ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 218 เวลาสิบวัน
หันไปเหลือบมองดูหนอนพิษกู่ จากนั้นจึงกล่าวขึ้นว่า “หนอนกู่ชนิดนี้พิษของมันนับว่าอยู่ในระดับกลาง หากว่ารับเข้าไปในปริมาณหนึ่ง ใบหน้านั้นก็จะเน่าเฟะ มองไปน่าเกลียดยิ่งนัก หนอนกู่ทั้งหมดจะพากันไปรวมตัวอยู่ที่ใบหน้า หนอนพิษกู่นิดนี้มิมียาถอนพิษ ต่อให้ผู้ที่ถูกวางยาพิษ ตายไป หนอนข้างในนั้นก็จะกัดเซาะกินเนื้อและเลือดของคนผู้นั้น แล้วตายจากไปเช่นกัน”
กู้ชิวเหลิ่งขมวดคิ้วขึ้น กล่าวว่า “ความหมายของวี่เฟยนั้น คือหนอนกู่ชนิดนี้จะกัดเซาะกินเนื้อและเลือดของผู้ตายด้วยงั้นหรือ?”
“ถูกต้องแล้ว”
กู้ชิวเหลิ่งหันไปมองดูหมอหลวง กล่าวว่า “มิรู้ว่าจะรบกวนท่านหมอหลวงดึงพิษออกจากหนอนกู่ตัวนี้ออกมาได้หรือไม่ เพื่อดูว่า ฉินเฟยได้รับพิษชนิดใด”
หมอหลวงกล่าวขึ้นด้วยความเคารพ “สิ่งที่พระฉายาเซ่อเจิ้งหวางกล่าวมานั้นสามารถเป็นไปได้ กระหม่อมจะรีบไปทำ ณ บัดนี้”
จวินฉีเซิ่งพยักหน้ากล่าวว่า “จงไปทำตามที่พระชายาเซ่อเจิ้งหวางกล่าวเถิด”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ!”
หมอหลวงเอื้อมมือมารับหนอนกู่นั้นไป แล้วหยิบขวดโหลออกมาขวดหนึ่งจากกล่องยา เขาค่อย ๆ บดเจ้าหนอนกู่ตัวนี้ มีกลิ่นเหม็นโชยออกมาจากโถนั่น หมอหลวงรีบกล่าวขึ้นว่า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมรู้แล้วพ่ะย่ะค่ะว่านี่คือพิษใด น่าจะเป็นพิษเสี่ยหลีจื่อชนิดเรื้อรัง พิษชนิดนี้ หากว่าอยู่ในร่างกายมนุษย์จะมิอาจสัมผัสได้ แต่หากว่าเวลานานวันเข้า พิษชนิดนี้ก็จะแผ่ซ่านไปทั่วและทำให้ถึงแก่ความตาย อีกทั้งพิษชนิดนี้มีความใกล้เคียงกันกับหนอนพิษกู่ คาดว่าหนอนกู่นี้จะเข้าไปใกล้เสี่ยหลีจื่อ ดังนั้นฉินเฟยจึงได้สิ้นใจกะทันหันในเวลาวันเดียว”
สีหน้าของจวินฉีเซิ่งดูมิน่ามองนัก “สิ่งที่เจ้ากล่าวมานั้นเป็นเรื่องจริงหรือ หาใช่คำเท็จ?”
หมอหลวงกล่าวว่า “กระหม่อมประกอบอาชีพหมอมานานหลายสิบปีแล้ว กระหม่อมจะมิโกหกอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้ฉือจ้านกล่าวขึ้นด้วยความเย็นชาว่า “มองดูแล้วคงจะมีคนจงใจใช้หนอนพิษกู่นี้เป็นเครื่องมือในการสังหารฉินเฟยผู้ใดกันที่กล้าหาญเพียงนี้ กล้าที่จะใช้พิษในการสังหาร ฮ่องเต้ฉีท่านควรให้ข้ออธิบายแก่เราหน่อยหรือไม่?”
