ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 228 ถูกลดตำแหน่งเหลือเพียงกุ้ยเหริน
ตอนที่มู่หรงอี๋ลืมตาตื่นขึ้น ข้างกายของนางนั้นว่างเปล่า มิเห็นแม้แต่จวินฉีเซิ่งและยีชุ่ย
ทันใดนั้น มู่หรงอี๋ก็ลุกขึ้นจากเตียง เตียงนั้นหาใช่เตียงสีแดงดอกโบตั๋นที่นางชื่นชอบ และมิใช่มุ้งที่นางชื่นชอบด้วย รอบด้านมิใช่ตำหนักอันงดงาม ในตำหนักเฟิงหรวนของนาง แต่เป็นเพียงห้องอันเรียบง่าย ในห้องนั้นเรียกได้ว่ามิมีสิ่งใดที่ล้ำค่าเลย มีเพียงห้องเปล่า ๆ อีกทั้งภายในห้องยังมีฝุ่นผงทำให้นางรู้สึกอึดอัดยิ่งนัก
“ยีชุ่ย นี่! ใครก็ได้ ไปอยู่ที่ใดกันหมด!”
มู่หรงอี๋ตะโกนอยู่อกว่าเนิ่นนานแต่ก็มิมีใครเข้ามาแม้แต่คนเดียว มู่หรงอี๋รู้สึกว่าท้องน้อยของนางมีความเจ็บปวด นางจึงได้นึกขึ้นว่าลูกของนางนั้นถูกจวินฉีเซิ่งฆ่าด้วยน้ำมือของตน ส่วนบ่าวรับใช้ข้างกายของนางหรือยีชุ่ยกลับมิได้เอ่ยช่วยเหลือนางแม้แต่น้อย นั่นเป็นเพราะว่ายีชุ่ยคือหญิงที่อยู่ข้างกายของจวินฉีเซิ่งและคอยแฝงตัวอยู่ข้างกายนางเป็นเวลาเนิ่นนานมาหลายนับสิบปี
มู่หรงอี๋เปิดผ้าห่มออก นางเดินลงมาจากเตียง ในกระจกนั้นนางมองเห็นใบหน้าเป็นรอยนิ้วมือห้านิ้วอย่างชัดเจน นี่คือฝีมือของจวินฉีเซิ่ง แม้ว่ารอยแดงจะจางหายไปเล็กน้อย แต่ใบหน้าของนางนั้นก็มิสู้ดีนัก
จึงทำให้นางรู้สึกได้ถึงการถูกดูถูกเมื่อวานนี้ “ใครก็ได้มานี่หน่อย ใครก็ได้!”
มู่หรงอี๋ตะโกนอยู่หลายครั้งติดต่อกัน ด้านนอกมีสตรีแต่งกายด้วยผ้างดงามดูสง่า ท่าทีอ่อนช้อยคนหนึ่งเดินเข้ามา นางก็คือยีชุ่ยบ่าวรับใช้ข้างกายที่รับใช้นางมาโดยตลอด
ยีชุ่ยและนางในอีกสองสามคนได้แต่พากันก้มหน้า ยีชุ่ยโบกมือแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าจงออกไปเถิด ถ้ามีเรื่องจะสนทนากับกุ้ยเหรินเพียงลำพัง”
“เพคะ หวีผินเหนียงเหนียง”
ใบหน้าของมู่หรงอี๋ดูเย็นชาและทำตัวมิถูก เนิ่นนานทีเดียวนางจึงได้กล่าวว่า “กุ้ยเหรินงั้นหรือ หวีผินงั้นหรือ? พวกเจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน ข้าเป็นกุ้ยเฟย พวกเจ้าเห็นข้าแล้วยังมิรีบคุกเข่าคารวะ!”
“ท่านพี่กล่าวอะไรกัน บัดนี้ฝ่าบาทได้แต่งตั้งให้ข้าเป็นหวีผินและเป็นเจ้าของตำหนักเฟิงหรวนนี้ ส่วนฝ่าบาท ก็ได้ลดตำแหน่งของท่านให้เป็นกุ้ยเหริน และอาศัยอยู่ในเรือนฉูหรวนแห่งนี้ หากนับจากพิธีการแล้ว พี่สาวเห็นข้าควรที่จะคุกเข่าคารวะเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่เห็นแก่อดีตที่ผ่านมา ข้าเองก็มิอยากจะจุกจิกกับเรื่องเพียงเหล่านี้”
“เจ้า เจ้าทำสิ่งใดลงไปกัน!”
