ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 251 คุกคาม
“คุณหนูมิสบายหรือขอรับ?”
เฉิงตู้อดมิได้ที่จะเอ่ยถาม กู้ชิวเหลิ่งเข้าไปพยุงประตูไว้แล้วรู้สึกว่าศีรษะวิงเวียน มีภาพบางอย่างปรากฏขึ้นตรงหน้า แต่กลับถูกคำพูดเมื่อครู่ของเฉิงตู้เข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
กู้ชิวเหลิ่งขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ท่าทางดูเจ็บปวดกล่าวว่า “ข้ามิเป็นไร เจ้าจงไปพักผ่อนที่ห้องด้านข้างเถิด กลางคืนจงระมัดระวังด้วย”
“ขอรับ”
กู้ชิวเหลิ่งจุดตะเกียงขึ้น ท้องฟ้าด้านนอกมืดครึ้มแล้ว ในวันนี้เนื่องจากเหนื่อยล้ามาทั้งวัน กู้ชิวเหลิ่งนอนอยู่บนเตียงมองเห็นร่างและเงาอันดูอ่อนโยนงดงามของสตรีนางหนึ่ง
หญิงผู้นั้นเรียกนางว่าเหิงเอ๋อร์ด้วยท่าทางอันอ่อนโยน กู้ชิวเหลิ่งลืมตาขึ้นทันควัน นี่คือชื่อที่ฉู่สวินใช้เรียกนางเมื่อครู่มิใช่หรือ?
กู้ชิวเหลิ่งก็นึกถึงตอนที่นางอยู่ในจวนกู้ ฉินเซียงเหลียนเคยเอ่ยถึงหยูจิ่นเหนียงซึ่งเป็นมารดาของเจ้าของร่างนี้อยู่ถึงสามคน
ในตอนนั้นนางก็สัมผัสได้ว่าเรื่องราวมิธรรมดา อีกอย่างฉินเซียงเหลียนเคยกล่าวว่าตอนที่หยูจิ่นเหนียงเข้ามาในจวนกู้ นางตั้งครรภ์ท้องโตเข้ามาแล้ว ส่วนใบหน้าของนางเมื่อมองดูดีๆ จะพบว่ามิได้คล้ายคลึงกับกู้หนานเฉิงเท่าไรนัก
หรือว่านางจะมิใช่ลูกของกู้หนานเฉิง?
ด้วยความรู้สึกสงสัย กู้ชิวเหลิ่งหลับไปอย่างระแวดระวัง อาจเป็นเพราะว่าฉู่สวินอยู่ที่ห้องด้านข้างจึงทำให้นางนอนหลับมิสนิทนัก
วันต่อมา ท้องฟ้ายังมิทันสางกู้ชิวเหลิ่งก็ลืมตาขึ้น เนื่องจากการปรากฏกายของฉู่สวินเมื่อวานนี้ นางจึงได้ทำการแขวนกระดิ่งเอาไว้ เมื่อมิมีรอยเท้าของคนอื่นภายในห้อง จึงทำให้กู้ชิวเหลิ่งถอนใจด้วยความโล่งอก
“คุณหนูตื่นแล้วหรือขอรับ?”
