ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 214 ปราบผี
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 214 ปราบผี
ขณะที่จีเฟิงยื่นกระดาษมาให้ กู้ชิวเหลิ่งกำลังนั่งอยู่บนตั่งนอนอันแสนนุ่มโดยมีอวี้ฉือจ้านพัดให้กู้ชิวเหลิ่งอยู่ข้างกาย มืออีกข้างหนึ่ง ถือหนังสือการทหารขึ้นอ่านดู
กู้ชิวเหลิ่งรับกระดาษแผ่นนั้นจากจีเฟิงไปอ่าน เป็นกู้เจินสั่งให้คนนำมามอบให้ตอนที่มิมีใครสังเกตเห็น
กู้ชิวเหลิ่งเหลือบมองดูจากนั้นโยนมันเข้าใส่กองไฟ “หลิ่วกุ้ยเฟยคนนี้ช่างลนลานดั่งสุนัขจนตรอกเสียจริง”
อวี้ฉือจ้านรู้ว่าคนที่กู้ชิวเหลิ่งกล่าวถึงนั้นก็คือหลิ่วกุ้ยเฟยที่เจอในวันนี้ ในงานชมดอกไม้เขาสัมผัสได้ว่าสายตาของมู่หรงอี๋ มักจับจ้องมาที่กู้ชิวเหลิ่ง จึงรู้ว่าคนคนนี้มิคิดดีกับกู้ชิวเหลิ่งแน่
“กู้เจินกล่าวว่าอย่างไร?”
“มู่หรงอี๋สั่งให้คนไปหาเขา หวังว่าจะให้ปราบผี”
“มู่หรงอี๋?”
กู้ชิวเหลิ่งชะงักลงเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “มู่หรงอี๋ก็คือยอดหญิงงามแห่งแคว้นฉีเป็นหนึ่งในคนของตระกูลมู่หรงที่ถูกทำลายทิ้งไปแล้วนั้น”
อวี้ฉือจ้านม้วนผมของกู้ชิวเหลิ่งขึ้นเบา ๆ กล่าวว่า “เหตุใดเมื่อครู่จากที่ข้าฟัง ยอดหญิงงามของแคว้นฉีที่กล่าวออกมาจากปากของน้องนางดูเหมือนกับกัดฟันกล่าวออกมาเล่า?”
“ข้ากัดฟันกล่าวอย่างไรกัน? มู่หรงอี๋คือยอดหญิงงามของแคว้นฉี นี่คือสิ่งที่ทุกคนยอมรับ” นางมิเคยรู้สึกอิจฉาริษยาผู้ใดเนื่องจากรูปร่างหน้าตา กู้ชิวเหลิ่งยิ้มขึ้นเบา ๆ กล่าวว่า “ในวันนี้ตอนที่เจ้าเห็นยอดหญิงงามแห่งแคว้นฉี เจ้ามีความรู้สึกเช่นไร?”
“ดวงตาทั้งคู่ของข้าจับจ้องอยู่แต่ที่น้องนางจึงมิได้ชายตามองผู้ใด”
กู้ชิวเหลิ่งเลิกคิ้วขึ้น “สิ่งที่เจ้ากล่าวนั้นจริงหรือเท็จ?”
อวี้ฉือจ้านกล่าวว่า “วันนั้นในท้องพระโรง คำสาบานถึงความเป็นความตายยังคงอยู่ ข้าจะกล้าพูดปดต่อหน้าน้องนางได้อย่างไร การที่น้องนางเกิดข้อสงสัยเช่นนี้ เพราะต้องการให้ข้าต้องถูกฟ้าดินลงโทษหรือ?”
จีเฟิงที่นั่งอยู่ด้านข้างได้ยินคำกล่าวอันปวดใจของเจ้านายเช่นนั้น ความคิดในสมองก็ดูว่างเปล่า แย่แล้วเมื่อครู่เขาลืมที่จะออกไปจากห้อง ตอนนี้ออกไปยังทันอยู่หรือไม่
กู้ชิวเหลิ่งมองไปทางจีเฟิงที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมโดยมิรู้ว่าจะออกไปจากห้องนี้ดีหรือไม่ จากนั้นจึงยิ้มขึ้นว่า “เจ้าออกไปเถอะ จงไปบอกข่าวกับกู้เจินให้เขาสานความสัมพันธ์กับมู่หรงอี๋ให้ดี จะเป็นการดียิ่งหากทำให้มู่หรงอี๋เชื่อฟังสิ่งที่เขาบอกอย่างมิสนใจเรื่องอื่นใด”
จีเฟิงตอบว่า “ขอรับ”
หลังจากที่จีเฟิงเดินออกไปแล้ว กู้ชิวเหลิ่งจึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า “เมื่อวานนี้ที่เจ้าเดินทางมา เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ในสวนดอกไม้หลวง พระราชวังแคว้นฉีใหญ่โตเพียงนี้ เจ้าอย่าได้บอกข้าว่าเป็นเพราะจิตใจของเจ้าเชื่อมโยงอยู่กับข้า”
อวี้ฉือจ้านเลิกคิ้วขึ้นตอบว่า “แน่นอนว่ามีคนบอกข้า”
กู้ชิวเหลิ่งดูเหมือนคิดบางอย่างได้จึงตอบว่า “เป่ยไห่เฟิงงั้นหรือ?”
