ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 223 ศพของฉ่ายฉิน
หรูเสวี่ยที่ถูกจีเฟิงกดลงบนพื้น ก้มหน้าลงกล่าวว่า “เหตุใดข้าจึงต้องเชื่อพวกเจ้าด้วย”
“นั่นเป็นเพราะว่าพวกเราจับเจ้าได้ แต่กลับมินำเจ้าส่งไปให้แก่ฮ่องเต้ฉี”
กู้ชิวเหลิ่งหันไปขยิบตาให้กับจีเฟิง จีเฟิงลังเลเล็กน้อยแล้วปล่อยมือออก หรูเสวี่ยตะเกียกตะกายขึ้นจากพื้น นางเงยหน้าขึ้น ใบหน้านั้นช่างดูน่าเกลียด มิว่าผู้ใดพบเห็นก็คงจะรังเกียจ นางกล่าวว่า “ข้าเป็นผู้สังหารฉินเฟย นับตั้งแต่ปีนั้นเป็นต้นมา ข้าก็ได้ใส่เสี่ยหลีจื่อไปในยาของนาง แม้ว่าแต่ละครั้งจะใส่ในปริมาณน้อย แต่หากกินมันในระยะยาวก็อาจสิ้นใจได้อย่างกะทันหัน เพียงแต่ข้ามิคิดว่านางจะตายเร็วเช่นนี้”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า “ข้ารู้ถึงสาเหตุการตายของนาง นั่นเป็นเพราะเสี่ยหลีจื่อ ทำปฏิกิริยากับหนอนพิษกู่ แต่สิ่งที่ข้าอยากรู้นั่นก็คือ เหตุใดเจ้าจึงต้องฆ่าฉินเฟย เจ้าและนางมีข้อบาดหมางกันอย่างงั้นหรือ?”
“เพราะเหตุใดเล่า! เราสองต่างเป็นบุตรสาวของกั๋วกงแห่งต้าเยียน เพียงแค่มารดาของข้าเป็นบ่าวรับใช้ที่ต่ำต้อย ดังนั้นแต่ละวันข้าจึงต้องซ่อนตัวอยู่ในความมืด ข้าจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีการฆ่าคนทุกรูปแบบ ข้าต้องคุกเข่าอยู่ต่อหน้านางและฟังนางตำหนิดุด่าทุกวันทุกวี่หรือ? ข้ามิอาจเรียกท่านพ่อว่าพ่อได้ แม้แต่ตอนที่นางออกเรือน ข้าเองก็จำเป็นต้องเดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอนมาด้วย เหตุใดโชคชะตาจึงมิยุติธรรมเช่นนี้ นางทำให้ข้าต้องเสียโฉม ทำลายความสุขของข้า แล้วเหตุใดข้าจึงต้องทำให้นางมีความสุขดี!”
หรูเสวี่ยยิ่งกล่าวยิ่งรู้สึกดุดัน จีเฟิงเข้ามากดร่างกายของหรูเสวี่ยเอาไว้โดยสัญชาตญาณ แต่กู้ชิวเหลิ่งกลับเข้าไปห้ามจีเฟิงเอาไว้กล่าวว่า “เมื่อครู่เจ้ากล่าวว่าฉินโม่เอ๋อร์ต้องกินยา นางป่วยงั้นหรือ”
“ตั้งแต่เล็กนางมีจิตใจที่อ่อนแอ เพียงแค่ประโยคเดียวก็สามารถทำลายกำแพงป้องกันทางจิตใจของนางได้ พวกเจ้ามองไปอาจเห็นว่านางอ่อนโยนและใจกว้าง แต่ผู้ใดจะรู้เล่าว่าในใจนางนั้นมืดมนเพียงไร เพียงเพราะข้ามีรูปร่างหน้าตาที่งดงามโดยกำเนิด นางกลัวว่าข้าจะแย่งความรักจากฉินเจิ้งเป่าไปจนหมด ฤดูหนาวในครานั้น นางจึงได้ใช้ถ่านร้อนนาบลงมาบนใบหน้าข้า ทำให้ใบหน้าข้าเสียโฉม นี่คือบุตรสาวคนโตของตระกูลฉินอันเห็นแก่ตัวและสกปรก นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผู้ที่ข้าชื่นชอบก็มิเคยแม้แต่ชายตามองข้าอีกเลย ฉินเจิ้งเป่าในฐานะบิดาของข้าจึงมิแม้แต่จะสนใจข้า บัดนี้นางเองก็เป็นบุตรสาวคนโตผู้สืบทอดตระกูลฉินแล้ว เหตุใดนางจึงต้องทำเช่นนี้กับข้าด้วย”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า “เจ้าอยากกลับไปที่ต้าเยียนหรือไม่ เจ้าอยากกลับไปที่ตระกูลฉิน เจ้าอยากจะรู้ว่าหากเจ้ากลับไปเพียงลำพัง แต่ฉินโม่เอ๋อร์กลับสิ้นใจลงแล้ว พวกเขาจะปฏิบัติกับเจ้าเช่นไรหรือ?”
