ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 224 เฆี่ยนศพ 3 วัน เพื่อเป็นบทเรียน
กู้ชิวเหลิ่งเดินทางมาถึงห้องโถงใหญ่ ที่นั่นปรากฏร่างของฉ่ายฉินถูกวางเอาไว้
ใบหน้าของฉ่ายฉินแข็งทื่อ หาได้มีร่องรอยเส้นเลือดฟาดบนหน้าแม้แต่น้อย
กู้ชิวเหลิ่งเดินผ่านศพของฉ่ายฉินนางหันไปพยักหน้าและโค้งคำนับให้แก่จวินฉีเซิ่ง
จวินฉีเซิ่งกล่าวกับกู้ชิวเหลิ่งว่า “นี่คือบ่าวรับใช้ข้างกายของฉินเฟย พวกเราตรวจสอบพบว่าเป็นฉ่ายฉิน หากมิใช่เพราะเซ่อเจิ้งหวางที่มีความสามารถอย่างเด็ดเดี่ยวและตัดสินคดีความได้เด็ดขาด ข้าเองก็มิรู้ว่าบ่าวรับใช้ผู้นี้จะมีจิตใจโหดร้ายดุจดั่งหมาป่า กล้าที่จะทำร้ายสนมของข้า ข้าตัดสินว่าจะใช้แส้เฆี่ยนตีศพของนางในผู้นี้เป็นเวลาสามวัน เพื่อเป็นการลงโทษและแสดงให้เป็นบทเรียน มิทราบว่าเซ่อเจิ้งหวางและพระชายามีความคิดเห็นเช่นไร?”
อวี้ฉือจ้านกล่าวขึ้นว่า “การเฆี่ยนศพเป็นเวลาสามวันคือวิธีที่พระราชวังแคว้นฉีใช้จัดการวังหลัง ข้าหาได้มีความคิดเห็นใด เพียงแต่ว่าฉ่ายฉินผู้นี้สืบมาแล้วพบว่าเป็นคนที่หลิ่วกุ้ยเฟยส่งไปอยู่ข้างกายฉินเฟย เรื่องนี้มิทราบว่าฮ่องเต้ฉีจะอธิบายอย่างไร”
จวินฉีเซิ่งสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลายปีมานี้มู่หรงอี๋มักจะส่งคนของตนไปไว้ข้างกายนางสนมทั้งหลาย การที่นางส่งฉ่ายฉินไปอยู่ข้างกายฉินโม่เอ๋อร์ เขาเองก็ยอมรับมัน เพราะถึงอย่างไรฉินโม่เอ๋อร์ก็เป็นคนจากต้าเยียน จำเป็นต้องระวังไว้ เขาเพียงคิดมิถึงว่าเรื่องนี้อวี้ฉือจ้านจะสืบพบด้วย
จวินฉีเซิ่งจึงทำได้เป็นมิรู้เรื่อง เขากล่าวว่า “อะไรนะ มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยหรือ! ก่อนหน้านี้ข้าได้ให้หลิ่วกุ้ยเฟยเป็นคนจัดการเรื่องในวังหลังทั้งหมด และข้ามิเคยได้เอ่ยถามนางเรื่องราวเหล่านี้เลย อาจเป็นเพราะหลิ่วกุ้ยเฟยเกรงว่าฉินเฟยจะมิคุ้นชินกับแคว้นต้าฉี ดังนั้นจึงได้ส่งคนใกล้ชิดไปคอยปฏิบัติรับใช้ข้างกายกระมัง”
อวี้ฉือจ้านกล่าวว่า “ฮ่องเต้เฉีกล่าวเช่นนี้ก็มีเหตุมีผล แต่ในเมื่อฉ่ายฉินเป็นคนที่หลิ่วกุ้ยเฟยส่งไปไว้ข้างกาย เช่นนั้นหลิ่วกุ้ยเฟยก็คงมิอาจหลีกเลี่ยงความสงสัยนี้ไปได้ ข้ามีเหตุผลเพียงพอที่จะสอบสวนเรื่องนี้หรือไม่”
“สืบสวนมู่หรงอี๋หรือ?” จวินฉีเซิ่งเกิดความคิดนี้ในใจแต่เนิ่นนานแล้ว หากว่ามู่หรงอี๋สามารถเข้ามาแบกรับความผิดของวี่เฟยได้ก็คงจะดียิ่งนัก มู่หรงอี๋ก็เป็นเพียงสตรีคนหนึ่งที่ไร้ที่พึ่งพิงจากราชวงศ์ก่อน นางแตกต่างกันกับวี่เฟยที่เป็นตัวแทนของชนเผ่าเหมียวเจียง เขาเองก็มิอยากจะทำให้ชนเผ่านั้นต้องขุ่นเคือง ด้วยเหตุนี้เมื่ออวี้ฉือจ้านได้มุ่งความสนใจไปที่มู่หรงอี๋ จึงเป็นประโยชน์ต่อเขายิ่งนัก หาได้มีผลเสียแต่อย่างใด
“ในเมื่อเซ่อเจิ้งหวางกล่าวเช่นนี้ อีกทั้งเรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ข้าเองก็มิมีข้อคัดค้าน”