“ถูกต้องแล้ว”
กู้ชิวเหลิ่งส่ายหน้า เมื่อครั้งก่อนแม้ว่านางกับเป่ยไห่เฟิงจะทำการประลองกัน แต่นางมิคิดว่าเป่ยไห่เฟิงจะคอยติดตามนางเช่นนี้ เดาว่าเขาคงจะกลัวนางไปสร้างปัญหาขึ้นโดยใช่เหตุ ดังนั้นเมื่อเห็นอวี้ฉือจ้านเดินทางมาจึงได้เดินทางไปบอกอวี้ฉือจ้าน
“ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ข้าเองก็อยากถามเหลือเกิน เจ้ากับเป่ยไห่เฟิงมีความสัมพันธ์กันเช่นไร นับแต่ครั้งแรกที่เจอกันเขาก็จำเจ้าได้ในทันที”
อวี้ฉือจ้านขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยดูท่าทางเป็นทุกข์หนักใจ “ในตอนนั้นข้ายังหนุ่มขี้เล่น เรามิอาจนับได้ว่าเป็นสหาย แต่ก็เคยรู้จักกันมาก่อน ถือได้ว่ามีความรู้สึกดีต่อกันเล็กน้อย”
กู้ชิวเหลิ่งดวงตามืดมนลงแล้วกล่าวว่า “เป็นหนุ่มขี้เล่นงั้นหรือ”
ผู้ใดเล่าที่มิเคยผ่านชีวิตวัยเยาว์ ก่อนหน้านี้นางเองก็เคยสวมชุดสีแดงสดใส นางเป็นแม่ทัพหญิง สวมชุดเกราะสีเลือดมิเกรงกลัวฟ้าดิน แม้แต่พระราชโองการของฮ่องเต้พระองค์ก่อน นางก็กล้าที่จะขัดขืน ทว่าบัดนี้สิ่งต่าง ๆ ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
“เป็นอะไรงั้นหรือ?”
มือของอวี้ฉือจ้านพลิกกลับมาจับมือของกู้ชิวเหลิ่งเอาไว้ นิ้วมือทั้งสองข้างอันอบอุ่นทำให้กู้ชิวเหลิ่งรู้สึกผ่อนคลาย
“มิมีสิ่งใดหรอก ข้าเพียงรู้สึกว่าเซ่อเจิ้งหวางที่บัดนี้อายุก็ปาเข้าไปสามสิบปีแล้ว ยังสามารถควบคุมทุกสิ่งอย่างได้ในกำมือและมิเกรงกลัวฟ้าดินใด ๆ ”
อวี้ฉือจ้านยิ้มขึ้นเบา ๆ “เจ้ากำลังกล่าวว่าข้ากินหญ้าอ่อนงั้นหรือ?”
กู้ชิวเหลิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แท้จริงแล้วจากอายุของนางเปรียบเทียบกันกับอวี้ฉือจ้าน นางอายุน้อยกว่าอวี้ฉือจ้านเพียงมิกี่ปีเท่านั้น เพียงแต่ร่างกายปัจจุบันของนางนี้มีอายุเพียงแค่สิบสี่สิบห้าปี ห่างจากอวี้ฉือจ้านสิบกว่าปีทีเดียว
อวี้ฉือจ้านบรรจงจุมพิตที่มุมปากของกู้ชิวเหลิ่งเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “เพียงแค่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะปกป้องเจ้าทุกรอบด้านเอง”
กู้ชิวเหลิ่งตอบรับเบา ๆ จูบของอวี้ฉือจ้านนั้นหนักหน่วงราวกับลมกระโชกแรง แม้ว่าบัดนี้จะเป็นกลางวัน แต่ก็ช่างมีความเสน่หาดั่งกลางคืน
อวี้ฉือจ้านอุ้มกู้ชิวเหลิ่งขึ้นมาจากนั้นวางนางลงบนเตียง ดวงตาเต็มไปด้วยความรักและเสน่หาไม่มีความลับใดซ่อนเร้น ราวกับจะแทรกกายเข้าไปในเลือดเนื้อร่างกายของนาง
หลังจากผ่านวันนั้นไป กู้เจินได้รับคำสั่งจากกู้ชิวเหลิ่ง เขาเดินตามยีชุ่ยเข้าไปในตำหนักเฟิงหรวน
มู่หรงอี๋กำลังนั่งอยู่บนตั่งนอนของกุ้ยเฟย นางจัดเตรียมชาหอมไว้สำหรับกู้เจินแล้วก่อนหน้า
เดิมทีกู้เจินมีรูปร่างกำยำ บัดนี้เมื่อเขาสวมเสื้อคลุมชุดยาวหลวม ๆ และหน้ากากเงิน ทำให้ดูดุจดั่งเทพเซียน มองไปเปรียบเหมือนผู้บำเพ็ญตนแสนเชี่ยวชาญ
“ข้าน้อยอีเจิน คารวะกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง”
มู่หรงอี๋โบกมือขึ้นแล้วกล่าวว่า “ยีชุ่ยจงนำเก้าอี้มา”
“ขอบพระคุณกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง”
กู้เจินนั่งอยู่บนเก้าอี้ เขาเห็นมู่หรงอี๋เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “มิทราบว่าร่างกายของท่านหมอผีดีขึ้นแล้วหรือไม่?”
