ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 209 ลงโทษความผิดเล็กน้อยเพื่อเป็นสั่งสอนไม่ให้ทำผิดใหญ่โต
- Home
- ลำนำยอดหญิงจอมพิษ
- บทที่ 209 ลงโทษความผิดเล็กน้อยเพื่อเป็นสั่งสอนไม่ให้ทำผิดใหญ่โต
สักพักหนึ่ง อวี้ฉือจ้านก็รวบเสร็จแล้ว ถึงแม้การกระทำจะดูไม่คล่องแคล่วเท่าไหร่ แต่ก็ดูดีอย่างมาก รวบมวยผมง่ายๆขึ้นมาหนึ่งมวย ใช้ปิ่นปักผมไห่ถังตรึงเอาไว้ ปล่อยปอยผมลงมาเล็กน้อย กลับมีลักษณะท่าทางที่ดูสบายๆเล็กน้อย
อวี้ฉือจ้านฝังตัวเองเข้าไปในบริเวณลำคอของกู้ชิวเหลิ่ง กล่าวขึ้นมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา: “เหนียงจื่องดงามที่สุดในแผ่นดิน เหนือกว่าร้อยบุปพา ข้าชื่นชมเจ้าคนเดียวก็เพียงพอแล้ว ยังจะไปเข้าร่วมงานเลี้ยงชมดอกไม้อะไรอีก?”
“ในเมื่อจวินฉีเซิ่งบอกว่าเตรียมงานเลี้ยงชมดอกไม้เอาไว้เพื่อท่าน จะไม่ไปได้อย่างไรกัน?”
ถึงแม้ปากของกู้ชิวเหลิ่งจะพูดเช่นนี้ ในใจกลับเข้าใจความคิดของจวินฉีเซิ่งแล้ว
อวี้ฉือจ้านในฐานะที่เป็นเซ่อเจิ้งหวางแห่งต้าเยียน ขณะเดียวกันกำลังทหารก็ยิ่งสร้างความยำเกรงไปทั่วทุกทิศ เขามีเจตนาจะกำจัดทิ้งนานแล้ว แต่ครั้งก่อนดันทิ้งจุดอ่อนเอาไว้ในมือของอวี้ฉือจ้านกับอวี้ฉือกง ดังนั้นจึงทำได้แค่เอาใจเท่านั้น
ในอดีตอวี้ฉือจ้านไม่ชอบผู้หญิง แต่ตอนนี้มีนางแล้ว ก็ไม่ถือว่าเป็นคนดื้อด้านซะทีเดียว และก็เพราะเห็นในจุดนี้ ด้วยนิสัยของจวินฉีเซิ่ง เกรงว่าคงจะค้นหาพระชายารองหรือไม่ก็อนุภรรยาให้กับอวี้ฉือจ้าน
กู้ชิวเหลิ่งส่ายหน้าและยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า: “อีกสักพักในงานเลี้ยงชมดอกไม้ ท่านต้องชมให้ดีๆนะ”
อวี้ฉือจ้านเลิกคิ้ว กล่าวว่า: “เหนียงจื่อจะให้ข้าชมอย่างดีจริงหรือ?”