“แน่นอน เพียงแค่เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันยิ่งนัก เรามิอาจหาตัวฆาตกรได้ในเร็ววัน เราจำเป็นต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ เซ่อเจิ้งหวางและพระชายาประทับอยู่ในพระราชวังแห่งนี้ก่อนเถิด รอเมื่อจับผู้ร้ายได้แล้วนั้น ข้าจะให้คำชี้แจงอันน่าพึงพอใจแก่เซ่อเจิ้งหวางและพระชายาอย่างแน่นอน ท่านทั้งสองคิดว่าเช่นนี้เป็นอย่างไร”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า “สิ่งที่ฮ่องเต้ฉีกล่าวมานั้นเป็นวิธีที่ดียิ่ง เพียงแต่ข้าคิดว่าเราควรจะกำหนดเวลาจึงจะดี ถึงอย่างไรเซ่อเจิ้งหวางก็เป็นเซ่อเจิ้งหวางแห่งต้าเยียน มิเหมาะสมนักหากจะอยู่ในแคว้นฉีเป็นเวลาเนิ่นนาน ตัวข้าเองนั้นก็เคยได้ยินนามว่ากฎหมายของแคว้นฉีเข้มงวดยิ่งนัก มิทราบว่าเวลาสิบวันนั้นเพียงพอหรือไม่”
จวินฉีเซิ่งกล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อพระชายาเซ่อเจิ้งหวางกล่าวออกมาดังนี้แล้ว เวลาสิบวันตกลงตามนั้น ข้าจะให้พวกเขารีบเร่งในการทำงาน และจับตัวผู้ร้ายให้ได้ในเร็ววันที่สุด”
อวี้ฉือจ้านก้าวไปด้านหน้าแล้วกล่าวว่า “ผู้ที่สิ้นใจนั้นคือองค์หญิงเหอชินเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับสันติภาพระหว่างสองประเทศ ข้าคิดว่าหากแคว้นฉีเป็นผู้ลงแรงสืบหาเพียงฝ่ายเดียวคงจะยาก ข้าแนะนำว่าให้ข้าและพระชายาของข้าเข้าร่วมค้นหาความเท็จจริงในเรื่องนี้ด้วย เพื่อจับตัวฆาตกร และให้คำชี้แจงที่สมเหตุสมผลแก่ประชาชนต้าเยียน”
รอยยิ้มบนใบหน้าจวินฉีเซิ่งดูแข็งทื่อ ให้อวี้ฉือจ้านมาร่วมสืบคดีด้วยงั้นหรือ ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของอวี้ฉือจ้านมิธรรมดา เมื่อถึงเวลานั้นต่อให้วี่เฟย จะกล่าวอย่างไร ก็อยากที่จะปัดความผิดและคาดว่าคงจะสืบหาข้อผิดปกติออกมาได้
“เป็นอะไรงั้นหรือ ฮ่องเต้ฉีลำบากใจ?”
วี่เฟยทำท่าทางกระสับกระส่าย เรื่องนี้หากว่าให้อวี้ฉือจ้านและกู้ชิวเหลิ่งมารับผิดชอบด้วยล่ะก็ ลูกเล่นของนางเล็ก ๆ น้อยๆ เหล่านั้นคงจะต้องถูกค้นพบอย่างแน่นอน
รอยยิ้มของอวี้ฉือจ้านทำให้จวินฉีเซิ่งมิรู้ว่าควรจะกล่าวออกมาอย่างไรดี จู่ ๆ กู้ชิวเหลิ่งก็ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า “ได้ยินมาว่า ฮ่องเต้ฉีมิเพียงแต่รักลำเอียงหลิ่วกุ้ยเฟย ทั้งยังชื่นชมวี่เฟยยิ่งนัก คาดว่าคำพูดนี้คงจะมิได้เป็นเรื่องเท็จ”
บัดนี้หลักฐานทั้งหมดชี้ตัวไปที่วี่เฟย หากว่าจวินฉีเซิ่งยังคงลังเล เขาคงถูกสงสัยว่ากำลังปกป้องวี่เฟยอยู่
ท่ามกลางสถานการณ์นั้น จวินฉีเซิ่งมองเห็นดวงตาอันแหลมคมของกู้ชิวเหลิ่งอย่างมิรู้ตัว เขาจึงได้กล่าวขึ้นตามสัญชาตญาณว่า “ข้าหาได้หมายความเช่นนั้น หากเซ่อเจิ้งหวางยินดี ข้ามีเหตุผลอันใดที่มิอนุญาตกัน อีกอย่างเรื่องนี้เกี่ยวข้องและสำคัญมากระหว่างความสัมพันธ์ของสองประเทศ”
หัวใจของวี่เฟยเย็นเยือก ครานี้หากนางตกไปอยู่ในมือของอวี้ฉือจ้าน อย่าว่าแต่นางเลย แม้แต่เหมียวเจียงเองคาดว่าก็คงมิเข้ามาปกป้องนางเอาไว้ได้
จวินฉีเซิ่งกล่าวต่อขันทีข้างกายว่า “จงจัดการพระศพของฉินเฟยให้เรียบร้อย ในเมื่อเซ่อเจิ้งหวางและพระชายาจะเข้ามาชันสูตรศพด้วยตนเอง จากนี้จึงมิจำเป็นต้องให้ผู้ใดมาชันสูตรศพอีก จงไปจัดเตรียมโลงพระศพ เนื่องจากบัดนี้เป็นฤดูร้อน เพื่อมิให้เกิดสิ่งใดขึ้นกับพระศพ จงรีบหาวันมงคลในระยะเวลาอันใกล้ที่สุดแล้วทำพิธีฝังกุ้ยเฟย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
จวินฉีเซิ่งยังกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “บัดนี้กินเวลามาเนิ่นนานแล้ว ขอเชิญเซ่อเจิ้งหวางและพระชายารีบเดินทางกลับไปพักผ่อนเถิด ข้าจะจัดการเรื่องต่าง ๆ ของฉินเฟยให้อย่างเรียบร้อย ท่านทั้งสองโปรดวางใจ แคว้นฉีและต้าเยียนของเรา มิตรภาพนั้นจะยังคงอยู่เชื่อมโยงกันไปมิเปลี่ยนแปลง”
อวี้ฉือจ้านพยักหน้าเล็กน้อย ที่ด้านนอกท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มลงแล้ว จวินฉีเซิ่งจึงสั่งให้คนไปเตรียมเกี้ยวสองหลังมาให้พวกเขา แล้วแบกอวี้ฉือจ้านกับกู้ชิวเหลิ่งกลับไป
เมื่อเดินตรงเข้าไปถึงห้องโถง อวี้ฉือจ้านก็รั้งกู้ชิวเหลิ่งเอาไว้กล่าวว่า “ด้านในมีคน!”