ขณะนี้มู่หรงอี๋ล้มลงสู่พื้นด้วยความอ่อนแอของนาง แต่ไหนแต่ไรมานางมิเคยจะเงยหน้ามองผู้ใด ตั้งแต่บัดนี้นางอดมิได้ที่จะมองขึ้นไปยังอดีตบ่าวรับใช้ของตนคนนี้
ยีชุ่ยนั่งยอง ๆ ลงที่พื้น มองดูท่าทางของมู่หรงอี๋ จู่ ๆ นางก็รู้สึกสบายใจขึ้น นางอยู่รับใช้ข้างกายมู่หรงอี๋มาเป็นเวลาสี่ปีแล้ว และเป็นทาสรับใช้มาจนเบื่อเต็มทน บัดนี้นางเห็นสภาพของมู่หรงอี๋อันน่าสมเพช นางจึงรู้สึกดีใจยิ่งนัก
ยีชุ่ยกล่าวขึ้นว่า “ข้าจะทำอะไรได้อีกเล่า ข้านั้นรู้จักฝ่าบาทมาเนิ่นนานกว่าที่เจ้ารู้จักเสียด้วยซ้ำ ก่อนหน้านี้ข้าเองก็เป็นนางในรับใช้ข้างกายของฝ่าบาท ในตอนนั้นหากมิใช่เพราะเจ้า บัดนี้ข้าคงจะได้เป็นเฟยไปแล้ว เหตุใดข้าจึงจะต้องมาทำหน้าที่เป็นบ่าวรับใช้ถึงสี่ปีเช่นนี้เล่า”
“เจ้าเป็นชู้กับจวินฉีเซิ่งก่อนหน้านี้งั้นหรือ! นังหน้ามิอาย!”
ยีชุ่ยสะบัดมือของมู่หรงอี๋ออก “หน้ามิอายงั้นหรือ เจ้ากำลังกล่าวถึงตนเองอยู่หรือไร เจ้าก็มีเพียงใบหน้าอันงดงามเท่านั้น จึงทำให้สามารถปกปิดตัวตนอันต่ำต้อยของเจ้าได้ เจ้ามันก็เป็นเพียงแค่บุตรสาวที่เกิดจากสตรีทรยศคนหนึ่งในซ่องโสเภณี เจ้ามิอาจสู้กับข้าได้เลย เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงมิอยากให้เจ้าตั้งครรภ์ หลายปีมานี้ทุกครั้งฝ่าบาทได้กำชับให้ข้าใส่บางอย่างลงไปในซุปของเจ้า เพื่อมิให้เจ้าตั้งครรภ์ ใครจะไปรู้เล่าว่าเจ้าโชคดีและตั้งครรภ์ขึ้นจริง ๆ แท้จริงแล้วฝ่าบาทต้องการจะฉีกหน้าเจ้ามาเป็นเวลาเนิ่นนาน เฮ้อ เจ้าดูสภาพของเจ้าตอนนี้สิว่าน่าสมเพชน่าอับอายเพียงใด เจ้ายังคิดว่าตนเองงดงามเป็นหญิงงามแห่งแคว้นฉีอย่างงั้นหรือ?”
“พวกเจ้า! เจ้ากับจวินฉีเซิ่งร่วมมือกันมาทำร้ายข้า ข้าจะฆ่าเจ้า!”
มู่หรงอี๋รีบปีนขึ้นจากพื้น นางตั้งใจจะบีบคอของยีชุ่ย แต่ยีชุ่ยรีบตะโกนขึ้นว่า “ใครก็ได้ เข้ามาที!”
นางในและขันทีที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูได้ยินดังนั้นก็รีบผลักประตูเข้ามาและผลักมู่หรงอี๋ออก นางล้มลงสู่พื้นทันที ยีชุ่ยไอออกมาสองสามหนก่อนจะสามารถกลับมาเป็นปกติได้ “หลิ่วกุ้ยเหริน มีนิสัยชอบทำร้ายผู้อื่น บัดนี้นางถูกลดตำแหน่งเป็นกุ้ยเหรินจึงทำให้เกิดอาการบ้าคลั่งเสียสติ ทั้งยังเอ่ยชื่อของฝ่าบาทออกมาโดยตรง นางตั้งใจจะลงมือฆ่าข้า พวกเจ้าทุกคนเห็นแล้วใช่หรือไม่!”
“พวกบ่าวทุกคนเห็นแล้วเพคะ!”
“บัดนี้ฝ่าบาทได้มอบสิทธิ์ในการจัดการหลิ่วกุ้ยเหริน แก่ข้า แต่ข้าเห็นแก่การที่เจ้าต้องสูญเสียบุตรไปจึงมิอยากจะติดใจเอาความ รอให้เจ้า สภาพร่างกายดีขึ้นสักหน่อยแล้วเราค่อยมาคิดบัญชีกัน!”
“พวกเจ้า นังสารเลว!”
“พวกเจ้าจงไปกุมตัวหลิ่วกุ้ยเหรินเอาไว้ ฝ่าบาททรงรับสั่งแล้วว่าในตำหนักแห่งนี้ ต่อไปจะเป็นเพียงของข้าเท่านั้น เครื่องประดับตกแต่งต่าง ๆ จะใช้ได้เพียงของที่เหมาะสมแก่กุ้ยเหริน เดิมทีของทุกสิ่งที่เป็นของตำแหน่งผิน มิเหมาะสมกับตัวตนของนาง จงกำชับให้คนนำของเหล่านี้เก็บทิ้งไปเสียแล้วเปลี่ยนไปเป็นของระดับกุ้ยเหริน!”
