ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 33 หนอนกู่เหมียวเจียง
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 33 หนอนกู่เหมียวเจียง
ฝู้จื่อโม่สีหน้าซีดลง พูดว่า “นี่มันอะไร”
อวี้ฉือจ้านขมวดคิ้วขึ้นมาเบาๆ หยิบเอาผงสลายศพออกมาจากอกเสื้อโรยไปบนร่างของศพโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลย ทันใดนั้นศพก็กลายเป็นฟองอากาศ
สายตาที่กู้ชิวเหลิ่งมองไปยังอวี้ฉือจ้านมีความประหลาดใจเล็กน้อย ในนำเสียงแฝงแววเย็นชาและห่างเห็น “คิดไม่ถึงว่าเซ่อเจิ้งหวางจะมีของดีอย่างผงสลายศพด้วย นับเป็นการเปิดหูเปิดตาข้าจริงๆ ”
เมื่อวานเพิ่งจะได้เห็นยาถอนพิษของหมอเทวดาไป๋อู๋เฉิน วันนี้ก็ได้เห็นผงสลายศพของเซียนพิษเมิ่งจิ่ว กู้ชิวเหลิ่งไม่รู้จริงๆว่าควรจะชื่นชมที่ตนเองโชคดี หรือว่าโชคร้ายกันแน่
อวี้ฉือจ้านเก็บขวดยาไว้ในแขนเสื้อ ฝู้จื่อโม่ได้แย่งพูดขึ้นก่อนว่า “คิดไม่ถึงว่าหญิงสาวที่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนจะรู้จักยาพิษอย่างผงสลายศพด้วย คุณหนูรองอาศัยอยู่ในจวนโหว รู้จักของพวกนี้ได้อย่างไร เจ้าเป็นกู้ชิวเหลิ่งจริงหรือ”
“ถ้าไม่ใช่เช่นนั้นเล่า”
ชายชุดดำที่ยืนอยู่ข้างกายอวี้ฉือจ้านอยากจะคลุมเสื้อคลุมให้เขา อวี้ฉือจ้านโบกมือ ชายคนนั้นจึงเอาเสื้อคลุมมาคลุมให้กับกู้ชิวเหลิ่ง
ฝู้จื่อโม่โยนเสื้อยาวที่เปียกทิ้งไปอย่างไม่ไยดี เปลี่ยนเป็นชุดใหม่ มองดูอวี้ฉือจ้านที่ให้จีเฟิงคลุมเสื้อคลุมไว้บนร่างของกู้ชิวเหลิ่ง จึงผิวปากขึ้นมา “โอ้โฮ คุณหนูรองช่างมีวาสนาจริงๆ จ้านแต่ไหนแต่ไรไม่เคยอ่อนโยนต่อสตรีคนใด เห็นทีกับเจ้าจะเป็นข้อยกเว้น”
มือของจีเฟิงยังไม่ทันจะแตะต้องถูกหัวไหล่ของกู้ชิวเหลิ่ง กู้ชิวเหลิ่งก็สะบัดเสื้อคลุมออกเบาๆ พูดขึ้นว่า “น้ำใจของท่านเซ่อเจิ้งหวางข้าขอรับไว้ด้วยใจ แต่ข้าไม่เคยสวมเสื้อผ้าของคนแปลกหน้ามาก่อน ”
ฝู้จื่อโม่ยิ้มตาหยี “ไม่ยอมรับน้ำใจกู้ชิวเหลิ่ง เจ้าช่างไม่กลัวตายจริงๆ”
รอยยิ้มที่มีเสน่ห์อย่างร้ายกาจของฝู้จื่อโม่ยิ่งโค้งสูงมากขึ้น พูดว่า “ไม่เลว ข้าชอบ”
จีเฟิงยื่นอยู่กับที่ ไม่รู้ว่าควรจะคลุมเสื้อคลุมให้ใครดี
อวี้ฉือจ้านเอ่ยเสียงเย็นว่า “เผาซะ”
“ขอรับ”
จีเฟิงถอยไปอย่างรวดเร็ว บนเรือเหลือแค่พวกเขาสามคน
ฝู้จื่อโม่มองดูผงธุลีที่ถูกย่อยสลายอยู่บนพื้นเรือ พูดขึ้นว่า “คุณหนูรองควรจะอธิบายสักหน่อยใช่หรือไม่”
“ฝู้ซื่อจื่ออยากจะรู้เรื่องอะไรหรือ”
ฝู้จื่อโม่บอกว่า “ทุกคนต่างก็เป็นคนฉลาด ไม่ต้องอ้อมค้อมอะไรมาก เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าบนตัวของคนคนนี้มีพิษร้ายแรงอยู่”
กู้ชิวเหลิ่งยิ้มบางๆ “ข้าบอกไปแล้ว ไม่มีใครรู้จักจวินฉีเซิ่งดีเท่ากับข้า ฉะนั้นข้างกายเขามีใครอยู่ด้วย ใจเขากำลังคิดอะไร ข้ารู้หมด รวมไปถึงรู้ว่าบนตัวของคนคนนี้มีพิษร้ายแรงอยู่”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร จวินฉีเซิ่งอยู่ไกลถึงแคว้นฉี แม้ว่าจ้านกับข้าจะไม่สามารถรู้ได้ว่าข้างกายของเขามีองครักษ์ลับอยู่เท่าไหร่ เจ้า……”