กู้ชิวเหลิ่งเม้มริมฝีปากไม่พูดอะไร นางสามารถนึกถึงเรื่องนี้ได้ อวี้ฉือจ้านต้องคิดได้ดีกว่านางอย่างแน่นอน ความคิดของจวินฉีเซิ่งชัดเจนในตัวมันเอง
ทันทีที่ถึงเวลา ด้านนอกก็มีคนยกเกี้ยวนั่งมาสองตัวแล้ว สั่งให้นางกำนัลที่งดงามอย่างมากมาเร่งรัด
“เรียนเซ่อเจิ้งหวาง พระชายาเซ่อเจิ้งหวาง ฝ่าบาทกับบรรดาพระสนมรออยู่นานแล้ว สั่งให้พวกบ่าวมาเชิญเซ่อเจิ้งหวางกับพระชายาเซ่อเจิ้งหวางไปเข้าร่วมงานเลี้ยงพร้อมกันโดยเฉพาะ”
พูดไป นางกำนัลถึงกับเงยหน้าขึ้นมา เผยให้เห็นดวงตาที่มีเสน่ห์อย่างมากคู่หนึ่ง
สายตาของกู้ชิวเหลิ่งเลื่อนลงไป ก็เห็นว่าสองมือของนางกำนัลอ่อนนุ่มเรียวยาว ไม่เหมือนกับคนที่ทำงานหนักคนหนึ่งเลย
อวี้ฉือจ้านกวาดตามองอย่างราบเรียบครู่หนึ่ง แล้วก็ประคองกู้ชิวเหลิ่งเดินออกไปทางนอกประตูราวกับไม่ได้ยิน แต่เพิ่งจะเดินผ่านนางกำนัลคนนั้นไปเล็กน้อย นางกำนัลคนนั้นก็ยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง เกี่ยวเข็มขัดของอวี้ฉือจ้านเอาไว้
เดิมทีนี่เป็นการกระทำที่ละเอียดอ่อนมาก ในวังหลวงของแคว้นฉีหากนางกำนัลต้องการจะดีกับใคร ก็จะใช้วิธีแบบนี้ในดึงดูดความสนใจ
แต่ใครจะรู้ว่าวินาทีต่อมา มือทั้งสองข้างของนางกำนัลคนนั้นกลับถูกฟันลงไปพร้อมๆกัน
“อ๊าก——!”
ขันทีที่อยู่นอกประตูได้ยินเสียงตะโกน ทันทีที่เข้าประตูก็เห็นนางกำนัลคนนั้นล้มตัวอยู่บนพื้น ตาทั้งสองข้างถึงกับถูกแทงจนบอด สูญเสียมือทั้งสองข้างไป นอนเจ็บปวดจนหมดสติอยู่บนพื้น
อวี้ฉือจ้านกล่าวออกมาอย่างเย็นชา: “จีเฟิง ถอยไปเถอะ”
จีเฟิงเก็บกระบี่ลง อวี้ฉือจ้านกวาดตามองศพที่อยู่บนพื้นครู่หนึ่ง กล่าวว่า: “หญิงนางนี้มีพฤติกรรมเหลาะแหละ ในฐานะบ่าวถึงกับกล้ามองข้าตรงๆ ข้าก็แค่ลงโทษความผิดเล็กน้อยเพื่อเป็นสั่งสอนไม่ให้ทำผิดใหญ่โต มิเช่นนั้นตอนนี้ที่นอนอยู่ที่นี่ก็คือศพหนึ่งศพแล้ว”
เซ่อเจิ้งหวางแห่งต้าเยียน ไม่ชอบให้หญิงสาวเข้าใกล้ นี่คือข้อบังคับที่เป็นที่รู้กันดี
เพียงแต่ว่าเพราะอวี้ฉือจ้านแต่งงานมีพระชายาแล้ว ดังนั้นทุกคนจึงมองว่าข้อบังคับนี้ไม่มีอยู่ ตอนนี้ดูแล้ว ข้อบังคับไม่ได้เปลี่ยนไป เพียงแต่ว่าสิ่งที่เปลี่ยนไปมีเพียงอย่างเดียวคือกู้ชิวเหลิ่งเป็นข้อยกเว้นของข้อบังคับนี้
ขันทีคนนั้นสั่งให้องครักษ์ที่อยู่นอกตำหนักพานางกำนัลไปรักษาที่โรงหมอหลวงอย่างตัวสั่นงันงก เดิมทีนี่เป็นคำสั่งของจวินฉีเซิ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าอวี้ฉือจ้านจะโหดเหี้ยมขนาดนี้ ทำลายนางกำนัลคนนี้ไปเลยโดยตรง
กู้ชิวเหลิ่งถูกอวี้ฉือจ้านประคองเอาไว้ อดที่จะหัวเราะแล้วกล่าวออกมาไม่ได้: “ตอนนี้คนอื่นจะเห็นข้าเป็นผู้หญิงขี้หึงหรือเปล่า?”
