ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 220 สาวฟีนิกซ์
ในวันนี้เพิ่งจะรุ่งสาง กู้ชิวเหลิ่งลืมตาขึ้นพบว่าอวี้ฉือจ้านจากไปแล้วก่อนหน้า
กู้ชิวเหลิ่งสวมเสื้อคลุมแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันดูเฉยเมยผ่านประตูว่า “ท่านอ๋องของพวกเจ้าเล่า?”
จีเฟิงอยู่ที่ด้านนอกประตูดังคาด เขาตอบว่า “ท่านอ๋องเดินทางออกไปสืบคดีแล้วขอรับ”
กู้ชิวเหลิ่งจึงได้นึกขึ้นว่าเมื่อวานนี้อวี้ฉือจ้านเป็นผู้อาสาจะเดินทางไปสืบคดีด้วยตนเอง ระยะเวลาสิบวันนั้นมินานเลย ดูเหมือนเขาคงจะต้องการจัดการบางอย่างจึงได้เดินทางออกไปแต่เช้าตรู่เช่นนี้
หลังจากที่กู้ชิวเหลิ่งล้างหน้าอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว นางก็รับประทานมื้อเช้าที่จีเฟิงนำมาให้ ก่อนกล่าวขึ้นว่า “เจ้าจงติดตามอยู่ข้างกายท่านอ๋องของพวกเจ้า ปกป้องความปลอดภัยของเขา เขาเป็นเซ่อเจิ้งหวางแห่งต้าเยียน จวินฉีเซิ่งเกรงว่าจะคิดร้ายต่อเขา”
จีเฟิงกล่าวว่า “ท่านอ๋องกำชับเอาไว้ ให้ข้าน้อยอยู่เคียงข้างพระชายา ปกป้องดูแลความปลอดภัยของพระชายา ดังนั้นข้าน้อยจึงมิกล้าห่างไปแม้แต่ครึ่งก้าว”
กู้ชิวเหลิ่งวางโจ๊กในมือลงกล่าวว่า “คำสั่งของข้าเจ้ามิฟังงั้นหรือ?”
“……ข้าน้อยมิกล้า”
กู้ชิวเหลิ่งจึงลดน้ำเสียงต่ำลงกล่าวว่า “ข้าเป็นห่วงเขา เจ้าจงไปดูเขาเถิดอย่าให้คนของจวินฉีเซิ่งมาทำร้ายเขาได้”
เมื่อมองดูท่าทางอันเป็นกังวลของกู้ชิวเหลิ่ง จีเฟิงจึงอดมิได้ที่จะกล่าวว่า “ขอรับ”
เมื่อพบว่าจีเฟิงจากไปแล้ว กู้ชิวเหลิ่งจึงได้แสดงท่าทีอันบางเบาออกมา ความเป็นห่วงกังวลเมื่อครู่นั้นจางหายไปจนสิ้น
แทบเป็นไปมิได้เลยที่จวินฉีเซิ่งจะต่อสู้กับอวี้ฉือจ้านในต้าเยียน
บัดนี้วังหลังฉินโม่เอ๋อร์ซึ่งเป็นองค์หญิงเหอชินได้สิ้นใจลงแล้ว ต่อมาอวี้ฉือจ้านในฐานะเซ่อเจิ้งหวางก็ถูกทำร้ายด้วย หากเรื่องเช่นนี้เผยแพร่ไปถึงต้าเยียนคาดว่าแคว้นฉีและต้าเยียนคงจะต้องเปิดสงครามกันอย่างแน่นอน จวินฉีเซิ่งมิใช่คนโง่ ก่อนที่เขาจะแน่ใจว่าสามารถทำลายต้าเยียนและซีจิ้งได้แน่นอนว่าเขาจะมิประกาศสงครามกับอวี้ฉือจ้าน
ส่วนการที่นางให้จีเฟิงไปหาอวี้ฉือจ้านนั้นนางมีแผนการอื่นอยู่
กู้ชิวเหลิ่งเปลี่ยนชุดเป็นชุดเรียบง่าย จากนั้นเดินตรงไปที่ประตูวัง นำตราหยกของอวี้ฉือจ้านที่ให้เอาไว้ไปด้วย ดังนั้นผู้คุมประตูวังจึงมิกล้าที่จะรั้งนางเอาไว้
กู้ชิวเหลิ่งเร่งฝีเท้าของนางจากนั้นสวมเสื้อคลุมเดินออกไปด้านนอกพระราชวัง เป็นไปดังนั้น ผู้เฝ้าประตูคนหนึ่งเข้ามารั้งนางเอาไว้แล้วเอ่ยถามว่า “ท่านคือผู้ใด โปรดแสดงตราหยกของท่าน”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวด้วยใบหน้าเย็นชาว่า “ข้าคือพระฉายาเซ่อเจิ้งหวางแห่งต้าเยียน ข้าตั้งใจจะเดินทางมาช่วยสามีของข้าในการสืบคดี และนี่คือตราหยกของข้า พวกเจ้าเห็นมันโดยละเอียดแล้วหรือไม่”
