ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 32 ลอบสังหารบนเรือ
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 32 ลอบสังหารบนเรือ
ฝู้จื่อโม่ดึงคอเสื้อตนเอง พูดขึ้นว่า “คุณหนูรองช่างเจรจาพาทีจริงๆ ไม่เหมือนหญิงสาวที่อ่อนแอไม่มีปากเสียงอย่างที่ผู้คนเขาเล่าลือกันเลย ครั้งที่แล้วเคยได้ยินจ้านพูดถึง ข้ายังรู้สึกกังวลอยู่ คิดไม่ถึงว่าการพบกันในวันนี้ จะทำให้ข้ารู้สึกตกตะลึงจริงๆ”
น้ำเสียงของกู้ชิวเหลิ่งค่อนข้างเย็นชา มุมปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม”สามารถทำให้ฝู้ซื่อจื่อตกตะลึงได้ ถือเป็นเกียรติของข้า ”
อวี้ฉือจ้านพูดเสียงขรึมว่า “เมื่อครู่ เจ้าบอกว่าเจ้ารู้นิสัยของจวินฉีเซิ่งเป็นอย่างดี ไม่ทราบว่าคุณหนูรองไปรู้เรื่องเหล่านี้มาจากที่ใด หรือว่ารู้จากท่านกู้โหวเย๋”
อวี้ฉือจ้านไม่ได้เป็นคนที่จะหลอกได้ง่ายๆ ส่วนฝู้จื่อโม่นั้นยืนอยู่ด้านข้างมองดูการปะทะฝีปากของกู้ชิวเหลิ่งกับอวี้ฉือจ้าน
แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีหญิงสาวคนใดทนสายตาของอวี้ฉือจ้านได้ และไม่เคยมีหญิงสาวคนใดสามารถเข้าใกล้อวี้ฉือจ้านได้ในระยะหนึ่งเมตร
กู้ชิวเหลิ่งมองเห็นไอสังหารในแววตาของอวี้ฉือจ้าน และไอสังหารนั้นเห็นได้ชัดว่าทำให้กู้ชิวเหลิ่งหัวใจเต้นเร็วขึ้น ลมหายใจก็หนักหน่วงขึ้น ราวกับทั้งสองคนต่างก็ยืนอยู่ตรงกันข้ามกับศัตรูในสนามรบ เต็มไปด้วยความระแวดระวังและการหยั่งเชิง
ในน้ำเสียงของกู้ชิวเหลิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆเลย และพูดขึ้นว่า “สำหรับปัญหานี้ ข้าไม่อยากอธิบาย ถ้าหากท่านเซ่อเจิ้งหวางเชื่อข้า ข้ายินดีจะเล่าทุกสิ่งที่ข้ารู้ให้ท่านฟัง แต่ถ้าหากท่านไม่เชื่อข้า เช่นนั้นถึงข้าจะพูดมากแค่ไหน อธิบายมากแค่ไหน ก็เป็นแค่เรื่องลมๆแล้งๆ ถูกต้องหรือไม่”
ใบหน้าเย็นชาของอวี้ฉือจ้านแฝงรอยยิ้มหยิ่งยโสอยู่เล็กน้อย พูดขึ้นว่า “เช่นนั้นคุณหนูรองก็ลองพูดเงื่อนไขของเจ้าให้ข้าฟังก่อน คุณหนูรองวางแผนมาอย่างยอดเยี่ยมเช่นนี้ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะไร้เงื่อนไขใดๆกระมัง”
กู้ชิวเหลิ่งจ้องมองดวงตาของอวี้ฉือจ้าน ในแววตานั้นไม่มีความหวาดกลัวเลยสักนิด “ข้าต้องการเข้าร่วมงานเลี้ยงของแคว้น เงื่อนไขนี้เกินไปหรือไม่”
ฝู้จื่อโม่มองพวกเขาสองคน ยิ่งอยู่ก็ยิ่งรู้สึกน่าสนใจ อวี้ฉือจ้านไม่เคยพูดมากเช่นนี้กับหญิงสาวคนใดมาก่อน และเขาก็ไม่เคยเจรจาต่อรองใดๆกับหญิงคนไหนด้วย แต่ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่า อวี้ฉือจ้านเหมือนจะสนใจกู้ชิวเหลิ่ง ด้วยนิสัยของอวี้ฉือจ้านแล้ว เขาย่อมไม่ทำเรื่องที่เสียเปรียบแน่นอน ยิ่งไม่ยอมรับการข่มขู่จากหญิงสาวคนหนึ่งอย่างแน่นอน
“ได้”
ได้ยินคำตอบที่เหนือความคาดหมาย ฝู้จื่อโม่อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาว่า “เจ้าจะไม่ถามหรือว่านางทำเช่นนี้ทำไม ข้านั้นอยากจะรู้จริงๆ ก็แค่งานเลี้ยง ทำไมคุณหนูรองจึงได้ให้ความสนใจยิ่งนัก”
