ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 212 ละเมอ
“เจ้าเป็นภรรยาของข้า ระหว่างสามีภรรยานั้นมีเรื่องใดที่ต้องขอโทษกันอีกเล่า?”
ใบหน้าของอวี้ฉือจ้านแม้จะกำลังยิ้ม แต่หัวคิ้วของเขาก็อดมิได้ที่จะขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เมื่อสักครู่เขาจ้องมองไปที่กู้ชิวเหลิ่งตลอดเวลา ราวกับได้ยินนางละเมอ
ร่างกายของกู้ชิวเหลิ่งเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เมื่อนางมองเห็นท่าทีของอวี้ฉือจ้านดังนั้น แต่ก็อดมิได้ที่จะนึกถึงท่าทีของอวี้ฉือจ้านที่อยู่ในฝันของนางเมื่อครู่ นางจึงรีบละสายตากล่าวว่า “ข้าของอาบน้ำสักหน่อย”
“ข้าจะให้จีเฟิงไปเตรียมน้ำให้เจ้าอาบ”
“อืม”
รอจนกระทั่งอวี้ฉือจ้านเดินออกจากห้องไปแล้ว กู้ชิวเหลิ่งจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เมื่อครู่นางมิรู้ว่าอวี้ฉือจ้านรู้สึกสงสัยในตัวนางหรือไม่ นางเพียงหวังว่าเมื่อครู่ตนจะมิได้หลับใหลเสียจนลืมตัวและเอ่ยสิ่งที่มิควรเอ่ยออกมา
อวี้ฉือจ้านปิดประตูลง เมื่อนึกถึงท่าทีของกู้ชิวเหลิ่งที่ร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่ออันเย็นยะเยือก เขาจึงมิอยากให้นางออกไปถูกลมหนาวพัดโชย ดังนั้นจึงสั่งให้จีเฟิงไปเตรียมน้ำร้อนมา ส่วนตัวเขายืนพึมพำครุ่นคิดบางอย่างอยู่ด้านนอกประตู
ท่าทางดูค่อนข้างจะสงสัย เมื่อครู่ตอนที่กู้ชิวเหลิ่งกำลังหลับฝันร้ายเขาก็สัมผัสได้ในทันที ขณะที่เขาต้องการจะปลุกนางให้ตื่นขึ้น แลเหมือนได้ยินนางกล่าวว่า “ข้ามิใช่มู่หรงชิว” หกคำนี้ออกมาอย่างชัดเจน
อวี้ฉือจ้านส่ายหน้า ตลอดระยะเวลาอันเนิ่นนานมานี้ เขาพอจะรู้ได้ว่ากู้ชิวเหลิ่ง มิใช่หญิงสาวที่อยู่แต่ในจวนเป็นเวลาหลายปีโดยมิได้ออกไปด้านนอกแม้แต่น้อย เขามองออกได้ภายในพริบตาเดียว แต่สตรีที่ผ่านร้อนผ่านฝนผ่านลมหนาวมาอย่างโชกโชนผู้นั้นคือมู่หรงชิวหรือ แต่ว่า……มู่หรงชิวเสียชีวิตไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้นานแล้ว หากนางยังมีชีวิตอยู่คาดว่าอายุได้ประมาณยี่สิบกว่าปีแล้วกระมัง
กู้ชิวเหลิ่งก้าวลงจากเตียงด้วยเท้าเปล่า ๆ จากนั้นดื่มน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะเข้าไปอึกหนึ่ง จึงรู้สึกผ่อนคลายจากการกระหายน้ำ
นางฝันว่าอวี้ฉือจ้านบีบคอของตน เอ่ยถามนางว่าเหตุใดจึงต้องโกหกเขา หากฝันร้ายนี้เกิดขึ้นจริงในโลกแห่งความเป็นจริงละก็ นางจะตอบคำถามเขาเช่นไรดี ในครานั้นที่นางอยากจะแต่งงานกับอวี้ฉือจ้าน เพียงต้องการใช้โอกาสนี้ไปแก้แค้น ทว่าบัดนี้……กลับมิได้ต้องการเพียงเช่นนั้น
กู้ชิวเหลิ่งรู้สึกเหนื่อยล้ายิ่งนัก ทันใดนั้นอวี้ฉือจ้านก็เดินตรงเข้ามา เมื่อพบว่ากู้ชิวเหลิ่งก้าวลงไปที่พื้นด้วยเท้าเปล่า ๆ เขาก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน กล่าวทันใดว่า ข้าเพียงเดินทางจากไปชั่วครู่ เหตุใดเจ้าจึงลงจากเตียงเองเล่า อีกทั้งยังมิสวมใส่รองเท้าด้วย
เมื่อกล่าวจบ อวี้ฉือจ้านก็ก้าวมาด้านหน้าแล้วอุ้มกู้ชิวเหลิ่งขึ้นไปบนเตียง ใช้มือทั้งสองข้างกุมไปที่เท้าอันเย็นเยือกของกู้ชิวเหลิ่งแล้วถามว่า “เท้าเจ้าเย็นเช่นนี้เชียวหรือ ร่างกายเจ้าค่อนข้างจะเย็นเชียว ต่อจากนี้เจ้าควรสวมใส่เสื้อผ้าให้มากชิ้นขึ้น”
สายตาของกู้ชิวเหลิ่งละจากใบหน้าของอวี้ฉือจ้าน นางก้มหน้าลง “อาจ้าน”
“อืม?”
