ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 213 วิญญาณมาเอาชีวิต
จวินฉีเซิ่งกำลังครุ่นคิดปวดหัวกับเรื่องที่ตำหนักเย็นถูกไฟไหม้ขึ้น แท้จริงแล้วเรื่องราวเหล่านี้เขาได้มอบหมายให้หยินซวงซวงจัดการแล้ว แต่ว่าไฟนั้นปรากฏขึ้นอย่างน่าแปลกประหลาด ทำให้เขามิอาจวางใจได้เลย
อีกอย่าง เรื่องที่ก่อนหน้านี้เขาพยายามจะลองวางยาพิษกู้ชิวเหลิ่งยังมิผ่านพ้นไปอย่างดี เขารู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของวี่เฟยแต่ติดขัดที่ตำแหน่งของเหมียวเจียง จึงทำให้เขามิกล้าลงมืออย่างบุ่มบ่าม
เขารู้สึกว่ามิอาจทนอ่านสารที่วางอยู่บนโต๊ะเหล่านี้ได้อีกต่อไป
“ทูลฝ่าบาท ยีชุ่ยนางในรับใช้ที่อยู่ข้างกายกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
จวินฉีเซิ่งโบกมือขึ้นด้วยความโมโห “ข้ามิพบ!”
“ยีชุ่ยกล่าวว่ากุ้ยเฟยเหนียงเหนียงมีเรื่องสำคัญยิ่งจะทูลต่อฝ่าบาท ทั้งยังกล่าวถึงเรื่องเมื่อสี่ปีก่อน……”
จวินฉีเซิ่งขมวดคิ้วเข้าหากันและพยายามระงับความโกรธในใจ เขาสงบอารมณ์กล่าวว่า “ให้นางเข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ยีชุ่ยเดินตรงเข้ามาด้านในด้วยความระแวดระวัง นางเห็นสีหน้าของจวินฉีเซิ่งที่ดูมืดมน จึงสั่งให้ขันทีและนางในที่อยู่ห้องนั้นออกไป
“กุ้ยเฟยมีเรื่องใดจะกล่าวงั้นหรือ”
ยีชุ่ยคุกเข่าลง ตอบว่า “ฮ่องเต้เพคะ เหนียงเหนียงกล่าวว่ามีเรื่องเร่งด่วนยิ่งนักที่ต้องการทูลต่อฝ่าบาท ขอเชิญฝ่าบาทไปที่ตำหนักเฟิงหรวนเพคะ”
จวินฉีเซิ่งหัวเราะอย่างเยือกเย็น “ยีชุ่ย ในครานั้นที่ข้าสั่งให้เจ้าไปรับใช้ข้างกายมู่หรงอี๋ ก็เพื่อต้องการให้เจ้าคอยสืบดูทุกการกระทำของนาง เจ้าบอกข้ามาสิว่าในครั้งนี้นางมีจุดประสงค์ใด”
ร่างกายของยีชุ่ยขยับเขยื้อนเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ทูลฝ่าบาท ในครั้งนี้……กุ้ยเฟยเหนียงเหนียง ได้เห็นมู่หรงชิวเพคะ”
สามคำนั้นที่ออกมาจากปากของยีชุ่ย เลือดในร่างกายของจวินฉีเซิ่งก็แทบหยุดไหล มิรู้ว่าเพราะเหตุใด ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในบัดนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับมู่หรงชิว แม้แต่ในงานเลี้ยงพระราชวังในครานั้น ความตายของหลิ่วอี๋เหนียงและหนานชางโหวก็เช่นกัน
จวินฉีเซิ่งกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็นว่า “ข้าให้เจ้าไปอยู่รับใช้ข้างกายนางเพื่อจับจ้องมองดู มิใช่ให้เจ้ามาเอ่ยเรื่องราวไร้สาระเช่นนี้”
“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันมิกล้า เมื่อครู่กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงเอาแต่กล่าวว่านางเห็นมู่หรงชิวอยู่ในตำหนักเย็น กล่าวว่าจะมาแก้แค้น ท่าทางของนางเช่นนั้นดูมิเหมือนกับการเสแสร้งแกล้งทำ ดังนั้นหม่อมฉันจึงทำได้เพียงเดินทางมารายงานฝ่าบาท”
จวินฉีเซิ่งกล่าวขึ้นว่า “เจ้าจงกลับไปบอกนาง ในเมื่อครานั้นนางตัดสินใจจะฆ่ามู่หรงชิว ก็อย่าได้กลัวว่าจะถูกวิญญาณมาตามอาฆาตแค้น ตามข้าไปแล้วข้าจะช่วยสิ่งใดได้?”
“แต่ว่า……”
“อย่าให้ข้าต้องเอ่ยอีกเป็นหนที่สอง ไสหัวไปเสีย!”