ผู้คุ้มกันทั้งสองคนเห็นดังนั้นจึงรีบคุกเข่าลงสู่พื้นกล่าวว่า “ที่แท้เป็นพระชายาเซ่อเจิ้งหวางนั่นเอง กระหม่อมมีตาหามีแววมิ พระชายาเซ่อเจิ้งหวางอ๋องรู้ทางหรือไม่ กระหม่อมจะนำทางไปเอง”
“มิจำเป็น ข้ากับสวามีของข้านั้นนัดหมายกันเอาไว้แล้ว พวกเจ้าเพียงเปิดทางก็พอ”
ผู้คุ้มกันประตูวังหลบไปอยู่ด้านข้าง เมื่อกู้ชิวเหลิ่งเดินทางจากไปแล้วพวกเขาก็มิลืมที่จะกล่าวว่า “ข้าน้อยน้อมส่งพระชายาเซ่อเจิ้งหวางด้วยความเคารพ”
ส่วนเหตุผลที่ผู้คุมกันเหล่านี้ทำท่าทีสุภาพต่อกู้ชิวเหลิ่ง แท้จริงแล้วก็เป็นเพราะอวี้ฉือจ้านนั่นเอง
อวี้ฉือจ้านมิใช่เป็นเพียงเซ่อเจิ้งหวางแห่งต้าเยียน อีกทั้งยังเป็นเทพสงครามอีกด้วย และฉายาเทพสงครามนี้มิได้แต่งตั้งขึ้นโดยประชากรต้าเยียน แต่เป็นผู้ที่อยู่นอกต้าเยียนตั้งฉายานี้ให้แก่เขา
เซ่อเจิ้งหวางมิเคยแพ้ในการทำสงครามแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้นเขาจึงเป็นวีรบุรุษในสายตาทหารทุกคน
สตรีของเทพสงครามคงจะมิใช่คนธรรมดาอย่างแน่แท้
ส่วนกู้ชิวเหลิ่งหลังจากที่เดินทางออกจากเมืองหลวงอย่างราบรื่น นางมองไปรอบข้าง เมื่อเทียบกับเมื่อสี่ปีก่อน เมืองหลวงแห่งแคว้นฉีเปลี่ยนไปเป็นเจริญรุ่งเรืองมาก พอจะมองเห็นสภาพเมื่อสี่ปีก่อนอย่างเลือนราง เพียงแต่ว่ามีบ้านเรือนสูงชันปรากฏขึ้นหลายแห่ง แต่ก็มิใช่เรื่องยากที่จะจดจำทางเดินเหล่านี้
กู้ชิวเหลิ่งเดินอยู่บนถนนอิฐสีแดงที่เจริญรุ่งเรือง จนกระทั่งมาถึงโรงเตี๊ยมสูงสุดแห่งหนึ่ง
เมื่อเข้าไปดูด้านในก็พบว่าช่างว่างเปล่า มิมีผู้ใดแม้แต่คนเดียว
กู้ชิวเหลิ่งขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ทันทีที่นางก้าวขาเข้าไปก็ได้ยินน้ำเสียงของชายหนุ่มผู้หนึ่งดังขึ้นว่า “โปรดนั่งลงก่อนเถอะ”
กู้ชิวเหลิ่งเดินตามขึ้นไปที่บันไดชั้นสอง ทันทีที่นางเดินตรงเข้าไป กู้ชิวเหลิ่งก็ได้กลิ่นหอมจาง ๆ ของไม้จันทน์ ช่างดูสงบยิ่งนัก นางพบชายคนหนึ่งสวมหน้ากากเอาไว้ครึ่งหนึ่งและสวมเสื้อคลุมยาว ชายผู้นั้นนั่งอยู่ตรงหน้ากู่ฉินเสียงเพลงจากกู่ฉินช่างไพเราะเหลือเกิน ทำให้ผู้ที่ได้ยินอดมิได้ที่จะรู้สึกอารมณ์ดีผ่อนคลาย
“มิทราบว่าสิ่งที่ท่านระบุไว้บนกระดาษว่าต้องการพบข้านั้นเพื่อสิ่งใด ตั้งแต่เล็ก ข้าหาได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับแคว้นเป่ย และมิรู้จักกับท่าน”
ชายหนุ่มดีดสายกู่ฉินเบา ๆ กล่าวว่า “หากท่านมิได้มีความเกี่ยวข้องกับแคว้นเป่ย แล้วเหตุใดเมื่อเห็นข้อความบนกระดาษนั้นแล้วจึงต้องเดินทางมาหาข้า? เห็นได้ชัดว่าท่านปากมิตรงกับใจ การที่ท่านเดินทางมาครั้งนี้เพราะต้องการสืบถามเรื่องของฉู่สวิน ข้าเอ่ยได้ถูกหรือไม่?”