“หากว่าสักวันหนึ่งเจ้าพบว่าข้าโกหกเจ้า แล้วเจ้าจะทำเยี่ยงไร?”
“ข้าเคยบอกแล้ว เพียงแค่เรื่องนั้นมิเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของเจ้า และมิส่งผลเสียทำร้ายเจ้า ข้าก็มิติดใจเอาความใด”
กู้ชิวเหลิ่งมองไปที่อวี้ฉือจ้าน ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอันสั่นคลอนอย่างมิรู้ตัวว่า “เจ้าหมายความว่าเช่นนี้จริงหรือ”
“ข้าขอใช้ชื่อของเซ่อเจิ้งหวางแห่งต้าเยียนเป็นพยาน ในฐานะสามีของเจ้ากู้ชิวเหลิ่ง ข้ามิเคยพูดปดต่อเจ้าทั้งบัดนี้และตลอดไป”
ใบหน้าของกู้ชิวเหลิ่งเผยถึงรอยยิ้มขึ้น เพียงแค่รอยยิ้มนั้นช่างดูบางเบาเหลือเกิน หากว่ามิได้พิจารณามองดูก็คงมิรู้ว่านางกำลังยิ้ม แต่อวี้ฉือจ้านอยู่ในระยะใกล้กับนาง เขาจึงเห็นรอยยิ้มอันบางเบาจากแววตาของกู้ชิวเหลิ่งนั้น “เจ้ายังหนาวอยู่หรือไม่?”
“ข้ามิหนาวแล้ว”
กู้ชิวเหลิ่งหดขาทั้งสองข้างของนางกลับมา จู่ ๆ นางก็รู้สึกว่า ความเยือกเย็นก่อนหน้าที่นางมีดูมิเพียงพอเอาเสียเลย
“ท่านอ๋องขอรับ น้ำร้อนจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว”
จีเฟิงเดินผลักประตูเข้ามาข้างใน แน่นอนว่าสายตามิกล้ามองไปบนเตียง ได้แต่รีบวางน้ำร้อนที่จัดเตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้วออกไปข้างนอกทันที จากประสบการณ์สองครั้งก่อนหน้า จีเฟิงมิกล้าเข้าไปขัดจังหวะของท่านอ๋องและพระชายาอีก
อวี้ฉือจ้านกล่าวขึ้นว่า “ข้าจะพาเจ้าไปอาบเอง”
กู้ชิวเหลิ่งพยักหน้าเล็กน้อย ในครั้งนี้อวี้ฉือจ้านยืนรออยู่ด้านนอกตำหนักด้วยท่าทางอันเชื่อฟัง เขามิได้เข้าไปด้านในอีก อาจเป็นเพราะเมื่อครู่ท่าทางของเขาที่ดูหนักอึ้งลงไป จึงมิอยากเข้าไปรบกวนนาง
วินาทีที่ร่างกายได้สัมผัสกับน้ำร้อน กู้ชิวเหลิ่งจึงรู้สึกผ่อนคลายความอ่อนล้าเมื่อครู่ลงไปมาก ประโยคที่อวี้ฉือจ้านกล่าวไว้เมื่อครู่ดังก้องอยู่ในหูของ นางมิใช่หญิงสาวไร้เดียงสาอีกต่อไป ที่มักจะเก็บคำหวานของชายหนุ่มมาครุ่นคิดให้รำคาญใจ แต่ประโยคคำรักของอวี้ฉือจ้านเมื่อครู่นั้นออกมาจากใจจริงแท้แน่นอน
หากมิใช่เพราะจวินฉีเซิ่งกับมู่หรงอี๋ทำร้ายนางล่ะก็ ……
ณ ตำหนักเฟิงหรวน มู่หรงอี๋นั่งอยู่บนตั่งนอนของกุ้ยเฟยพึมพำกับตนเอง นางเองก็มิรู้ว่าตนกล่าวสิ่งใดออกไป แต่ในความคิดของนางนั้นมักจะปรากฏภาพของมู่หรงชิวว่ากำลังยิ้มให้กับนาง ท่ามกลางเพลิงไฟในวันนั้น
นางมิเหมือนกับจวินฉีเซิ่ง สำหรับเรื่องผีสางนางรู้สึกเกรงกลัวอยู่มิน้อย อีกอย่างหมอผีผู้นั้นได้กล่าวแล้วว่าในตำหนักเย็นแห่งนี้มีผีสาวถูกกักขังเอาไว้อยู่ตนหนึ่ง หรือที่กล่าวถึงจะเป็นวิญญาณของมู่หรงชิวที่ตายไปแล้ว?