“ฝู้ซื่อจื่อเป็นบุตรภรรยาหลวง เกิดมาก็ต้องสืบทอดการงานของตระกูล ส่วนข้ากู้ชิวเหลิ่งเป็นแค่ลูกอนุ เกิดมาฐานะต้อยต่ำ ข้ายังมีข่าวลือเสียหายมากมายในเมืองหลวง เดิมทียังมีท่านอ๋องหกให้เป็นที่พึ่ง แต่ตอนนี้ได้ถอนหมั้นไปแล้ว”
ฝู้จื่อโม่เลิกคิ้วขึ้น “แล้วอย่างไรเล่า”
กู้ชิวเหลิ่งพูดเสียงเรียบว่า “ปีนี้ข้าอายุครบสิบสี่ปีเต็ม งานเลี้ยงของแคว้นที่จัดขึ้นทุกสามปีเป็นงานที่จัดขึ้นบังหน้าเพื่อให้เหล่าลูกหลานของตระกูลผู้สูงศักดิ์และราชวงศ์คัดเลือกภรรยา ฝู้ซื่อจื่อไม่มีทางที่จะไม่ทราบกระมัง นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของข้า ไม่เช่นนั้น ข้าคงต้องกลายเป็นสาวแก่ที่ขายไม่ออกอย่างแท้จริง ”
ฝู้จื่อโม่มองไปทางกู้ชิวเหลิ่งอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ถามว่า “แค่นี้จริงๆหรือ”
สีหน้าของกู้ชิวเหลิ่งไม่มีจุดผิดสังเกตเลยแม้แต่น้อย “แค่นี้จริงๆ”
ฝู้จื่อโม่เดินวนอยู่รอบตัวของกู้ชิวเหลิ่งหนึ่งรอบ กล่าวว่า “ด้วยลักษณะนิสัยของคนอย่างคุณหนูรอง แถมมีใบหน้าที่งดงามเช่นนี้ ยังกลัวว่าจะขายไม่ออกอีกหรือ”
กู้ชิวเหลิ่งเหลือบตาขึ้นมอง ดวงตาหรี่ยาวของฝู้จื่อโม่คู่นั้นแฝงไปด้วยแววล้อเล่น พูดว่า “ผู้ชายแม้จะอายุเลยหกสิบปีไปแล้วยังสามารถแต่งงานมีภรรยาได้ แต่หญิงสาวที่อายุเลยสิบห้าสิบหกนั้นไม่มีใครอยากแต่งงานด้วยแล้ว ฝู้ซื่อจื่อท่านยังคิดว่าข้ากำลังพูดเล่นอีกรึ”
ฝู้จื่อโม่นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย เขามองเห็นเพียงความมืดสนิทจากแววตาของนาง เขาไม่เคยเห็นแววตาเช่นนี้จากดวงตาของหญิงสาวคนใดเลย ไม่ได้พูดปด ราวกับว่าสิ่งที่นางพูดนั้นมาจากใจจริงทั้งสิ้น เพราะว่าไม่มีอะไรควรค่าให้นางต้องพูดปด
ใช่ เหมือนคนที่เคยผ่านความตายมาแล้ว แววตาเช่นนั้นมุ่งมั่นอย่างไม่กลัวอันตรายใดๆทั้งสิ้น เป็นแววตาที่ไม่มีหนทางให้ถอยหนีแล้ว
อวี้ฉือจ้านมองรอยยิ้มของกู้ชิวเหลิ่งด้วยความนิ่งเงียบ รอยยิ้มนั้นเย็นชา น้ำเสียงที่พูดจานั้นเรียบเฉยราวกับแอ่งน้ำนิ่ง เป็นหญิงสาวที่น่าสนใจจริงๆ
กู้ชิวเหลิ่งกำลังจ้องมองดวงตาของฝู้จื่อโม่ ด้วยสายตาที่เย็นชาของนาง ทำให้เชื่อว่าสิ่งที่นางพูดไม่มีสิ่งใดเป็นเท็จเลย
ทันใดนั้นเรือเกิดโคลงเคลงขึ้นมา กู้ชิวเหลิ่งถอยหลังไปอย่างไม่ทันตั้งตัว
ร่างของฝู้จื่อโม่ก็ยืนไม่มั่นคง แต่ดีที่ข้างกายมีตัวเรือให้ประคองเอาไว้ได้ ไม่เช่นนั้นเขาคงต้องล้มลงไปบนพื้นเรือด้วยสภาพที่อนาถน่าดู
อวี้ฉือจ้านมองไปรอบๆด้วยความระแวง กู้ชิวเหลิ่งขมวดคิ้วเบาๆ มองอวี้ฉือจ้านและพูดเสียงเย็นว่า “เห็นทีอิทธิพลของท่านเซ่อเจิ้งหวางจะยิ่งใหญ่มากกว่าที่ข้าคิดเอาไว้มาก จวินฉีเซิ่งถึงกับพากลุ่มองครักษ์สามกลุ่มมาจัดการกับท่าน”
อวี้ฉือจ้านก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเช่นกัน ร่างกายของเขาเคลื่อนไหวเร็วกว่าฝู้จื่อโม่ไปอยู่ข้างกายกู้ชิวเหลิ่ง