ยีชุ่ยรีบตะเกียกตะกายปีนขึ้นจากพื้นแล้วออกไปทันที
จวินฉีเซิ่งขมวดคิ้วขึ้นด้วยความรำคาญใจ เหตุใดในช่วงนี้เขาจึงนอนมิค่อยหลับเอาเสียเลย
ส่วนมู่หรงอี๋กล่าวว่านางมองเห็นวิญญาณของมู่หรงชิว ……
จวินฉีเซิ่งราวกับพึมพำอยู่กับตนเอง แววตาอันเจ้าเล่ห์เยือกเย็นนั้นกล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อเจ้าตายไปแล้ว ข้าจะให้เจ้าตายไปอย่างไร้ร่องรอย!”
องครักษ์ลับปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าจวินฉีเซิ่ง จวินฉีเซิ่งนำมือไขว้หลังแล้วกล่าวว่า “จงจัดการกับที่แห่งนั้นให้สิ้นซาก ลงมืออย่างระมัดระวัง อย่าให้ผู้ใดพบหรือจับได้”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“มู่หรงชิว……”
จวินฉีเซิ่งเผยถึงรอยยิ้มอันเย็นชาออกมา “เหตุใดเจ้าจึงมักเข้ามาขัดขวางทางข้านัก?”
อีกด้านหนึ่ง ฉินโม่เอ๋อร์ที่เป็นลมหมดสติไปลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาคู่นั้นบริเวณดวงตามีเพียงรอยแยกออกมาเส้นบาง ๆ เรียกได้ว่ามิอาจมองเห็นใครได้ชัดเจน
“ฉ่ายฉิน? ฉ่ายฉิน?
ฉินโม่เอ๋อร์ลุกขึ้นนั่งจากเตียง จึงได้พบว่าใบหน้านั้นมีความเจ็บปวด ที่ศีรษะถูกผ้าพันเอาไว้
ตอนที่ฉ่ายฉินเดินทางมาเห็นฉินโม่เอ๋อร์ที่กำลังจะลุกขึ้นก็มิกล้าเข้าไปใกล้นัก ทำได้เพียงยืนอยู่ใกล้ ๆ กล่าวว่า “ฉินเฟยเหนียงเหนียง ตื่นแล้วหรือ รับประทานอาหารหรือไม่ หมอหลวงกล่าวเอาไว้ว่า ตอนนี้อย่าได้โดนน้ำ”
มือข้างหนึ่งของฉินโม่เอ๋อร์จับไปที่ใบหน้าของตน วินาทีนั้นสัมผัสได้ถึงความเจ็บแสบ จึงนึกถึงเรื่องเมื่อวานนี้ขึ้นมา นางได้รับประทานซุปหวานที่จวินฉีเซิ่งสั่งให้คนนำมาให้ นางก็รู้สึกแสบร้อนที่ใบหน้า จนกระทั่งส่องกระจกมองดูจึงเห็นสภาพของตนเอง ……
ใบหน้าอันน่ารังเกียจนั้น ……
“จงไปนำกระจกมาให้ข้า ข้าสั่งให้เอากระจกมาให้ข้า!”
ดวงตาทั้งสองข้างของฉินโม่เอ๋อร์แดงเรื่อ แต่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยผ้าขาวพันเอาไว้นั้นดูช่างน่ากลัวยิ่งนัก
ฉ่ายฉินมิกล้าขัดคำสั่ง นางรีบไปนำกระจกมา เดิมทีนางก็เป็นผู้อยู่ข้างกายรับใช้มู่หรงอี๋ เพื่อให้ฉินโม่เอ๋อร์มิอาจอยู่ในวังหลังนี้ได้อีกต่อไป ดังนั้นนางจึงต้องการให้ฉินโม่เอ๋อร์เห็นสภาพของตนเองอันน่าสมเพชและทนมิได้
ด้วยเหตุนี้นางจึงไปนำกระจกมาใส่ไว้ในมือของฉินโม่เอ๋อร์โดยมิกล่าวสิ่งใดแม้แต่น้อย
ฉินโม่เอ๋อร์ค่อย ๆ เปิดผ้าขาวบางที่พันใบหน้าของตนเอาไว้ ฉ่ายฉินถอยหลังออกไปก้าวหนึ่ง มิกล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมองดู
นางพบว่าสตรีที่ส่องกระจกใบนั้นอยู่ทำหน้าตาหวาดกลัวราวกับมิใช่มนุษย์ ใบหน้าดูน่ากลัวผิดแผกแปลกไป มองมิเห็นความงดงามดั่งอดีตแม้แต่น้อย
หากมิใช่เพราะในตอนนั้นฉินโม่เอ๋อร์เกิดอาการขึ้น คนที่อยู่รอบกายคงจะได้เห็นใบหน้านี้ของนาง มิว่าใครก็คงคิดว่านางถูกสับเปลี่ยนตัวอย่างแน่นอน
“กรี๊ด!”
