ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 249 ลาก่อนแคว้นฉี
“และนี่ก็นับว่าเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้เจ้าได้มีสภาพศพครบ”
แววตาอันเย็นวาบของกู้ชิวเหลิ่ง เพียงพอแล้วที่จะทำให้หัวใจของผู้คนสั่นคลอน แต่ตอนนี้ดวงตาของจวินฉีเซิ่งดูคลุมเครือ มองมิเห็นท่าทางของกู้ชิวเหลิ่งได้ชัดเจน เขารู้เพียงแต่ว่าเนื้อหนังของเขาราวกับถูกไฟไหม้ มันเจ็บปวดเหลือเกิน มิอาจหาคำใดมาบรรยายได้
บอกตามตรงว่านางมิอยากจะให้ ร่างของจวินฉีเซิ่งอยู่ครบสามสิบสองประการ นางอยากจะฉีกร่างของจวินฉีเซิ่งให้เป็นชิ้นๆ แล้วเอาไปให้สุนัขกินเหลือเกิน แต่คำนึงถึงชื่อเสียงของว่าที่ฮ่องเต้เช่นจวินหวาเทียน นางจึงทำได้เพียงให้จวินฉีเซิ่งได้รับกรรมเพียงเท่านี้
“เจ้าจะยังคงเจ็บปวดอยู่เช่นนี้เพียงแค่ครึ่งชั่วโมง และในครึ่งชั่วโมงยามนี้ ข้าจะคอยดูเจ้าจนกระทั่งเจ้าสิ้นใจไป
น้ำเสียงของกู้ชิวเหลิ่งดังเข้าไปในหูของจวินฉีเซิ่งราวกับคำสาป ทุกส่วนของร่างกายเขาช่างเจ็บปวด แต่เขามิสามารถแม้แต่จะร้องออกมา เนื่องจากกู้ชิวเหลิ่งยัดผ้าไว้ในปากของเขา
จวินฉีเซิ่งดวงตาแดงเรื่อ กู้ชิวเหลิ่งเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ ว่า “เจ็บหรือ? หากเทียบกับการที่เจ้าทิ้งและทรยศข้าในตอนนั้น มันเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย จวินฉีเซิ่ง ข้าต้องการให้เจ้าจดจำความรู้สึกเจ็บปวดนี้เอาไว้ ต่อให้เจ้าตกนรกหมกไหม้ก็ต้องจดจำความเจ็บปวดนี้เอาไว้ให้ดี เนื่องจากครั้งนี้เจ้าติดหนี้ข้า จงสำนึกในความผิดของเจ้าเถิด เมื่อลงไปที่นรกแล้วอย่าลืมไปขอโทษตระกูลมู่หรงของข้าด้วย”
จวินฉีเซิ่งพยายามดิ้นรนอย่างหนักแต่ก็ไร้ประโยชน์
ที่ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าดังเข้ามา กู้ชิวเหลิ่งมิได้หันหลังกลับไปมองก็รู้ได้ว่าใครมา “เจ้ามาได้จังหวะพอดี เขายังมิสิ้นใจ เขาเป็นผู้วางยาพิษแก่เจ้าทำให้ร่างกายของเจ้าต้องเป็นเช่นนี้ เจ้าต้องการจัดการเขาเช่นไรก็ทำเถิด”
จวินหวาเทียนเดินตรงเข้ามาด้วยหน้าตาอันซีดเซียว เช้าวันนี้เขาพยายามปกปิดความอ่อนแอของตนต่อหน้าขุนนางนับร้อย แต่บัดนี้เขามิสามารถทนได้อีกต่อไป
เมื่อได้ยินชื่อของจวินหวาเทียน จวินฉีเซิ่งก็พยายามจะมิแสดงท่าทีอันเจ็บปวดออกมา ในแคว้นฉีนี้ จะว่าไปคนที่เขารู้สึกเกลียดชังที่สุดมิใช่องค์รัชทายาท แต่เป็นจวินหวาเทียน
ทุกครั้งที่เขาเห็นหน้าตาอันสดใสของจวินหวาเทียน เขาก็มิอาจบอกได้ว่าความในใจนั้นรู้สึกขุ่นเคืองเพียงใด แม้ว่ามารดาของเขาและมารดาของตนจะมีสถานะต่ำต้อยเช่นกัน แต่จวินหวาเทียนกลับได้รับความรักความโปรดปรานมากกว่า จะให้เขายินดีได้อย่างไร
“อาชิว ข้าเกรงว่าเจ้าจะเหนื่อยล้าเกินไป จงกลับไปพักผ่อนเถิด”
กู้ชิวเหลิ่งมองดูใบหน้าอันซีดขาวของจวินหวาเทียน นางรู้สึกสงสารจนอดมิได้ที่จะน้ำตาไหล นางเข้ามากุมมือของจวินหวาเทียนเอาไว้แล้วกล่าวว่า “เจ้าดูท่าทางของเจ้าเข้าสิ หากมิใช่เพราะจวินฉีเซิ่งผู้ชั่วร้ายคนนี้ เจ้าจะมีสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร ก่อนหน้านี้เจ้าทั้งแข็งแรงและกำยำ บัดนี้เล่า? เจ้าต้องทนแบกรับสภาพร่างกายเช่นนี้และกินยาต้มเพื่อประทังชีวิตไปวันๆ”
จวินหวาเทียนเช็ดน้ำตาจากแก้มของกู้ชิวเหลิ่งเบาๆ กล่าวว่า “อย่าร้องไห้เลย ข้ามิเป็นไร”
“หวาเทียน เจ้าอาจมิโกรธเกลียดเขา แต่ข้าทำมิได้!”