กู้ชิวเหลิ่งมองไปยังใบหน้าอันเจ้าเล่ห์ของจวินฉีเซิ่ง นางรู้อยู่ก่อนหน้าแล้วว่าในใจเขาคิดเรื่องใดอยู่ เพียงแต่มิอยากเอ่ยออกมาก็เท่านั้น
อวี้ฉือจ้านกล่าวขึ้นว่า “ทหาร จงมาน้ำเสี่ยหลีจื่อที่หาพบจากร่างของฉ่ายฉินไปเก็บไว้เป็นหลักฐาน หากว่าสูญหายเพียงเล็กน้อย จงตัดศีรษะมาพบข้า!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
กู้ชิวเหลิ่งเอ่ยขึ้นว่า “เสี่ยหลีจื่องั้นหรือ ข้าเองยังมิเคยเห็นมาก่อน มิทราบว่าจะให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่”
อวี้ฉือจ้านเลิกคิ้วขึ้นกล่าวว่า “แน่นอนว่าย่อมได้”
กู้ชิวเหลิ่งก้าวไปด้านหน้าแล้วหยิบขวดโหลนั้นขึ้นมาพิจารณามองดูอย่างละเอียด กล่าวว่า “ช่างน่าแปลกยิ่งนัก นางในผู้นี่คือคนข้างกายของหลิ่วกุ้ยเฟยจริงหรือ?”
จวินฉีเซิ่งรู้สึกประมาทเพราะคำพูดนี้ของกู้ชิวเหลิ่ง เขากล่าวว่า “นางมิใช่งั้นหรือ?”
“ข้าเพียงรู้สึกว่าน่าแปลกยิ่งนัก เหตุใดหลิ่วกุ้ยเฟยจึงได้มีสิ่งของของเหมียวเจียงได้ ลวดลายขวดนี้หายากยิ่งนักในพระราชวัง แม้แต่ภายนอกก็เช่นกัน แม้ว่าลวดลายนั้นจะมิชัดเจนนัก แต่มิว่าอย่างไรก็มองออกว่าเป็นลวดลายของเหมียวเจียง”
อวี้ฉือจ้านโน้มตัวไปด้านหน้า นำมันมาไว้ในมือแล้วกล่าวว่า “หากพระชายามิได้เอ่ยเช่นนี้ ข้าเองก็คงมิได้สังเกต ลวดลายนี้เป็นลวดลายที่มีเฉพาะของเหมียวเจียง มีเพียงคนจากเผ่าเหมียวเจียงเท่านั้นที่จะสามารถใช้มันได้ ข้าเองมีข้อมูลเกี่ยวกับเผ่าเหมียวเจียงอยู่บ้างเล็กน้อย นางในผู้นี้มิธรรมดาจริง นางสามารถมีสิ่งนี้ในครอบครองได้”
“บางที…… บางทีอาจเป็นเพียงแค่สิ่งของธรรมดา เซ่อเจิ้งหวางและพระชายาคิดมากระแวงกันไปเอง”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า “ระแวงไปเองงั้นหรือ? เมื่อครู่ฮ่องเต้ฉีก็ได้กล่าวเองว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ มิว่าเรื่องใดก็ตามควรจะปฏิบัติทุกขั้นตอนอย่างระมัดระวัง บัดนี้เมื่อนางในที่หลิ่วกุ้ยเฟยจัดการให้ไปดูแลอยู่ข้างกายฉินเฟยมีขวดของเหมียวเจียงอยู่อีกทั้งยังใช้เสี่ยหลีจื่อกับหนอนพิษกู่มาจัดการได้อย่างชำนาญ เรื่องนี้คงมิใช่เพียงเรื่องบังเอิญกระมัง”
อวี้ฉือจ้านกล่าวว่า “ข้าคิดว่าที่พระชายากล่าวมานั้นก็สมเหตุสมผล ฮ่องเต้ฉีคิดว่าอย่างไรเล่า”
เดิมทีจวินฉีเซิ่งคิดว่าเป้าหมายการสืบสวนของอวี้ฉือจ้านและกู้ชิวเหลิ่งในครั้งนี้จะเปลี่ยนไป มุ่งเป้าไปที่มู่หรงอี๋แล้ว เขาจึงวางใจอย่างโล่งอกแต่จู่ ๆ กลับหันมาหาวี่เฟยอีกครั้ง คนหนึ่งคือผู้ที่มีความลับของตน ส่วนอีกคนหนึ่งคือสตรีที่เขาใช้ประโยชน์จากนาง ทั้งสองคนนี้ล้วนมีความสำคัญ
ทว่าบัดนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าอวี้ฉือจ้านและกู้ชิวเหลิ่ง เขากลับมิอาจแสดงอำนาจของฮ่องเต้ออกมาได้แม้แต่น้อย
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า “ทำไมหรือ ฮ่องเต้ฉีตั้งใจจับปกป้องผู้ใดเป็นพิเศษ?”