ฉินโม่เอ๋อร์กุมใบหน้าของตนเอาไว้ มิมีผู้ใดหรอกที่จะมิสนใจเรื่องใบหน้าอันงดงามของตนเอง ส่วนนางที่เดิมทีใบหน้างดงามดุจดั่งนางฟ้ากลับมามีสภาพเป็นเช่นนี้ นางจะรับได้อย่างไรเล่า
“หมอหลวง จงตามหมอหลวงมา หากมิรักษาใบหน้าของข้าให้หายดี ข้าจะตามจองเวรจองกรรมไปตลอดชีวิต!”
ฉ่ายฉินคุกเข่าลงบนพื้น กล่าวขึ้นด้วยท่าทางอันจริงใจว่า “เมื่อวานนี้ ทั้งฮ่องเต้และหมอหลวงได้เดินทางมาแล้ว ฉินเฟยเหนียงเหนียงเพคะ ใบหน้าของท่าน……มิอาจรักษาให้หายได้”
“ผู้ใดกัน เป็นผู้ใดกันแน่ที่ทำให้ใบหน้าของข้าต้องกลายเป็นเช่นนี้ ฝ่าบาทงั้นหรือ มิใช่ มิใช่แน่!”
ฉินโม่เอ๋อร์กัดฟันกรอด แต่นางได้กินซุปหวานที่จวินฉีเซิ่งนำมาให้นางมิผิดเพี้ยน หลังจากที่นางดื่มมันเข้าไปแล้วก็กลายสภาพเป็นเช่นนี้
“มิใช่ฝ่าบาทอย่างแน่นอน เป็นจวิ้นจู่ของต้าเยียนผู้นั้น พระชายาของเซ่อเจิ้งหวาง นางต้องการทำร้ายท่าน แต่เมื่อวานนี้ฝ่าบาทมิได้ลงโทษนาง ทำเพียงแค่จัดการกับนางในที่นำซุปหวานนี้มามอบให้ เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทมีพระประสงค์ต้องการปกป้องนาง”
ฉ่ายฉินสังเกตสีหน้าท่าทางของฉินโม่เอ๋อร์ เป็นจริงดังคาด ฉินโม่เอ๋อร์ทำสีหน้าอันโหดร้ายขึ้น “กู้ชิวเหลิ่งหรือ? เป็นกู้ชิวเหลิ่งจริงหรือ นางกล้า……”
ฉินโม่เอ๋อร์กำมือแน่น ส่วนฉ่ายฉิน ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นเผยถึงรอยยิ้มอันได้ใจ การที่นางโยนความผิดเรื่องนี้ไปให้กู้ชิวเหลิ่ง หากกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงรู้เข้าคงจะตกรางวัลให้นางอย่างแน่แท้
ยีชุ่ยกลับไปที่ตำหนักเฟิงหรวน ท่าทางของมู่หรงอี๋ดูมิมั่นคงมากกว่าเมื่อครู่ตอนที่นางเดินทางจากไปเสียด้วยซ้ำ นางกำลังนั่งอยู่บนตั่งนอนของกุ้ยเฟย สายตาเหม่อลอยมองไปข้างนอก เมื่อพบว่ายีชุ่ยเดินทางกลับมาแล้ว ก็ได้รีบเอ่ยถามว่า “ฝ่าบาทเล่า เหตุใดเขาจึงมิได้เดินทางมาพร้อมกับเจ้า?”
ยีชุ่ยคุกเข่าอยู่บนพื้นกล่าวว่า “ทูลกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง ฝ่าบาทตรัสว่าจะมิทรงเดินทางมา อีกทั้งยังกำชับว่า……ในเมื่อครานั้น ในเมื่อเหนียงเหนียงตัดสินใจที่จะฆ่ามู่หรงชิว ก็มิควรเกรงกลัววิญญาณตามอาฆาตแค้น”
สายตาของมู่หรงอี๋เปลี่ยนเป็นแข็งทื่อในชั่วพริบตา “จวินฉีเซิ่งกล่าวเช่นนี้จริงหรือ เขากล้ากล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร หากมิใช่เพราะเขาในครานั้น ข้าจำเป็นจะต้องทำร้ายตระกูลมู่หรงทั้งตระกูลหรือ? หากมิใช่เพราะเขา ข้าจะกล้าไปฆ่ากู้ชิวเหลิ่งหรือ บัดนี้เขากลับมาปฏิเสธทุกสิ่งอย่าง!”
“กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงเพคะ บัดนี้จะทำเยี่ยงไรดี หากว่าวิญญาณมาตามอาฆาตแค้นเอาวิญญาณพวกเราเล่า……”
มู่หรงอี๋พึมพำว่า “จะทำอย่างไรได้อีกเล่า……เราจะทำอย่างไรได้อีก หวังว่าท่านหมอผีจะฟื้นขึ้นในเร็ววัน ในเมื่อเขากล่าวว่าที่ตำหนักเย็นมีผีสาวอยู่ที่นั่น แน่นอนว่าเขาคงจะรู้วิธีการแก้ไข มู่หรงชิว……ข้ามิกลัวเจ้าหรอก……”