กู้ชิวเหลิ่งเลิกคิ้วขึ้นเบา ๆ นางสัมผัสได้ถึงความผิดปกติไป แต่ว่าเป็นความสัมพันธ์อันบางเบา ทว่าเมื่อในห้องสงบกว่าเดิม ยิ่งสงบเพียงไรนางก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงรังสีอาฆาตรุนแรงขึ้นเท่านั้น
บรรยากาศรอบตัวอวี้ฉือจ้านดูเยือกเย็นลง น้ำเสียงของเขาทำให้ผู้คนที่ได้ยินรู้สึกเย็นชายิ่งนัก “มิทราบว่าท่านคือผู้ใด จงกล่าวออกมาเถิด”
“เซ่อเจิ้งหวางช่างมีความสามารถมากยิ่งนัก แต่การที่ข้าเดินทางมาครั้งนี้เพียงเพราะมีผู้ไหว้วาน ฝากคำบางคำมาให้หญิงสาวที่อยู่ข้างกายท่าน เวลาสิบห้าปีกำลังจะมาถึงแล้ว แคว้นเป่ยจิ้งโหว”
ประโยคนี้ทั้งหนักอึ้งและดูสงบ ฟังไปมีความรู้สึกถึงความขบขันเล็กน้อยจากผู้พูด กู้ชิวเหลิ่งพยายามรื้อฟื้นความทรงจำจากร่างกายนี้ แต่ก็มิอาจค้นพบได้ว่าน้ำเสียงของชายผู้นี้คือใคร และระยะเวลาสิบห้าปีที่กล่าวออกมาจากปากของเขานั้นหมายความว่าอย่างไรกันแน่ แคว้นเป่ย…… หรือจะเป็นฉู่สวิน?
บรรยากาศในห้องโถงจางหายไปทันที อวี้ฉือจ้านตั้งใจจะติดตามไปแต่กลับถูกกู้ชิวเหลิ่งคว้าแขนเอาไว้ นางส่ายหน้ากล่าวว่า “คนผู้นี้ลึกลับยิ่งนัก มิรู้ว่าไปในทางทิศใด คาดว่าคงจะมิใช่คนธรรมดา ต่อให้เจ้าเข้าไปในบัดนี้คาดว่าก็คงมิอาจตามเขาทัน”
อวี้ฉือจ้านครุ่นคิดคำเมื่อครู่ของคนผู้นั้น เมื่อกล่าวถึงแคว้นเป่ย ในใจเขาก็รู้สึกแปลก ๆ
เมื่อเห็นท่าทางอันสงสัยของกู้ชิวเหลิ่ง ในใจของเขาก็ดูโล่งว่างเปล่า ราวกับมองเห็นความลับในใจของนาง แต่กู้ชิวเหลิ่งกลับมิยอมเปิดเผยแก่เขา
กู้ชิวเหลิ่งสัมผัสได้ถึงความผิดหวังและว่างเปล่าของอวี้ฉือจ้านในทันใด นางจึงกล่าวว่า “ข้าหาได้หมายถึงสิ่งอื่นใด สิ่งที่ชายเมื่อครู่กล่าวออกมานั้นข้าเองก็มิเข้าใจว่าหมายถึงอะไร เจ้าอย่าได้คิดมากไป”
อวี้ฉือจ้านตบลงไปบนหลังมือของกู้ชิวเหลิ่งเบา ๆ กล่าวว่า “น้องนางเจ้ากำลังให้คำ อธิบายกับขายอยู่งั้นหรือ”
“ข้า……”
“ข้าล้อเจ้าเล่นต่างหาก เพียงแต่ว่า…… หากเรื่องนี้สำคัญยิ่งนัก เจ้าจงอย่าได้โกหกข้า จงอย่าได้ปิดบังเช่นนั้นเลย”
ใบหน้าของอวี้ฉือจ้านเต็มไปด้วยความหนักแน่นเคร่งขรึม ทำให้กู้ชิวเหลิ่งอดมิได้ที่จะกล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว หากว่าเรื่องนี้สำคัญยิ่งนัก ต่อให้ข้าปิดบังผู้ใดข้าก็จะมิปิดบังเจ้า”