จวินฉีเซิ่งทำได้เพียงยิ้มแล้วตอบว่า “พระชายาเซ่อเจิ้งหวางกล่าวเรื่องอะไรกัน ข้าเป็นคน ข้าเป็นฮ่องเต้ผู้โง่เง่าเช่นนั้นเชียวหรือ ในเมื่อเซ่อเจิ้งหวางและพระชายามีผู้ที่รู้สึกสงสัยก็จงไปสืบตามความประสงค์เถิด ข้ามิมีข้อคัดค้านใด”
อวี้ฉือจ้านพยักหน้ากล่าวว่า “ฮ่องเต้ฉีช่างตรงไปตรงมายิ่งนัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าและพระชายาขอตัวก่อน ต่อจากนี้คงต้องรบกวนฮ่องเต้ฉีดูแลเรื่องที่นี่ด้วย”
จวินฉีเซิ่งกล่าวว่า “แน่นอนย่อมได้”
กู้ชิวเหลิ่งและอวี้ฉือจ้านเดินทางจากไปแล้ว จวินฉีเซิ่งจึงทำสีหน้ามืดมน องครักษ์สวมชุดดำคนหนึ่งปรากฏกายในห้องโถง เขาคุกเข่าลงที่พื้นกล่าวว่า “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ คุกใต้ดินได้ถูกปิดจนสนิทแล้ว มิมีช่องว่างแต่อย่างใด”
จวินฉีเซิ่งถามว่า “หมอผีผู้นั้นเล่า?”
“เขายังคงอยู่ในตำหนักเย็น มิมีสิ่งใดผิดปกติ เพียงแต่ว่ากุ้ยเฟยเหนียงเหนียงดูเหมือนจะเรียกให้เข้ามาเข้าพบ และในวันนี้ได้ส่งบ่าวรับใช้ข้างกายของนางยีชุ่ยเดินทางออกจากวังเพื่อไปพบ “หมอผีไท่ซวี”
“หมอผีไท่ซวี เจ้าหมายถึงหมอผีไท่ซวีจากเขาไท่ซวี?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
จวินฉีเซิ่งขมวดคิ้วขึ้น “หรือผู้ที่วี่เฟยหามานั้นก็คือศิษย์ของหมอผีไท่ซวี?”
“ยีชุ่ยกล่าวว่าเช่นนั้น”
จวินฉีเซิ่งเคยได้ยินชื่อเสียงของหมอผีไท่ซวีมาบ้างเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะมิได้เชื่อเรื่องผีและปีศาจ แต่ก็มิอาจลบหลู่ได้ ในตอนที่เขายังคงเป็นอ๋องก็เคยได้ยินชื่อเสียงของหมอผีไท่ซวีมามิน้อย และโด่งดังไปทั่วใต้หล้า เขาเป็นผู้ที่มีดวงตาทิพย์ มิใช่คนธรรมดา
“ได้ยินว่าว่าบัดนี้หมอผีไท่ซวีอายุกว่าร้อยปีแล้ว เขาได้กลับคืนมาเป็นหนุ่มอีกครั้ง มิรู้ว่าเรื่องนี้จริงหรือเท็จ”
องครักษ์ลับที่คุกเข่าอยู่บนพื้นตอบว่า “กระหม่อมมีน้องสาวอยู่คนหนึ่ง นางเคยพบกับหมอผีไท่ซวีมาก่อน ในตอนนั้นบังเอิญได้ไปกำจัดวิญญาณชั่ว และกระหม่อมเองก็เคยเห็นหมอผีไท่ซวีมาก่อนเช่นกัน แม้ว่ามองไปจะดูอ่อนแอ แต่เห็นแล้วน่าจะอายุเพียงแค่ยี่สิบกว่าปี”
“งั้นหรือ?”
จวินฉีเซิ่งพิจารณาฟังคำพูดขององครักษ์ลับจากนั้นเขาจึงกล่าวว่า “เจ้าออกไปได้แล้ว จงไปสืบว่าผู้ที่เรียกตนว่าเป็นหมอผีไท่ซวีนั้นจริงหรือไม่แล้วค่อยกลับมารายงานความจริงกับข้า”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
จวินฉีเซิ่งหวังว่าเรื่องนี้จะมิเกี่ยวข้องกับวี่เฟยและเหมียวเจียง เหมียวเจียงแม้จะมิกว้างใหญ่นัก แต่ก็มีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง มิต้องพูดถึงหนอนพิษกู่ สำหรับเขาเป็นสิ่งที่สามารถควบคุมได้ หากว่าวี่เฟยสิ้นใจลง เขาก็คงจะขาดผู้คุ้มกันไปมิน้อย
“ทหาร จงนำร่างของบ่าวรับใช้ผู้นี้แบกออกไปด้านนอก และสั่งให้ขันทีกับนางในทุกคนตื่นเช้ามายืนดู โบยศพนี้เป็นเวลาสามวันเพื่อเป็นแบบอย่าง!”