“คนที่ฆ่าคนคือข้า เกี่ยวอะไรกับเหนียงจื่อด้วย?”
“กลัวแต่ว่าคนอื่นจะไม่คิดเช่นนี้”
สายตาของกู้ชิวเหลิ่งเปลี่ยนเป็นลึกล้ำขึ้นมา ผู้ชายในโลกใบนี้ใครบ้างไม่มากชู้หลายเมีย แต่ดันยกเว้นอวี้ฉือจ้าน และคนที่อยู่ด้านนอกจะไม่เอาความผิดเหล่านี้ไปที่ตัวผู้ชาย โดยเฉพาะบนตัวของอวี้ฉือจ้าน แต่จะใส่ให้นางที่มีฐานะเป็นพระชายา ถึงเวลานั้นเกรงว่าทุกคนคิดว่านางเป็นผู้หญิงขี้หึงคนหนึ่ง
แต่ว่า สำหรับข้อนี้ นางไม่ถือสานานแล้ว
คนนอกเข้าใจแล้วได้อะไร? มีอวี้ฉือจ้านอยู่ข้างกาย นี่ก็เพียงพอแล้ว
อวี้ฉือจ้านประคองกู้ชิวเหลิ่งขึ้นไปบนเกี้ยวนั่งแล้ว ถึงได้ขึ้นเกี้ยวนั่งของตัวเอง คนที่ยกเกี้ยวนั่งต่างก็อดเหลือบมองไม่ได้ เซ่อเจิ้งหวางแห่งต้าเยียนไม่ใช่คนที่จะเห็นได้ทั่วไป
ร่ำลือกันว่าเซ่อเจิ้งหวางแห่งต้าเยียนนั้นดุร้ายน่ากลัว เทพสงครามที่รบทุกครั้งชนะทุกครั้ง เวลานี้ถึงกับดูแลใส่ใจพระชายาของตนเองเช่นนี้ ทำให้คนอดรู้สึกอยากรู้อยากเห็นไม่ได้
เดินมาตลอดทางจนถึงศาลารับแขกในสวนดอกไม้ แต่ว่าดอกไม้พวกนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ได้มีสีสันและงดงามไปกว่าคน จวินฉีเซิ่งแทบจะพานางสนมทั้งหมดของตัวเองมา แต่ว่าส่วนใหญ่ล้วนเป็นนางรำทั้งนั้น ดูแล้วแต่ละคนก็ถือว่างดงามอย่างมาก ถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับมู่หรงอี๋ แต่ก็เป็นสาวงามระดับหนึ่งแล้ว
ขอเพียงแค่เป็นผู้ชาย เห็นภาพฉากนี้เข้าก็ต้องอดรู้สึกอ่อนระทวยไม่ได้ และอวี้ฉือจ้านกลับดูเหมือนมองไม่เห็นอะไรเลย เพียงแค่มองดูกู้ชิวเหลิ่งด้วยรอยยิ้ม
จวินฉีเซิ่งริเริ่มก้าวเข้ามาข้างหน้า จ้องมองมือของอวี้ฉือจ้านที่ประคองกู้ชิวเหลิ่งข้างนั้น ในใจรู้สึกแค้นเคืองขึ้นมาเล็กน้อย
แต่เบื้องหน้า จวินฉีเซิ่งไม่กล้าเปิดเผยสีหน้าท่าทางเช่นนั้นแม้แต่น้อย แต่กล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม: “เซ่อเจิ้งหวางมาเยือนเป็นครั้งแรก ข้าควรทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดีต้อนรับแขกผู้มาเยือน มาเถอะ เชิญนั่งลงก่อน”
