ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 250 ชื่อฉู่ แซ่สวิน
เมื่อกู้ชิวเหลิ่งลืมตาขึ้น พบว่าท้องฟ้ากำลังสว่าง นางนั่งอยู่ในรถม้าโดยคนขับรถม้าก็คือเฉิงตู้องครักษ์ลับที่จวินหวาเทียนส่งมาคุ้มกันนาง
“ด้านหน้าคือโรงเตี๊ยม พระชายาอ๋องโปรดอดใจรออีกสักพักเถิด”
กู้ชิวเหลิ่งเปิดม่านขึ้นเล็กน้อยกล่าวว่า “ข้าบอกเจ้าหลายหนแล้วให้เรียกข้าว่าคุณหนู”
“ขอรับคุณหนู”
อวี้ฉือจ้านมิได้อยู่ข้างกายนาง นางรู้ดีว่าการวางยาอวี้ฉือจ้านส่วนตนจากมาโดยมิลานั้น ฟังแล้วช่างไร้สาระ
ทั้งๆ ที่เมื่อครู่เพิ่งจะสัญญากันว่าจะมิทอดทิ้งอีกฝ่าย แต่ผ่านไปเพียงครึ่งก้าว นางกลับทำเรื่องเช่นนี้ขึ้น เพราะนางมิอยากจะให้อวี้ฉือจ้านเดินทางมากับนางที่แคว้นเป่ย
นางสัมผัสได้ว่าแคว้นเป่ยนี้ผิดปกติไป มิเพียงแต่มีราชครูจี้ต้าน แต่ยังเพราะคู่หมั้นของนางที่นามว่าฉู่สวิน
แท้จริงแล้วชื่อฉู่สวินได้ยินมาหลายครั้งหลายครา แต่สำหรับความทรงจำในร่างกู้ชิวเหลิ่ง ชายคนนี้จางแทบมองมิเห็นใบหน้าเสียด้วยซ้ำ รู้เพียงว่าตอนเล็กๆ ตนเคยพบอยู่สองสามหนหรืออาจเคยรู้จักกันอยู่ช่วงหนึ่ง สิ่งที่กู้ชิวเหลิ่งรู้สึกแปลกใจนั่นก็คือ ร่างนี้เป็นเพียงแค่ธิดาของกู้โหว จะว่าไปสถานะก็ช่างต่ำต้อย เหตุใดจึงรู้จักกับองค์ชายตัวประกันแห่งแคว้นเป่ยได้
แม้จะบอกว่าตัวตนของฉู่สวินในแคว้นเป่ย จะเป็นเพียงแค่เด็กกำพร้าซึ่งถูกส่งไปยังที่แห่งนั้นเมื่อตนยังเด็ก แต่ถึงอย่างไรด้วยตัวตนของเขานี้ก็ยากที่จะเข้าถึงอยู่ดี ส่วนกู้ชิวเหลิ่งมิเพียงแต่รู้จักกับฉู่สวิน ดูเหมือนยังมีความสัมพันธ์ที่มิธรรมดาต่อกัน จากความทรงจำของร่างกายนี้ดูเหมือนทั้งสองจะเป็นคู่หมั้นคู่หมายกันด้วย
สตรีซึ่งเป็นธิดาของจวนโหวคนหนึ่งซึ่งมิได้รับความนิยมใด ส่วนอีกคนเป็นองค์ชายตัวประกัน มิว่าอย่างไรเส้นด้ายสีแดงระหว่างทั้งสองก็มิอาจเชื่อมโยงกันได้เลย
กู้ชิวเหลิ่งคิดดังนั้น ขณะเดียวกันเฉิงตู้ก็ได้หยุดรถม้าลง ตรงหน้าเป็นโรงเตี๊ยมซึ่งมิเล็กมาก นางรีบเร่งเดินทางมาหลายวันนี้ และนี่เป็นครั้งแรกที่พบกับโรงเตี๊ยมค่อนข้างใหญ่ คาดว่าคงใกล้จะถึงเขตแดนของแคว้นเป่ยแล้ว
ตอนที่กู้ชิวเหลิ่งลงจากรถม้า เฉิงตู้ก็ได้สวมเสื้อคลุมให้แก่กู้ชิวเหลิ่งอีกหนึ่งตัว กล่าวว่า “ฝ่าบาททรงกำชับไว้ คุณหนูจะเป็นอะไรไปมิได้”
กู้ชิวเหลิ่งเลิกคิ้วขึ้นอย่างเย็นชา “ตอนอยู่ข้างนอกจงกระทำการทุกอย่างด้วยความสงบ นอกจากเรียกข้าว่าคุณหนูแล้ว อย่าได้เอ่ยถึงคนอื่นอีกรวมทั้งนายของเจ้า”
“ขอรับ”
แม้ว่าเฉิงตู้จะดูเฉยชา แต่เขาก็จงรักภักดีเป็นที่สุด เมื่อกู้ชิวเหลิ่งเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติไป ผู้คนรอบข้างแม้จะมิเคลื่อนไหวแต่ก็ดูระมัดระวังเป็นพิเศษ นับตั้งแต่ตอนที่กู้ชิวเหลิ่งเดินเข้าไปในประตู
แม้กู้ชิวเหลิ่งจะมีรูปลักษณ์ที่งดงามน่าทึ่ง แต่ในสายตาของคนเหล่านั้นกู้ชิวเหลิ่งมองเห็นสิ่งที่แตกต่างไป
“ข้าขอห้องสองห้อง”
กู้ชิวเหลิ่งเดินไปที่ฝ่ายต้อนรับ ชายวัยกลางคนรีบโค้งกายพยักหน้าเอ่ยถามว่า “มิทราบว่าท่านคือคุณหนูกู้ใช่หรือไม่?”