รับรู้ถึงพลังอันแข็งแกร่งสายหนึ่งที่ข้อมือ กู้ชิวเหลิ่งอยากจะผลักอวี้ฉือจ้านออกไป
แต่อวี้ฉือจ้านไม่ได้ให้โอกาสนี้แก่กู้ชิวเหลิ่ง แต่ได้หันไปเอ่ยกับฝู้จื่อโม่ที่อยู่ไม่ไกลว่า “กระโดดลงไป”
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นแผนการที่ฝู้จื่อโม่กับอวี้ฉือจ้านได้เตรียมไว้ตั้งแต่แรกแล้ว บนพื้นเรือปรากฏรูรั่วสี่เหลี่ยมผืนผ้าขึ้นมา ฝู้จื่อโม่หมุนตัวกระโดดลงไป ไม่ทันที่กู้ชิวเหลิ่งจะตั้งตัว อวี้ฉือจ้านได้ดึงตัวนางกระโดดลงไปในทะเลสาบที่น้ำเย็นเฉียบเสียแล้ว
ราวกับคมมีดบาดไปบนผิวหนัง เดิมทีกู้ชิวเหลิ่งก็สวมใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นอยู่แล้ว ความเย็นของน้ำได้ค่อยซึมเข้าสู่กระดูกของนาง
นางว่ายน้ำไม่เป็น ส่วนอวี้ฉือจ้านก็ดึงข้อมือของนางเอาไว้ ไม่มีทางให้นางได้ผลักไสเลย
ในขณะที่กู้ชิวเหลิ่งทนไม่ไหวต้องการจะหายใจนั้น ริมฝีปากก็รับรู้ได้ถึงความเย็นแต่นุ่มนวลที่ส่งผ่านมา
กู้ชิวเหลิ่งหรี่ตาลงเล็กน้อย ใช้ฝ่ามือตีไปที่หน้าอกของอวี้ฉือจ้าน หมุนตัวกระโดดขึ้นไปบนเรือ
และบนเรือขณะนี้ ได้มีศพนอนอยู่เกลื่อนกลาดไปหมด เหลือรอดอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น เห็นภาพนองเลือดเต็มไปหมด กู้ชิวเหลิ่งหายใจเข้าแค่สองเฮือก ก็รู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียนแล้ว
อวี้ฉือจ้านกับฝู้จื่อโม่ขึ้นมาบนเรือแล้ว ร่างกายเปียกปอนไปหมด แต่ทั้งสองสีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลย แสดงว่าทั้งสองว่ายน้ำเก่งมาก
แววตาของกู้ชิวเหลิ่งคมกริบ สายตาที่จ้องมองอวี้ฉือจ้านเย็นชากว่าก่อนหน้านี้มาก
“แผนการของท่านเซ่อเจิ้งหวางดีมาก องครักษ์ลับทางน้ำที่จวินฉีเซิ่งฝึกฝนอย่างลับๆ เมื่อเจอกับท่านแล้วดูอ่อนแอไปเลย”
ฝู้จื่อโม่ถอดเสื้อชั้นนอกออก บริเวณหน้าอกที่เดิมทีก็เปิดเผยให้เห็นอยู่แล้วก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น พูดว่า “ไหนดูซิว่า เป็นใคร……”
ในขณะที่ฝู้จื่อโม่กำลังจะเข้าใกล้องครักษ์ลับที่เหลือแค่คนเดียวเท่านั้น กู้ชิวเหลิ่งก็รีบเคลื่อนตัวไปอยู่ตรงหน้าฝู้จื่อโม่ ใช้แรงไม่น้อยทีเดียวในการจับข้อมือของฝู้จื่อโม่เอาไว้
ฝู้จื่อโม่อยากจะดึงออก แต่กลับพบว่าแรงของกู้ชิวเหลิ่งมีไม่น้อยเลยทีเดียว “เจ้าทำอะไร”
ในเวลานี้เอง องครักษ์ลับที่ยังมีชีวิตอยู่ จู่ๆสีหน้าก็ดำคล้ำขึ้นมา ล้มลงไปกับพื้นด้วยสีหน้าทุรนทุราย และไม่สามารถจำใบหน้าเดิมได้อีกแล้ว
“ถอยไปให้หมด”
กู้ชิวเหลิ่งรีบดึงมือของฝู้จื่อโม่ถอยหลังไปสองก้าวทันที พูดด้วยสีหน้านิ่งขรึมว่า”อย่าเข้าใกล้ศพนี้อย่างเด็ดขาด ใช้ไฟเผา ”
ฝู้จื่อโม่มองกู้ชิวเหลิ่งอย่างรู้สึกสงสัย กู้ชิวเหลิ่งได้เขาขวดดินเผาอันเล็กออกมาจากเอว เทสิ่งที่อยู่ในขวดลงบนศพ ทันใดนั้นบนศพก็มีหนอนสีขาวมากมายปรากฏขึ้น และกำลังคลานออกมาจากร่างของศพ