กู้ชิวเหลิ่งมองออกไปยังท้องฟ้าแล้วกล่าวว่า “เข้ามา”
“ขอรับ”
กู้ชิวเหลิ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ ทำการล้างหน้าล้างตาแล้วกล่าวว่า “จัดเตรียมของเถิด เราจะออกเดินทางกัน”
“ขอรับ”
ที่ด้านนอกมีผู้คุ้มกันสวมชุดสีดำยืนขวางอยู่ตรงประตูมิเปิดทางให้แก่เฉิงตู้เขากล่าวว่า “คุณหนูกู้ เจ้านายของเราเชิญให้ท่านไปพบ”
กู้ชิวเหลิ่งมิแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง นางกล่าวว่า “จงกลับไปบอกนายของเจ้าว่าพวกเรากำลังจะเดินทางและมิพบเขา”
ดูเหมือนผู้คุ้มกันชุดดำมิตั้งใจจะจากไปดังคำสั่ง เขายังคงยืนอยู่ที่นั่น แววตาของกู้ชิวเหลิ่งแสดงถึงท่าทีอันสงสัย นางรู้ดีว่าผู้คุ้มกันเหล่านี้จัดการยาก
กู้ชิวเหลิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เป็นจริงดังนั้น พวกเขาเป็นผู้คุ้มกันของฉู่สวิน จะจัดการได้อย่างง่ายดายได้อย่างไร
ด้านของฉู่สวินมิรู้ว่าพาคนมามากมายเท่าไหร่ หากมีคนน้อยไปสู้กับมีคนมากก็ดูมิฉลาดนัก
แม้ว่ากู้ชิวเหลิ่งจะรู้ดีเรื่องที่ฉู่สวินคงมิทำอะไรนาง แต่เขาจะใช้กำลังหรือไม่นางก็มิรู้
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า “เฉิงตู้หลีกทางเถิด ข้าจะไปกับพวกเขาเอง”
เฉิงตู้หลีกทางให้อย่างมิเต็มใจนัก กู้ชิวเหลิ่งลุกขึ้นแล้วเดินตามผู้คุ้มกันชุดดำเหล่านั้นไป ก่อนจะเอ่ยถามว่า “เจ้านามว่าอะไร”
“ข้าน้อยเสวียนอี”
กู้ชิวเหลิ่งมองไปชุดที่เสวียนอีสวมใส่แล้วหัวเราะออกมาโดยมิได้กล่าวสิ่งใดอีก
ณ ชั้นหนึ่งของโรงเตี๊ยมถูกจัดเก็บเรียบร้อย จึงทำให้กู้ชิวเหลิ่งมั่นใจยิ่งนักว่าเมื่อวานนี้ผู้คนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมล้วนเป็นคนของฉู่สวิน
ฉู่สวินนั่งอยู่ริมหน้าต่างชั้นหนึ่ง เมื่อเห็นว่ากู้ชิวเหลิ่งเดินลงมาเขาก็ยิ้มขึ้นกล่าวว่า “มาสิ”
กู้ชิวเหลิ่งเดินตรงไปที่ฝั่งตรงข้ามของฉู่สวิน ฉู่สวินกล่าวว่า “นั่งก่อน”
มีขนม น้ำชาและอาหารที่ดูละเอียดประณีตเข้ามาวางบนโต๊ะ เป็นอาหารเช้าทั้งสิ้น มิว่าจะเป็นขนมรังนกที่ใสยิ่งกว่ากระจก มิเหมือนกับอาหารที่หากินได้ในเขตชายแดนนี้
“ท่านอ๋องช่างสง่างามยิ่งนัก เดินทางจากเมืองหลวงมาที่นี่เป็นเพราะต้องการพบข้าอย่างงั้นหรือ?”
น้ำเสียงของกู้ชิวเหลิ่งสื่อถึงการลองเชิง สายตามองไปทางฉู่สวินอย่างเฉียบคม
ฉู่สวินกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “หากข้าบอกว่าใช่ เจ้ามีท่าทีเช่นไร”
“ในเมื่อเจ้ารู้ทุกการเคลื่อนไหวของข้าอย่างชัดเจน เช่นนั้นเจ้าก็ควรจะรู้ว่าข้าแต่งงานกับอวี้ฉือจ้านแล้ว”
“แล้วอย่างไรเล่า?”
ดูเหมือนฉู่สวินจะมิสนใจว่ากู้ชิวเหลิ่งแต่งงานกับอวี้ฉือจ้านแล้ว แววตาสีหน้าของเขาดูเฉยเมยยิ่งนัก แต่รอยยิ้มในดวงตาบ่งบอกว่าการที่เขาเดินทางมายังชานเมืองเพื่อเจอกู้ชิวเหลิ่งในครั้งนี้มิใช่ธรรมดา
กู้ชิวเหลิ่งถามว่า “ท่านราชครู เจ้าเป็นคนส่งเขามาใช่หรือไม่?”
ฉู่สวินตอบว่า “ใช่”
“เจ้าตอบได้อย่างตรงไปตรงมายิ่งนัก ในฐานะองค์ชายตัวประกัน เจ้ามีตัวตนที่ต่ำต้อยแต่กล้าที่จะออกคำสั่งต่อราชครูแคว้นเป่ยได้ เจ้ามิกลัวข้าจะเอาเรื่องนี้พูดออกไปหรือ? เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะมีที่ซุกหัวนอนในแคว้นเป่ยหรือไม่”
“เจ้าเองก็รู้อยู่แก่ใจ หากเข้าปฏิเสธ จะมิดูไร้ยางอายหน่อยหรือ?”