จวินหวาเทียนยิ้มขึ้นเบาๆ เป็นรอยยิ้มเหมือนเมื่อสี่ปีก่อนตอนที่เขาจากไป
“บัดนี้มู่หรงอี๋ก็ตายแล้ว จวินฉีเซิ่งก็มิอาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ความแค้นของเจ้าได้รับการชำระแล้ว เจ้าดีใจหรือไม่”
“ดีใจสิ เหตุใดข้าจึงมิดีใจ ข้าอดใจรอจะหักกระดูกของพวกเขาให้เป็นชิ้นๆ แทบมิไหว บัดนี้ทุกสิ่งอย่างได้รับการแก้แค้นแล้ว ข้ามีความสุขเป็นที่สุด”
จวินหวาเทียนโอบกู้ชิวเหลิ่งเข้ามาไว้ในอ้อมแขนแล้วกล่าวว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างจบสิ้นแล้ว เจ้าอยากร้องไห้ก็จงร้องออกมาเถิด”
เมื่อเห็นว่าจวินฉีเซิ่งกำลังจะสิ้นใจ กู้ชิวเหลิ่งก็ตกตะลึง แต่จวินหวาเทียนมิรู้สึกแปลกใจ เนื่องจากเขาได้ใส่บางอย่างเข้าไปในหนอนกู่ ที่ทำให้จวินฉีเซิ่งสิ้นใจได้อย่างรวดเร็ว
ในตำหนักเย็นมีเสียงร้องโหยหวนของสตรีดังขึ้น ราวกับว่านางรอคอยมาเนิ่นนานและอดกลั้นมาเป็นเวลาเนิ่นนานด้วยเช่นกัน
ที่ด้านนอกประตู อวี้ฉือจ้านยืนฟังอย่างเงียบๆ อันที่จริงเขารู้มาก่อนหน้าแล้วว่ากู้ชิวเหลิ่งก็คือมู่หรงชิว เพียงแต่เขามิได้เอ่ยมันออกมา ในครั้งนี้จวินหวาเทียนเป็นคนพาเขามาเอง และนี่เป็นจุดอ่อนสุดท้ายที่กู้ชิวเหลิ่งกระทำออกมา
คืนนี้ช่างเป็นค่ำคืนที่ยาวนาน หากต้องการจะข้ามผ่านมันไป คาดว่าคงต้องใช้เวลานานทีเดียว
ส่วนพิธีบรมราชาภิเษกใช้เวลาจัดเตรียมอยู่กว่าครึ่งเดือน กู้ชิวเหลิ่งและอวี้ฉือจ้านในฐานะแขกกิตติมศักดิ์ของต้าเยียนจึงได้อยู่ร่วมพิธีต่อ ส่วนจวินฉีเซิ่งแม้ว่าจะเป็นผู้สังหารบิดาและพี่น้องตน ถึงกระนั้นก็ยังได้ถูกนำร่างไปฝังในสุสานจักรพรรดิ คาดว่านี่คงจะเป็นการให้อภัยของจวินหวาเทียน
กู้ชิวเหลิ่งคงมิอาจให้อภัยคนอย่างจวินฉีเซิ่ง เช่นเดียวกับจวินหวาเทียนได้ทั้งชีวิตนี้
อาการของจวินหวาเทียนแย่กว่าที่กู้ชิวเหลิ่งคิดเอาไว้ หลายครั้งที่นางเดินทางไปเยี่ยมจวินหวาเทียน มักจะเห็นว่าเขามีผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือดวางอยู่บนเตียง
“บัดนี้เจ้าขึ้นครองบัลลังก์แล้ว ฮ่องเต้องค์ก่อนและองค์รัชทายาทคงจะมีความสุขยิ่งนัก”
กู้ชิวเหลิ่งมองไปทางจวินหวาเทียนแล้วกล่าวอีกว่า “หวาเทียน เจ้าจงบอกกับข้ามาตามตรง ร่างกายของเจ้าบัดนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
จวินหวาเทียนยิ้มขึ้นอย่างแผ่วเบาด้วยใบหน้าอันขาวซีด “ข้ายังมีเวลาอีกห้าปี เจ้ามิต้องกังวลใจไปหรอก บัดนี้ข้าได้ตามหมิงเอ๋อร์กลับมาแล้ว แต่หากกล่าวว่าเป็นทายาทขององค์รัชทายาทคงมิมีใครเชื่อ ดังนั้นข้าจึงกล่าวว่าเขาเป็นบุตรชายของข้า เป็นบุตรชายสายตรงและเป็นองค์รัชทายาทในอนาคตด้วย”
“หมิงเอ๋อร์?”