กู้เจินกล่าวขึ้นเบา ๆ ว่า “ผีตนนี้ดุร้ายนัก โชคดีที่ข้านั้นบำเพ็ญบุญมา รู้จักวิธีแก้บ้างเล็กน้อย มิเช่นนั้นก็อาจจะตายอย่างไร้ร่องรอย”
เมื่อได้ยินคำว่าตายอย่างไร้ร่องรอย มู่หรงอี๋ก็ชะงักลงทันทีแล้วเอ่ยขึ้นว่า “มิทราบว่าท่านหมอผีพอรู้ถึงที่มาของผีตนนี้หรือไม่ มันมาจากที่ใด เหตุใดจึงอยู่ในตำหนักเย็น และไฟผีนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร?”
มู่หรงอี๋เอ่ยถามคำถามมากมายติดต่อกัน กู้เจินเพียงแค่ยิ้มขึ้นเบา ๆ แต่รอยยิ้มนั้นทำให้มู่หรงอี๋รู้ตัวว่านางเสียมารยาทไป จากนั้นก็ได้ยินกู้เจินกล่าวขึ้นว่า “ผีร้ายตัวนี้ดูเหมือนจะมิได้อยู่ในตำหนักเย็น แต่มันแปดเปื้อนไปด้วยความโกรธแค้น คาดว่าคงจะถูกรัศมีมืดมนของตำหนักเย็นดึงดูดเข้าไป มันมีความอาฆาตมาก คาดว่าตอนที่มีชีวิตอยู่นางสามารถฆ่าผู้อื่นได้ดุจดั่งฆ่ามดแมลง การตายเช่นนี้เมื่อตายไปแล้วจึงทำให้วิญญาณมีพลังมหาศาลเช่นกัน”
มู่หรงอี๋เริ่มมั่นใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าผีตนนี้ก็คือมู่หรงชิว ตอนนั้นมู่หรงชิวเป็นแม่ทัพหญิง แม้ว่าจะเป็นสตรีแต่ก็ฆ่าชีวิตผู้คนมากมายนับมิถ้วน ตอนที่นางตาย นางตายอยู่ในคุกใต้ดิน คาดว่าคงจะถูกพันล้อมไปด้วยพลังงานมากมาย
กู้เจินกล่าวขึ้นว่า “ผีไฟนี้ดูเหมือนจะผิดปกติไป อาจเป็นเพราะนางดูดซับพลังงานมืดจึงทำให้แปลงเป็นผีไฟเผาตำหนักเย็นขึ้นมา เพียงแต่ข้าน้อยก็มิรู้ว่าผีตนนี้ทำได้อย่างไร ช่างน่าสับสนยิ่งนัก”
มู่หรงอี๋กำผ้าเช็ดหน้าในมือไว้แล้วถามว่า “มีวิธีขับไล่ผีตนนี้ไปหรือไม่ หากมีทางสามารถนำความสงบสุขมายังพระราชวังแห่งนี้ได้อีกครั้ง ท่านหมอผี ท่านต้องการค่าตอบแทนเท่าไร ข้าจักเจรจากับฝ่าบาทให้มิมีปัญหา”
กู้เจินดูท่าทางครุ่นคิดแล้วตอบว่า “การขับไล่ผีสางนั้นเป็นความสามารถพิเศษของข้าน้อยและเป็นสิ่งที่ข้าน้อยถนัด เพียงแต่ว่าผีตนนี้มีพลังมากจริง เพียงแค่นักบวชเต๋าเช่นข้าน้อยเพียงคนเดียวเกรงว่ามิอาจประสบความสำเร็จได้ แต่อาจารย์ของข้าน้อยคาดว่าคงมีวิธีจัดการ เพียงแต่บัดนี้ท่านอาจารย์มิได้อยู่ในวังหลวง”
มู่หรงอี๋เอ่ยถามทันทีว่า “มิทราบว่าอาจารย์ของท่านอยู่ที่ใด ข้าจะให้คนไปตาม?”
กู้เจินตอบว่า “เมื่อวานนี้ท่านอาจารย์ส่งจดหมายมา กล่าวว่าเห็นหมอกควันปรากฏในเมืองหลวง ดังนั้นจึงได้ออกเดินทางมายังเมืองหลวง คาดว่าวันพรุ่งนี้คงจะถึง เมื่อถึงเวลานั้นข้าน้อยจะสั่งให้คนไปส่งข่าว”