มู่หรงอี๋นั่งอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย นางก็เพิ่งเห็นอวี้ฉือจ้านเป็นครั้งแรก เมื่อเห็นการดูแลเอาใจใส่ที่อวี้ฉือจ้านมีต่อกู้ชิวเหลิ่ง นางก็อดที่จะกำหมัดขึ้นมาไม่ได้ ในอดีตจวินฉีเซิ่งก็เคยปฏิบัติต่อนางเช่นนั้น เพียงแต่ว่าตอนนี้ความโปรดปรานแบบนี้ค่อยๆเปลี่ยนไปตามวันเวลาและเหลือไม่มากแล้ว
นี่ถือเป็นอะไร? นางอิจฉากู้ชิวเหลิ่ง? ใช่แล้ว ใบหน้าของกู้ชิวเหลิ่งงามล่มชาติล่มเมือง วัยเยาว์กว่านาง มีสามีผู้มีอำนาจในใต้หล้า และยังเป็นที่รักยิ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ กู้ชิวเหลิ่งคือชายาเอก
และนางมู่หรงอี๋ หน้าตาด้อยกว่ากู้ชิวเหลิ่งหรือ? ก็แค่แพ้ที่ฐานะเท่านั้น หากเป็นความรักที่จวินฉีเซิ่งมีต่อนางในตอนนั้น เชื่อว่าคงไม่แตกต่างจากตอนนี้เท่าไหร่ แต่น่าเสียดาย……นางไม่สามารถให้กำเนิดลูกได้ และยังเป็นแค่สนมคนหนึ่ง
คิดถึงตรงนี้ ในใจของนางก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย นางก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า อวี้ฉือจ้านคนนี้สามารถลุ่มหลงในความรักที่มีต่อกู้ชิวเหลิ่งถึงขั้นไหนกันแน่
ขอเพียงแค่เป็นผู้ชาย ก็ไม่สามารถผ่านด่านผู้หญิงไปได้ สาวงามที่อยู่ที่นี่ นางไม่เชื่อหรอกว่าอวี้ฉือจ้านจะไม่หวั่นไหว
จวินฉีเซิ่งขยิบตาให้กับมู่หรงอี๋ มู่หรงอี๋เข้าใจความหมายในทันที กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม: “ข้ารู้ว่าเซ่อเจิ้งหวางมาเยือน ก็ควรจะจัดเตรียมให้เร็วหน่อย ในงานเลี้ยงชมดอกไม้ได้เตรียมดนตรีและการร่ายรำเพิ่มความสนุกสนานเอาไว้แล้ว หวังว่าเซ่อเจิ้งหวางกับพระชายาเซ่อเจิ้งหวางจะรับชมอย่างเพลิดเพลิน”
กู้ชิวเหลิ่งมองดูรอยยิ้มที่แทบจะยิ้มจนงดงามราวกับดอกไม้ของมู่หรงอี๋ แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้สีหน้าท่าทางของอวี้ฉือจ้านก็ยังราบเรียบ ราวกับไม่เคยได้ยินมู่หรงอี๋เอ่ยปากพูดมาก่อน
“เหนียงจื่อ”
อวี้ฉือจ้านคีบกุ้งที่ตัวเองชิมไปคำหนึ่งใส่เอาไว้ในจาน กล่าวว่า: “ลองชิมดูว่าชอบกินหรือไม่ หากไม่ชอบกินข้าสั่งให้คนทำให้เจ้าใหม่”
กู้ชิวเหลิ่งยิ้มออกมาเล็กน้อย นี่ไม่เหมือนว่าจวินฉีเซิ่งเป็นเจ้าภาพ แต่เหมือนเขาเป็นคนเลี้ยงแล้ว
จวินฉีเซิ่งมองดูภาพฉากนี้ รู้สึกขัดหูขัดตามากเป็นพิเศษ กู้ชิวเหลิ่งไม่เคยยิ้มให้เขาเช่นนี้มาก่อน