“ถูกต้องแล้ว”
“มีคนชำระค่าห้องให้แก่ท่านแล้ว เชิญขึ้นไปข้างบนเถิด”
กู้ชิวเหลิ่งเดินขึ้นไปที่ชั้นสอง มีเพียงห้องเดียวเท่านั้นที่เปิดประตูไว้ ส่วนห้องอื่นๆ ล้วนปิดหมด ทั้งยังถูกล็อกจากด้านนอก เห็นได้ชัดว่ามิมีใครอยู่ข้างใน
กู้ชิวเหลิ่งยิ้มเยาะออกมา ในโลกนี้ยังมีเรื่องดีเช่นนี้อีกหรือ ทั้งนางยังได้เจอกับมันด้วย
ตอนที่กู้ชิวเหลิ่งเดินตรงขึ้นไปนั้น เฉิงตู้รู้สึกมิวางใจ เขาจึงเดินไปข้างหน้ากล่าวว่า “ข้าจะออกไปตรวจดูก่อน”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวขึ้นว่า “มิจำเป็น คนในโรงเตี๊ยมนี้ล้วนเป็นคนของเขา หากพวกเขาต้องการจับกุมตัวเรา หรือว่าต้องการจะแก้แค้น เหตุใดจึงรอให้เรามาถึงที่นี่เล่า”
หากว่ากู้ชิวเหลิ่งเดาได้ถูกต้องละก็ คนที่อยู่ในห้องคงจะเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นอย่างแน่นอน
ให้นางลองเดาดู มิรู้ว่าจะเป็นฉู่สวิน องค์ชายตัวประกันแห่งแคว้นเป่ย หรือว่าราชครูจี้ต้านคนนั้นกันแน่
กู้ชิวเหลิ่งหวังว่าจะเป็นฉู่สวิน เพราะดูเหมือนว่าจากปากของราชครูจี้ต้าน นางมิอาจหลอกถามอันใดได้เลย คงจะเป็นดังครั้งก่อนที่ได้พบกัน
แต่เมื่อกู้ชิวเหลิ่งเดินเข้ามาในห้องก็เห็นร่างของใครคนหนึ่งที่ดูสูงใหญ่สง่างาม มองจากด้านหลังนั้นสัมผัสได้ว่าช่างเยือกเย็นกว่าจวินหวาเทียนเสียอีก หากกล่าวว่าหวาเทียนเป็นดั่งจันทราท่ามกลางความมืดมน เช่นนั้นเขาก็คงจะเป็นรถดั่งน้ำในทะเลสาบสงบยามค่ำคืน เพียงแค่มองจากแผ่นหลังก็อดมิได้ที่จะคิดไปมากมาย
“ท่านคือใคร?”