ใช่แล้ว ต้องเป็นมู่หรงชิวแน่! มิเช่นนั้นนอกจากนาง เหตุใดคนอื่นแม้แต่จวินฉีเซิ่งก็มองมิเห็นมู่หรงชิว
มู่หรงชิวจะต้องมาแก้แค้นนางอย่างแน่นอน เมื่อนึกถึงมารดาของตนหลิ่วอี๋เหนียง ในครานั้นที่งานเลี้ยง หลิ่วอี๋เหนียงและหนานชางโหวเกิดคลุ้มคลั่งพร้อมกัน คาดว่าคงจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ มู่หรงชิวเดินทางมาแก้แค้นพวกเขาอย่างแน่นอน
มู่หรงอี๋จับไปที่ยีชุ่ย ท่าทางเช่นนั้นมิต่างอันใดกับหญิงคลั่ง “จงไปตามฝ่าบาทมา ไปเรียกฝ่าบาทมาบัดเดี๋ยวนี้ ข้ามีเรื่องจะกราบทูล จงไปเร็วเข้า!”
ยีชุ่ย คุกเข่าลงบนพื้นกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงรับสั่งเอาไว้ กล่าวว่ากุ้ยเฟยเหนียงเหนียงเกิดอาการคลุ้มคลั่งเสียสติ ช่วงระยะเวลานี้ห้ามเดินทางออกไปด้านนอก และฝ่าบาทก็จะมิเดินทางมาพบท่านด้วย”
“เจ้าจงไปทูลแด่ฝ่าบาท กล่าวว่าข้าเห็นมู่หรงชิว จงรีบไปเร็วเข้า!”
มู่หรงอี๋ถีบยีชุ่ยลงไปกองบนพื้น ยีชุ่ยได้ยินประโยคนั้นออกมาจากปากของมู่หรงอี๋ก็อดมิได้ที่จะรู้สึกตกตะลึง ในตอนนั้นมิเพียงแค่มู่หรงอี๋เท่านั้นที่สังหารมู่หรงชิว แต่นางก็นับว่าเป็นหนึ่งในผู้ลงมือด้วย
มู่หรงอี๋ดึงปกเสื้อของยีชุ่ย ตะโกนกล่าวว่า “เจ้าจะไปหรือไม่ เจ้าลองคิดพิจารณาดู ในตอนนั้นที่เจ้าฆ่ามู่หรงชิว เจ้าเป็นคนหักนิ้วมือทั้งสิบนิ้วของนาง หากว่านางมาตามแก้แค้นกับข้าล่ะก็ เมื่อถึงเวลานั้นนางจะมิปล่อยเจ้าไว้อย่างแน่นอน!”
สีหน้าของยีชุ่ยซีดเผือด นั่นสิ ในครานั้นนางเองก็ได้ร่วมมือสังหารมู่หรงชิวด้วย เพียงแต่นางยังมิได้เห็นวิญญาณของมู่หรงชิว ทว่านางเชื่อในเรื่องภูตผีวิญญาณอย่างลึกซึ้ง
“บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้เพคะ เพียงแต่ว่าบัดนี้ฝ่าบาท……”
เกรงว่าจวินฉีเซิ่งคงจะมิมาแน่
มู่หรงอี๋กล่าวขึ้นว่า “เพียงแค่เจ้าบอกกับเขาถึงเรื่องการทำร้ายมู่หรงชิวและฮ่องเต้องค์ก่อน แล้วใส่ร้ายป้ายสีอ๋องหวา อีกทั้งยังฆ่าล้างสังหารตระกูลมู่หรง แน่นอนว่าเขาจะต้องมา
และนี่ก็เป็นเรื่องที่มู่หรงอี๋ใช้ในการเกลี้ยกล่อมเจรจากับจวินฉีเซิ่งมาหลายปี
เนื่องจากมู่หรงอี๋รู้เรื่องราวเหล่านี้ ทั้งยังมีหลักฐาน จวินฉีเซิ่งจึงมิกล้าที่จะกระทำการบุ่มบ่ามแต่อย่างใด ด้วยเกรงว่าหลักฐานเหล่านี้จะถูกปรากฏในสาธารณชน
ยีชุ่ยจึงรีบก้มลงคุกเข่าคารวะแล้วเดินทางออกไป ท่าทางของนางดูโอนเอนมิเป็นท่า
ในสมองของมู่หรงอี๋ปรากฏภาพเงาของมู่หรงชิวขึ้นเป็นประจำ ใบหน้าอันขาวสีที่ลอยไปลอยมาราวกับจะปรากฏในตำหนักเฟิงหรวนเพื่อเอาชีวิตนาง
สายตาของมู่หรงอี๋มองไปยังนางในคนหนึ่ง กำชับด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “รอให้ท่านหมอผีฟื้นขึ้นแล้ว จงไปตามเขามา ข้ามีเรื่องจะเอ่ยถามเขา เจ้าได้ยินหรือไม่?”