ระหว่างที่กล่าวออกมานั้น ยีชุ่ยได้ทำการเน้นย้ำถึงคำว่ากุ้ยเหริน แต่ก่อนหน้านี้แม้ว่ากุ้ยเฟยกับกุ้ยเหรินจะต่างกันเพียงแค่คำคำเดียว แต่ตำแหน่งนั้นอยู่ห่างกันไกลถึงสามขั้นเลยทีเดียว บัดนี้นางมิมีตำแหน่งใดแม้แต่น้อย
มู่หรงอี๋ถูกขันทีโยนลงไปที่พื้น ในเรือนฉูหรวนมีเพียงนางแค่คนเดียว ก่อนหน้านี้นางใช้ตัวต้นกุ้ยเฟยของนางและด้วยความรักทะนุถนอมของจวินฉีเซิ่ง กล่าวได้ว่า วังหลังแห่งนี้นางทำทุกอย่างตามอำเภอใจ นางมิเห็นฮองเฮาอยู่ในสายตาเสียด้วยซ้ำ บัดนี้นางได้สูญเสียตำแหน่งกุ้ยเฟยไป อีกทั้งยังสูญเสียความโปรดปรานจากจวินฉีเซิ่ง เพียงชั่วพริบตาเดียวนางกลับกลายเป็นกุ้ยเหรินผู้ต่ำต้อย ราวกับล่วงหล่นลงจากเมฆลงมาสู่พื้นดิน มิอาจรับได้เสียเลย
“จวินฉีเซิ่ง จะทำเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร!”
หากมิมีการสนับสนุนจากราชวงศ์ก่อนหน้า นางก็มิอาจทำสิ่งใดได้ มองดูบัดนี้ที่จวินฉีเซิ่งเต็มใจจะฉีกหน้านาง นั่นก็คงเป็นเพราะว่ามิสนใจความลับในตอนนั้นแล้วใช่หรือไม่?
ทางด้านของตำหนักหยินเฟย กู้ชิวเหลิ่งได้รู้เรื่องราวจากหยินเฟยมากทีเดียว จวินฉีเซิ่งใช้เวลาเพียงชั่วข้ามคืนก็ได้ลดตำแหน่งมู่หรงอี๋เป็นกุ้ยเหริน อีกทั้งยังเลื่อนตำแหน่งบ่าวรับใช้ข้างกายมู่หรงอี๋ให้เป็นผิน สำหรับคนที่อยู่ในวังหลัง เรื่องนี้นับว่าน่าประหลาดใจยิ่งนัก
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวกับหยินซวงซวงว่า “บัดนี้ตำแหน่งของกุ้ยเฟยยังคงว่างเปล่า เจ้าจำเป็นจะต้องต่อสู้เพื่อชัยชนะนี้ และในวังหลังมิมีผู้ใดสามารถแข่งขันกับเจ้าได้”
หยินซวงซวงจะมิรู้ได้อย่างไร บัดนี้มู่หรงอี๋ไร้ซึ่งความโปรดปรานไปแล้ว ชั่วคืนเดียวนางได้กลายเป็นกุ้ยเหริน ส่วนวี่เฟยก็ตกอยู่ในข้อหาผู้ต้องสงสัย จวินฉีเซิ่งคงจะมิเลื่อนตำแหน่งนางขึ้นในบัดนี้ ส่วนผิน สตรีเหล่านั้นจวินฉีเซิ่งมิเห็นอยู่ในสายตา มีเพียงนางเท่านั้นที่มีคุณสมบัติจะเอาอกเอาใจเขาให้พึงพอใจได้ หากว่าจวินฉีเซิ่งมิแต่งตั้งนางแล้วจะแต่งตั้งใคร เพียงแต่บัดนี้พายุยังคงอยู่ในช่วงถาโถมรุนแรง นางจะต้องรอให้ วี่เฟยถูกตัดสินคดีความก่อน จึงจะสามารถนั่งอยู่ในตำแหน่งกุ้ยเฟยได้อย่างมั่นคง
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวขึ้นว่า “ช่วงนี้เขาคงจะมิเดินทางมาหาเจ้า เพื่อให้มู่หรงอี๋รู้สึกคับแค้นใจ ช่วงนี้เขาคงจะอยู่ในตำหนักของหวีผิน”
หยินซวงซวงเอ่ยถามว่า “ฝ่าบาทจะทรงโปรดปรานนางไหนเพียงคนหนึ่งเพื่อที่จะทำให้นางรู้สึกคับแค้นอึดอัดใจงั้นหรือ?”
“แน่นอน”