“ใช่แล้วหมิงเอ๋อร์”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า “ในฐานะฮ่องเต้ เจ้าควรจะแต่งตั้งฮองเฮาสักคน มิเช่นนั้นเจ้าอยากจะให้หมิงเอ๋อร์ไร้ซึ่งมารดาไปตลอดชีวิตหรือ?”
“ข้ามีเวลาอีกมิมากแล้ว เหตุใดต้องดึงสตรีคนหนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”
จวินหวาเทียนกล่าวออกมาได้อย่างบางเบา กู้ชิวเหลิ่งตกอยู่ในประโยคที่เขาบอกว่าห้าปี ห้าปี……จวินหวาเทียนมีเวลามากขนาดนั้นหรือ นางมิได้โง่ นางเองพอมีทักษะทางการแพทย์อยู่บ้าง นางรู้ดีว่าอย่างมากสุดก็เพียงแค่หนึ่งปี อีกอย่างบัดนี้เขาเป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นฉี และหลายปีมานี้แคว้นฉีเน่าเฟะจากภายใน หวาเทียนคงจะรู้ดียิ่งกว่านาง การที่ต้องจัดการกับเรื่องราวกองโตเท่าภูเขาในทุกวัน จวินหวาเทียนหากสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อีกหนึ่งปีก็นับว่าเกินขีดจำกัดแล้ว
ดวงตากู้ชิวเหลิ่งแดงเรื่ออีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้นางจงใจก้มหน้าลงไปดื่มน้ำแล้วกล่าวว่า “เจ้าขึ้นครองราชย์เมื่อไหร่ ข้ากับอวี้ฉือจ้านก็จะเดินทางจากไปแล้ว”
“กลับต้าเยียนหรือ?”
“อย่าบอกว่าเจ้ามิรู้ ข้าจะเดินทางไปแคว้นเป่ย”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า “หวาเทียน เจ้ามีความสัมพันธ์อันใดกับแคว้นเป่ยกันแน่ และความสัมพันธ์ของเจ้ากับจี้ต้านผู้นั้นคืออะไร?”
จวินหวาเทียนกล่าวว่า “รอให้เจ้าไปยังแคว้นเป่ยแล้วทุกอย่างเจ้าจะเข้าใจเอง”
หลังจากนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน จวินหวาเทียนจึงกล่าวขึ้นว่า “อาชิว จากนี้ไปพวกเราอาจมิได้พบกันอีก อวี้ฉือจ้านเป็นชายที่มิเลวทีเดียว เขาจะดูแลเจ้าได้ตลอดชีวิต”
“ข้ารู้”
นางรู้ดีว่าอวี้ฉือจ้านเป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่ง แต่เมื่อประโยคนี้ออกมาจากปากของจวินหวาเทียน ทำให้กู้ชิวเหลิ่งรู้สึกว่านี่เป็นการบอกลาครั้งสุดท้าย
เมื่อพิธีบรมราชาภิเษกของจวินหวาเทียนมาถึง ทุกครั้งที่เฝ้าดูจวินหวาเทียนค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดร้อยขั้นนั้น กู้ชิวเหลิ่งก็รู้สึกปวดใจและเศร้าโศก นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขาจะได้พบกัน
ในโลกนี้นอกจากอวี้ฉือจ้านแล้ว คนอีกคนหนึ่งที่นางรู้จักและมีความเกี่ยวพันกันมากที่สุดในชีวิตกำลังจะหายไป
อวี้ฉือจ้านกุมมือของกู้ชิวเหลิ่งเอาไว้แน่น นางสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของฝ่ามืออวี้ฉือจ้านจึงยิ้มออกมาจางๆ แคว้นฉี ลาก่อน