กู้ชิวเหลิ่งเอ่ยปากถามก่อน เขาผู้นั้นหันหลังกลับมา ใบหน้าช่างสง่างามทำให้รู้สึกหลงใหล เขาช่างอ่อนโยนเหลือเกิน ยามยิ้มช่างดูดีแต่ก็เยือกเย็น
กู้ชิวเหลิ่งเลิกคิ้วขึ้นกล่าวอีกครั้งว่า “ข้าดูเหมือนมิรู้จักท่าน ท่านเป็นใครกัน”
“เหิงเอ๋อร์”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า “ดูเหมือนท่านจะจำคนผิดแล้ว ข้ามิได้ชื่อเหิงเอ๋อร์”
“ข้ารู้ดีว่าเจ้าจำข้ามิได้ และข้าก็รู้ว่าเจ้าคือมู่หรงชิว”
ฉู่สวินกล่าวอย่างตรงไปตรงมา สายตาของเขามิได้ละห่างจากใบหน้าของกู้ชิวเหลิ่งเลย ดูเหมือนว่าเขากำลังมองผ่านเนื้อหนังร่างกายนี้ไปถึงจิตวิญญาณ กู้ชิวเหลิ่งสัมผัสได้ว่าความรู้สึกที่จ้องมองมานี้มิได้กำลังมองนางอยู่
แต่กำลังมองคนที่ชื่อว่าเหิงเอ๋อร์
“ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าเป็นใคร ดังนั้นเจ้าก็คงจะรู้ว่าข้ามิใช่คนที่เจ้าพูดถึง”
ฉู่สวินก้าวไปข้างหน้า แต่ละก้าวของเขาช่างมีเกียรติและดูสง่างามยิ่งนัก เมื่อเขาเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ากู้ชิวเหลิ่ง กู้ชิวเหลิ่งก็ได้สัมผัสถึงถิ่นกายอันหอมของเขา
“ข้ารอเจ้ามานานหลายวันแล้ว เจ้าเดินทางเหนื่อยล้ามาทั้งวัน นั่งลงก่อนเถิดแล้วค่อยคุยกัน”
ฉู่สวินหันไปยิ้มให้กลับเฉิงตู้ที่อยู่ด้านหลังกู้ชิวเหลิ่งแล้วกล่าวว่า “สหาย ข้าได้จัดเตรียมห้องไว้ให้เจ้าแล้ว เจ้าเองก็เหนื่อยล้าจากการเดินทางขับรถม้า ไปพักผ่อนเถิด”
เฉิงตู้ดูเหมือนมิตั้งใจจะขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ฉู่สวินก็มิได้รู้สึกเคอะเขิน เขามองไปทางกู้ชิวเหลิ่งแล้วกล่าวว่า “ข้ามีเรื่องสำคัญจะสนทนากับเจ้า หากมีคนอื่นอยู่ด้วยข้าเกรงว่าจะมิสะดวก”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า “ในเมื่อท่านรู้สึกว่ามิสะดวก ถ้าเช่นนั้นข้ากับผู้คุ้มกันของข้าขอตัวก่อน ท่านว่าอย่างไร”
ฉู่สวินเม้มริมฝีปากราวกับว่าได้รับความเจ็บปวดจากความเฉยมือของกู้ชิวเหลิ่ง แต่เขาก็ยังกล่าวว่า “ข้ามิได้แนะนำตนเองก่อน ขออภัยด้วย ข้าแซ่ฉู่ ชื่อสวิน”
“ข้ารู้ ท่านเป็นองค์ชายตัวประกันแห่งแคว้นเป่ย และเป็นทายาทในราชวงศ์ก่อนแห่งต้าเยียน”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวด้วยความเย็นชา “แต่วันนี้ข้าเหนื่อยล้ายิ่งนัก ยังมิอยากฟังความจากเจ้า”
เมื่อสิ้นเสียงลง กู้ชิวเหลิ่งก็หันหลังจากไป โดยมีเฉิงตู้เดินตามอย่างใกล้ชิด
ฉู่สวินยืนอยู่ที่เดิม การแสดงออกของเขาดูแข็งเงียบเหงานัก “สักวันเจ้าจะจำได้เอง และเมื่อไหร่ที่เจ้ากลับมาคาดแบกเกี้ยวหลังใหญ่ไปขอเจ้าแต่งงานกับที่หน้าเรือน
ประโยคสุดท้ายของฉู่สวิน คนอื่นอาจฟังมิได้ยินนะ เพราะเขาทิ้งท้ายไว้เพียงว่า “เหิงเอ๋อร์……”
กู้ชิวเหลิ่งมิอยากได้สิ่งที่ฉู่สวินต้องการกล่าว อีกอย่างตอนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของฉู่สวิน นางรู้สึกปวดศีรษะจนแทบแยกแยะมิออก จึงทำให้เธออดมิไหวต้องเดินทางจากไปก่อน
ความคิดอันน่าสะพรึงกลัวแวบเข้ามาในสมอง นั่นก็คือจิตสำนึกของร่างกายนี้ยังคงอยู่ กู้ชิวเหลิ่งตัวจริงยังมิได้ตาย