ใบหน้าของหรูเสวี่ยดูซีดลง นั่นสิ บัดนี้นางเองก็เป็นเพียงแค่สตรีคนหนึ่งที่เสียโฉม ตระกูลฉินคงมิต้องการจะนับนางเข้าเป็นญาติ เรื่องนี้นางเองรู้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่นางก็มิอยากจะอยู่ในแคว้นฉี นางอยากกลับไปต้าเยียน เพราะที่นั่นจึงจะเป็นบ้านของนางอย่างแท้จริง
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า “การที่เจ้าเดินวนเวียนอยู่ด้านนอกตำหนักของวี่เฟยก็เพื่อที่จะใส่ร้ายนาง ข้ากล่าวได้ถูกต้องหรือไม่”
หรูเสวี่ยกัดปากของตนแล้วกล่าวว่า “หากข้าใส่ร้ายนางได้ประสบผลสำเร็จ ก็ด้วยความสามารถด้านวิทยายุทธ์ของข้า ข้าสามารถเดินทางออกจากพระราชวังฉีได้อย่างราบรื่น ณ เวลานั้นมิมีผู้ใดจะสงสัยข้า ในเมื่อฉินโม่เอ๋อร์ตายไปแล้ว พวกคนตระกูลฉินก็คงมิมีใครอยากจะเดินทางมาตามหาข้าอีก บัดนี้ข้าได้เล่าทุกอย่างตามความจริงแล้ว เจ้าควรจะปล่อยข้าไปตามสัญญาได้หรือไม่?”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า “ย่อมได้ ข้าจะรักษาสัญญา แต่เจ้าจะต้องทำเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้มันจะดีสำหรับข้าและเจ้า”
หรูเสวี่ยเอ่ยถามขึ้นด้วยความระมัดระวังว่า “เจ้าต้องการให้ข้าทำสิ่งใด”
“เดิมทีเจ้าต้องการที่จะใส่ร้ายวี่เฟย เพราะมีเพียงวิธีที่เจ้าใส่ร้ายวี่เฟยเท่านั้นจึงจะสามารถขจัดความสงสัยในตัวเจ้าไปได้ บัดนี้มิมีผู้ใดรู้ตัวตนของเจ้าในพระราชวังฉี อีกอย่าง……ฉ่ายฉินเป็นเจ้าที่กำจัดนางใช่หรือไม่”
หรูเสวี่ยกล่าวว่า “ฉ่ายฉินที่เจ้ากล่าวถึงนั้นก็คือบ่าวรับใช้ข้างกายฉินโม่เอ๋อร์ใช่หรือไม่ ข้าเป็นคนฆ่าปิดปากนางเอง และโยนลงไปไว้ในสุสานร้าง สตรีผู้นี้เป็นคนของหลิ่วกุ้ยเฟยที่ส่งไปอยู่ข้างกายของฉินโม่เอ๋อร์ หากนางตายไปคงมิเกิดเรื่องเสียหายได้กับพระชายาเซ่อเจิ้งหวางกระมัง”
“ดียิ่งนัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้รบกวนเจ้าผลักความผิดทั้งหมดนี้ไปให้แก่นางในผู้นั้น โยนความผิดทั้งสิ้นไปให้ฉ่ายฉิน”
หรูเสวี่ยดูมิเข้าใจนัก นางขมวดคิ้วถาม “ฉ่ายฉินหรือ แต่นางเป็นคนของหลิ่วกุ้ยเฟย หาใช่คนของวี่เฟย……”
“เพียงเจ้าทำตามที่ข้าบอก ข้าชื่อว่าเจ้ายังคงมีเสี่ยหลีจื่อหลงเหลืออยู่บ้างใช่หรือไม่”
หรูเสวี่ยคุกเข่าลงบนพื้นกล่าวว่า “หากพระชายาเซ่อเจิ้งหวางสามารถส่งข้ากลับไปที่ต้าเยียนได้จริง ๆ ข้ายินดีจะทำทุกอย่าง”
กู้ชิวเหลิ่งเผยอรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ดียิ่งนัก ก่อนหน้านี้เจ้าอยู่ที่ใดก็จงไปที่นั่นเถิด ทำเป็นว่าในวันนี้ข้าและเจ้ามิเคยพบกันมาก่อน และอย่าเอ่ยเรื่องนี้กับผู้ใดทั้งสิ้น เจ้าเข้าใจหรือไม่”
หรูเสวี่ยพยักหน้า จีเฟิงส่งนางออกไปข้างนอก