สีหน้าของกู้ชิวเหลิ่งดูเย็นชา แต่ในใจของนางดูตึงเครียดขึ้นหลังจากพี่ชายผู้นั้นเอ่ยคำว่าฉู่สวินออกมา ฉู่สวินเป็นองค์ชายตัวประกันของแคว้นเป่ย คนพวกนี้มองไปมิธรรมดา คาดว่าคงจะเกี่ยวข้องกับฉู่สวินเป็นแน่ หรือว่าเขาจะเดินทางมาที่นี่และชวนนางมาที่นี่เพราะมีจุดประสงค์อื่น?
“ท่านอย่าได้คิดมากไป ข้านั้นเพียงแค่ต้องการไขข้อสงสัยให้แก่ท่าน หนึ่งปีก่อนหน้านี้เมื่อท่านตื่นขึ้นมา ดูเหมือนจะลืมเรื่องราวหลายสิ่งหลายอย่างไป ข้ากล่าวได้ถูกต้องหรือไม่?”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวขึ้นอย่างเยือกเย็นว่า “ท่านเป็นใครกันแน่ ท่านรู้เรื่องอะไรบ้าง?”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยกล่าวว่า “สิ่งที่ข้าน้อยรู้นั้นมีเพียงอย่างเดียวก็พอแล้ว”
กู้ชิวเหลิ่งกลั้นหายใจแล้วได้ยินชายหนุ่มกล่าวขึ้นช้า ๆ “เมื่อสี่ปีก่อนตระกูลมู่หรงถูกกำจัด สาวฟีนิกซ์ที่สวรรค์กำหนดจึงได้ล่มสลายลง แต่เมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านี้ ยามค่ำคืนท้องฟ้ากลับปรากฏดวงดาวสาวฟีนิกซ์ขึ้นอีกครั้ง มู่หรงชิวแห่งตระกูลมู่หรง ท่านคงจะรู้ใช่หรือไม่?”
“เจ้าต้องการเอ่ยสิ่งใดกันแน่!”
ชายหนุ่มกล่าว “ท่านก็คือสาวฟีนิกซ์ที่สวรรค์กำหนดผู้นั้น มู่หรงชิว ที่ท่านเดินทางมายังต้าเยียนครั้งนี้ก็เพื่อแก้แค้น ข้ากล่าวได้ถูกต้องหรือไม่?”
กู้ชิวเหลิ่งขมวดคิ้วเข้าหากัน “ท่านดูแล้วดุจดั่งผู้บำเพ็ญตน เหตุใดจึงเชื่อเรื่องผีสางเช่นนี้เล่า?”
“เดิมทีข้านั้นก็มีความสามารถเรื่องของผีสางและวิญญาณ แน่นอนว่าข้ารู้ทุกอย่าง มิเช่นนั้นท่านคิดว่าการชุบวิญญาณจากศพจะทำได้ด้วยตนเองหรือ? ท่านมิเคยคิดมาก่อนหรือไรว่าเรื่องนี้จะมีคนบงการและจัดการอยู่เบื้องหลัง จึงทำให้ท่านสามารถอาศัยร่างนี้ในการมีชีวิตใหม่อีกครั้งและอยู่มาได้ถึงหนึ่งปี?”
สิ่งที่ชายผู้นี้กล่าวมาดูเป็นเรื่องธรรมดายิ่งนัก หาได้มีวี่แววถึงความหวาดกลัวประหลาดใจแต่อย่างใด แต่เมื่อประโยคเหล่านี้ได้ยินเข้าไปถึงหูของกู้ชิวเหลิ่ง นางกลับรู้สึกว่านางได้รู้ถึงความจริงแล้วว่าเหตุใดตนจึงฟื้นคืนชีพในร่างใหม่เช่นนี้ได้
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวอย่างเย็นชา “ท่านหมายความว่าอย่างไรกันแน่”
“อย่าได้เห็นแก่ความสงบสุขในช่วงนี้ แล้วลืมกำพืดของตนเองไป หากว่าท่านต้องการรู้เรื่องราวมากกว่านี้ หลังจากที่แก้แค้นเสร็จแล้วโปรดเดินทางมาที่แคว้นเป่ย ไปยังจวนราชครูข้าจะรอข่าวดีอยู่ที่นั่น”
น้ำเสียงของชายหนุ่มดูบางเบาเหมือนเมฆหมอกทำให้คนฟังรู้สึกมิสมจริง
จู่ ๆ กู้ชิวเหลิ่งก็รู้สึกเวียนศีรษะและล้มลงสู่พื้นทันที
เป็นไปมิได้…… คนผู้นี้สามารถทำให้นางล้มลงสู่พื้นได้โดยมิทันตั้งตัวเชียวหรือ?
ตอนที่กู้ชิวเหลิ่งลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่ารอบด้านมืดสนิทแล้ว มีเพียงแสงจากดวงจันทร์ กู้ชิวเหลิ่งราวกับมองเห็นใบหน้าอันเย็นชาของจวินหวาเทียนกำลังมองมาที่นางด้วยรอยยิ้ม
กู้ชิวเหลิ่งจับไปที่หน้าผากของตนเองด้วยความปวดร้าวแล้วลุกขึ้นช้า ๆ “หวาเทียน?”