ฉู่สวินกล่าวว่า “อีกอย่างข้าก็มิอยากโกหกเจ้า”
กู้ชิวเหลิ่งเพิกเฉยต่อสิ่งที่ฉู่สวินกล่าวมา นางได้ตอบกลับไปว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงมาอยู่ในร่างของกู้ชิวเหลิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เป็นฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่?”
“เจ้าอยากรู้งั้นหรือ”
กู้ชิวเหลิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่ฉู่สวินกล่าวออกมานั้นช่างน่าขำ “ข้าเดินทางมาที่แคว้นเป่ยก็เพื่อสิ่งนี้ เจ้าคิดว่าข้าอยากรู้หรือไม่?”
ฉู่สวินจิบชาเข้าไปอึกหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้ามาที่แคว้นเป่ยก็เพื่อต้องการค้นหาความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเจ้ามิใช่หรือ เจ้าเกรงว่าหากเจ้ามิเดินทางมาแคว้นเป่ยอาจสร้างความวุ่นวายให้แก่อวี้ฉือจ้าน หรือข้าอาจจะวางแผนจัดการอวี้ฉือจ้าน หรือบางทีข้าอาจจะทำเรื่องบางอย่างเพื่อทำร้ายอวี้ฉือจ้าน ใช่หรือไม่”
ฉู่สวินเดาความคิดในใจของกู้ชิวเหลิ่งได้อย่างถูกต้อง ใบหน้าของกู้ชิวเหลิ่งไร้ซึ่งรอยยิ้ม “ในเมื่อเจ้ารู้ทุกสิ่งอย่างแล้ว เหตุใดจึงยังถามข้าอีก ดูท่าทางของเจ้าในตอนนี้สิ คาดว่าคงมิอยากบอกข้าอย่างง่ายดาย”
“หากข้าบอกเจ้าง่ายๆ เสียตอนนี้ เจ้าก็คงจะเดินทางกลับต้าเยียนมิใช่หรือ”
“ใช่”
กู้ชิวเหลิ่งมิได้โกหก เนื่องจากนางรู้ดีว่าอยู่ต่อหน้าฉู่สวินแล้วนางโกหกไปก็ไร้ผล
ฉู่สวินวางถ้วยชาในมือลง พูดขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คุณหนูกู้จะรีบร้อนไปทำไม เมื่อเดินทางไปถึงแคว้นเป่ย ด้วยตัวตนของคุณหนูนั้นถึงอย่างไรก็นับว่าเป็นแขก หากมิอยากให้อวี้ฉือจ้านค้นพบโดยเร็ว ก็ไปอาศัยที่จวนข้าก่อนเถิด”
กู้ชิวเหลิ่งเลิกคิ้วขึ้น “นี่เจ้ากำลังข่มขู่ข้าหรือ?”
“ข้ามิได้ข่มขู่ เพียงแต่ว่าหากเจ้ามิอยากให้อวี้ฉือจ้านหาเจ้าพบโดยง่าย ข้าก็เพียงแค่เสนอข้อคิดดีๆ ออกมา ด้วยการเชิญเจ้าไปที่จวน รับรองได้ว่าจะมิมีใครหาเจ้าได้พบ แต่หากเจ้ามิมา ข้านั้นก็มิอาจรับประกันได้”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวอย่างเย็นชาว่า “สิ่งใดที่ข้าอยากทำ มิมีทางที่ข้าจะทำมิได้ เจ้าแน่ใจอย่างงั้นหรือว่ามีเพียงอาศัยอยู่ในจวนของเจ้าแล้วข้าจะปลอดภัย?”
ฉู่สวินกล่าวว่า “ที่อื่นข้ามิรู้ ข้าคิดว่าในเมืองหลวงข้าก็ยังพอมีอำนาจอยู่”
กู้ชิวเหลิ่งหรี่ตาลงเล็กน้อยกล่าว “นี่มินับว่าเป็นการข่มขู่หรือ?”
ฉู่สวินมองไปทางกู้ชิวเหลิ่งด้วยรอยยิ้ม แววตาของเขาเต็มไปด้วยความคิดถึงคะนึงหา ดูมิเหมือนการข่มขู่แต่อย่างใด ทว่ากู้ชิวเหลิ่งก็รู้ดี ฉู่สวินกำลังบ่งบอกนางว่าในเมืองหลวงแห่งนี้เป็นอาณาเขตของเขาฉู่สวิน มิว่านางจะไปที่ใด เพียงแค่อยู่ในเมืองหลวงก็มิอาจหนีจากการสอดส่องของเขาได้