อวี้ฉือจ้านยืนเย้ยยิ้มอยู่ด้านข้าง “น้องนางของข้าช่างเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสะกดใจคนยิ่งนัก”
กู้ชิวเหลิ่งยิ้มขึ้นเบา ๆ “ข้ามิอาจสู้กับเซ่อเจิ้งหวางผู้เก่งกาจได้หรอก ที่รู้ว่านางจะไปวนเวียนอยู่ด้านนอกตำหนักวี่เฟย”
อวี้ฉือจ้านมองไปที่ท้องฟ้าด้านนอกแล้วกล่าวกับกู้ชิวเหลิ่งว่า “นี่ก็ดึกมากแล้ว ข้าจะพาเจ้าเข้าไปพักผ่อน”
กู้ชิวเหลิ่งพยักหน้า ค่ำคืนอันมืดมิด ทำให้แสงจันทร์ดูเยือกเย็นลง
เช้าตรู่ในวันที่สอง อวี้ฉือจ้านสั่งให้ใครบางคนไปตามหาฉ่ายฉินที่หายไป แม้ว่าทุกอย่างเขาจะวางแผนเอาไว้แล้ว แต่ว่าอวี้ฉือจ้านก็หาได้แสดงเบาะแสใดต่อหน้าผู้อื่น
ร่างของฉ่ายฉินถูกพบอยู่ในสุสานร้าง ที่ลำตัวของนางมีเพียงบาดแผลที่คอ เห็นได้ชัดว่านางถูกฆ่าปาดคอด้วยมีดเพียงครั้งเดียว อวี้ฉือจ้านได้ข้อสรุปทันทีว่า ฉ่ายฉินถูกฆ่าพร้อมกันฉินโม่เอ๋อร์
เนื่องจากตัวตนของอวี้ฉือจ้าน ขุนนางเหล่านั้นจึงมิมีใครกล้าที่จะปฏิเสธข้อคาดเดานี้
กู้ชิวเหลิ่งยิ้มขึ้น นางรู้อยู่แล้วว่ากลยุทธ์ของอวี้ฉือจ้านนั้นยอดเยี่ยมยิ่งนัก แต่คิดมิถึงว่าแม้จะเดินทางมาแคว้นฉี เขาก็ยังคงใช้นิสัยที่เด็ดขาดมิฟังผู้ใดอย่างนี้ได้ มิมีใครสักคนกล้าที่จะก้าวขึ้นมาเอ่ยต่อปากต่อคำกับเซ่อเจิ้งหวางเทพสงครามผู้นี้ นั่นเป็นเพราะว่าแคว้นฉีมิมีชายคนใดที่แข็งแกร่งพอ ขุนนางข้าราชบริพารในแคว้นฉีนั้นทั้งบอบบางและเป็นผู้ที่ชื่นชอบความมั่งคั่ง พวกเขาไร้ความสามารถมิเป็นท่า
กู้ชิวเหลิ่งลุกขึ้น หวีผมกล่าวว่า “จีเฟิง จงติดตามข้าไปหาท่านอ๋องของพวกเจ้า พวกเขาบัดนี้ควรคงจะตัดสินคดีความได้แล้ว”
จีเฟิงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสับสนงุนงงเล็กน้อยว่า “ตัดสินคดีความงั้นหรือ?”
กู้ชิวเหลิ่งตอบว่า “บนร่างกายของฉ่ายฉินคงจะมีหลักฐานในการฆ่าฉินเฟยแล้ว”
จีเฟิงยังคงรู้สึกสับสนงุนงง ตามเจตนาดั้งเดิมของพระราชชายาควรที่จะใส่ร้ายวี่เฟยมิใช่หรือ เหตุใดบัดนี้ลูกศรจึงชี้เป้าไปที่หลิ่วกุ้ยเฟยซึ่งถูกกักขังบริเวณไว้กันเล่า?
ขณะที่กู้ชิวเหลิ่งกำลังก้าวออกไปจากประตูวัง ก็มีขันทีคนหนึ่งก้าวเข้ามาอย่างละเมียดละไมกล่าวว่า “ถวายบังคมพระชายาเซ่อเจิ้งหวาง
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวขึ้นเบา ๆ “จงลุกขึ้นเถิด”
ขันทีผู้นั้นลุกขึ้นกล่าวว่า “ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง กล่าวว่าบัดนี้เซ่อเจิ้งหวางพบหลักฐานแล้ว สามารถตัดสินคดีความได้”
นี่เป็นเพียงวันที่สองหลังจากที่ตกลงกัน อวี้ฉือจ้านช่างเก่งกาจและรวดเร็วเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก จะมิให้ผู้คนเหงื่อตกคงมิได้
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ขอท่านขันทีโปรดนำทางข้าไปเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