดิ้นหลุดไปได้
จวินฉีเซิ่งคว้าตัวกู้ชิวเหลิ่งเข้าไปในอ้อมแขน กล่าวขึ้นมาอย่างสลับลมหายใจกันไปมา: “ข้าชอบเจ้าจริงๆ ไม่อยากปล่อยให้เจ้าไป”
“ปล่อยนะ! ในฐานะที่เป็นราชาแห่งแคว้น การกระทำเหลาะแหละเช่นนี้ ฮ่องเต้ฉีไม่กลัวว่าคนจะประฌามหรือ!”
จวินฉีเซิ่งกลับยิ้มเย้ยหยันแล้วกล่าวว่า: “หากเจ้ากลายเป็นผู้หญิงของข้าแล้ว เช่นนั้นทุกสิ่งที่ข้าทำกับเจ้าก็ล้วนเป็นเรื่องสมเหตุสมผลทั้งนั้น!”
สมองของกู้ชิวเหลิ่งว่างเปล่า การต่อสู้กับจวินฉีเซิ่งด้วยร่างกายนี้เป็นการเอาไข่ไปกระทบหินชัดๆ และจวินฉีเซิ่งก็ไม่เคยทำเรื่องที่บุ่มบ่ามขนาดนี้มาก่อน ถ้าหากไม่ใช่เพราะฉินโม่เอ๋อร์เสียโฉม เขาก็ได้ล่วงเกินต้าเยียนไปแล้ว แล้วจะกระทำการโดยไม่คำนึงถึงมารยาท ต้องการจะบังคับฝืนใจรับนางเข้าไปในวังได้อย่างไร?
คำนวณผิดพลาดไปจริงๆ! นางน่าจะคิดได้นานแล้ว ถึงแม้จะเป็นเพราะเรื่องในตำหนักในวันนั้น จวินฉีเซิ่งก็ไม่มีทางปล่อยนางกลับไปอย่างแน่นอน เพราะเขาไม่มีทางจะปล่อยให้ข่าวลือพวกนี้รู้ไปถึงหูของอวี้ฉือจ้านอย่างแน่นอน
ในขณะที่ริมฝีปากของจวินฉีเซิ่งถูไปถึงหลังหูของกู้ชิวเหลิ่ง ขันทีตัวน้อยที่ไม่รู้ว่าวิ่งมาจากไหน ตกใจจนคุกเข่าลงไปบนพื้นต่อหน้าจวินฉีเซิ่ง จวินฉีเซิ่งก็ปล่อยกู้ชิวเหลิ่งด้วยเหตุนี้ มองดูขันทีที่อยู่บนพื้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธ: “บังอาจ! ใครใช้ให้เจ้าบุกเข้ามา!”
ขันทีรีบร้อนคารวะหน้าผากแตะพื้น กล่าวว่า: “ฝ่าบาท! นอกวังมีคนมาคนหนึ่ง! คือ……คือ!”
“ไม่ว่าจะเป็นใคร ข้าก็ไม่พบทั้งนั้น!”
“ทำไม? ไม่พบกันแค่เดือนกว่า ฮ่องเต้ฉีก็ไม่รู้จักข้าแล้วหรือ?”
ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย กู้ชิวเหลิ่งก็ได้สติกลับมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เห็นเพียงอวี้ฉือจ้านที่สง่าผ่าเผย ยืนเอามือไขว้หลัง ไรผมตรงขมับดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย ท่าทางนั้นดูแล้วเหมือนกับเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางเล็กน้อย แต่เรื่องพวกนี้ล้วนยากที่ซ่อนลักษณะท่าทางที่งามสง่าและความสูงส่งของอวี้ฉือจ้านได้
จวินฉีเซิ่งอาศัยแสงจันทร์มองใบหน้าของอวี้ฉือจ้านชัดเจนแล้ว ก็ตกตะลึงไปในทันที: “เซ่อเจิ้งหวาง?”
“ข้าเอง”
ตอนนี้เป็นเวลายามสามแล้ว บริเวณโดยรอบเงียบเชียบว่างเปล่า และมืดสลัว มีเพียงขันทีตัวน้อยที่อยู่บนพื้นคนนั้นไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา ได้ยินเสียงหายใจของกันและกันรางๆเท่านั้น
นานพักใหญ่ จวินฉีเซิ่งถึงได้สติกลับมา กล่าวว่า: “เซ่อเจิ้งหวางมาเยือนวังหลวงยามดึก ทำไมไม่ให้ข้าจัดงานต้อนรับเตรียมไว้ก่อน? ช่างเป็นการเสียมารยาทที่ไม่ได้ออกไปต้อนรับจริงๆ……”
คำพูดของจวินฉีเซิ่งเพิ่งจะหยุดลง อวี้ฉือจ้านก็เข้ามาคว้าตัวกู้ชิวเหลิ่งเอาไว้แล้ว กอดเอวของกู้ชิวเหลิ่งเอาไว้ การกระทำนั่นสนิทสนมอย่างมาก: “ข้ารีบร้อนมาหาพระชายา ดังนั้นจึงใจร้อนไปหน่อย ฮ่องเต้ฉีอย่าได้ถือสาเลย”
จวินฉีเซิ่งมองดูทั้งสองคนอย่างไม่อยากจะเชื่อ ราวกับฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ: “……พระชายา? เซ่อเจิ้งหวางหมายถึง พระชายา?”
“กู้ชิวเหลิ่งเป็นพระชายาของข้า หลายวันก่อนหนีออกมาด้วยความโกรธ ข้าตามหาอยู่นาน ถึงได้หาเจอในวังหลวงของแคว้นฉี พูดขึ้นมาแล้วยังต้องขอบพระทัยฮ่องเต้ฉีที่หลายวันมานี้ช่วยดูแลพระชายาของข้า”
ท่าทางที่หน้าตาไม่ไปมองอวี้ฉือจ้านของกู้ชิวเหลิ่ง ดูเหมือนกับสามีภรรยาทะเลาะกันจริงๆ จู่ๆจวินฉีเซิ่งก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวตลกบนคานกระโดด ทำอะไรไม่ถูกต่อหน้าสองคนนี้ ตกตะลึงจนตัวแข็งทื่อ
จวินฉีเซิ่งฝืนยิ้มออกมาตรงมุมปาก กล่าวว่า: “ที่แท้……จวิ้นจู่ก็เป็นพระชายาของเซ่อเจิ้งหวาง มิน่าหลายวันมานี้ตอนที่ถามถึงเหตุผลที่มาแคว้นฉี มักจะไม่เต็มใจพูดออกมา”