กู้ชิวเหลิ่งตัดบทคำพูดของฝู้จื่อโม่ เอ่ยขึ้นว่า “นั่นมันเรื่องของข้า ฝู้ซื่อจื่อแค่เลือก ว่าจะเชื่อ หรือว่าไม่เชื่อ ที่เหลือล้วนไม่เกี่ยวกับท่าน ไม่ใช่หรือ”
ฝู้จื่อโม่มองกู้ชิวเหลิ่ง รู้สึกไม่สามารถจะหาคำพูดมาโต้ตอบนางได้ในชั่วขณะ
อวี้ฉือจ้านเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าบอกว่าการมาต้าเยียนครั้งนี้ของจวินฉีเซิ่ง ได้นำองครักษ์ลับมาด้วยสามกลุ่ม หมายความว่าอย่างไรกันแน่”
ใบหน้าของกู้ชิวเหลิ่งเย็นชาราวกับน้ำแข็ง พูดว่า “นั่นเป็นเพราะว่า เดิมทีข้าคิดว่าเขาพามาแค่กลุ่มองครักษ์ลับที่ชำนาญในการลอบสังหาร และอีกกลุ่มที่ชำนาญในเรื่องการป้องกันและล่าถอยเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าแม้แต่หน่วยกล้าตายที่ชำนาญการต่อสู้ในน้ำก็พามาด้วย สามารถทำให้เขาวางแผนเช่นนี้ได้ แสดงว่าเสน่ห์ของท่านเซ่อเจิ้งหวางนั้นมีไม่น้อยทีเดียว เขานั้นหวังจะกำจัดท่านให้ได้จึงจะรู้สึกมีความสุข”
สีหน้าของอวี้ฉือจ้านเปลี่ยนไปเล็กน้อย และพูดขึ้นว่า “ว่าต่อไป”
กู้ชิวเหลิ่งเก็บสีหน้าตนเอง พูดว่า ” ที่ข้ารู้ว่าบนตัวของคนเหล่านี้มีพิษร้ายแรงอยู่ ก็เพราะว่าเป็นนิสัยอย่างหนึ่งของจวินฉีเซิ่ง เขาทำอะไรก็ไม่เคยทิ้งต้นตอหรือจุดอ่อนที่อาจทำให้เกิดปัญหา ฉะนั้นองครักษ์ลับและหน่วยกล้าตายที่เขาฝึกฝนขึ้นมา ก่อนที่จะออกทำภารกิจต่างก็ต้องกินยาพิษชนิดหนึ่ง ถ้าหากภารกิจล้มเหลว พิษก็จะโจมตีหัวใจ ในเวลานี้ คนที่แตะต้องร่างกายของศพ ล้วนต้องตายกันหมด นี่เป็นพิษกู่ที่ร้ายแรงกว่าพิษเฮ่อติ่งหง”
สีหน้าของฝู้จื่อโม่ขรึมลงไปเล็กน้อย พูดว่า “ถึงว่า ถึงว่าข้าเห็นหนอนเหล่านี้แล้วรู้สึกคุ้นตามาก เป็นพิษกู่ของเหมียวเจียงหรือ”
กู้ชิวเหลิ่งพูดว่า “ถูกต้อง พิษกู่ชนิดนี้มาจากเหมียวเจียง ไม่ทราบว่าฝู้ซื่อจื่อเคยได้ยินเรื่องสาวงามอันดับหนึ่งของเหมียวเจียงหรือไม่ ก็คือลูกสาวของหัวหน้าเผ่าเหมียวเจียงชื่อหลัวซู่”
“เจ้าหมายถึงองค์หญิงหลัวซู่ ซึ่งเป็นองค์หญิงของเหมียวเจียงคนนั้นหรือ”
ฝู้จื่อโม่จะไม่รู้จักได้อย่างไร ว่ากันว่าองค์หญิงหลัวซู่แห่งเหมียวเจียงนั้นบอบบางอ่อนโยนราวกับดอกไม้ มีใบหน้าที่งดงามราวกับพระจันทร์ ได้ยินมาว่าไม่มีชายใดสามารถหนีพ้นดวงตาคู่นั้นขององค์หญิงหลัวซู่ได้ แต่นิสัยขององค์หญิงหลัวซู่นั้นชั่วร้ายมาก ราวกับอสรพิษ ต่อมาเป็นเพราะเหมียวเจียงได้กลายเป็นแคว้นบริวารของแคว้นฉี ฉะนั้นจึงได้แต่งงานกับจวินฉีเซิ่งซึ่งยังคงเป็นอานอ๋อง เป็นพระชายารอง นิสัยก็เปลี่ยนไปไม่น้อย
กู้ชิวเหลิ่งจะลืมองค์หญิงแห่งเหมียวเจียงคนนี้ได้อย่างไร ตอนนั้นนางแต่งงานกับจวินฉีเซิ่งได้สองปี จวินฉีเซิ่งก็แต่งนางสนมเข้ามา และสนมคนนั้นก็คือลูกสาวของหัวหน้าเผ่าเหมียวเจียงหลัวซู่
ครั้งแรกที่กู้ชิวเหลิ่งเห็นหน้าหลัวซู่ ก็รู้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา เพียงแต่นิสัยนั้นโหดเหี้ยมกว่าอยู่บ้าง แต่ว่าความคิดไม่ได้ลึกล้ำเท่ากับมู่หรงอี๋ ยังชอบอิจฉาริษยา แม้จะมีดวงตาที่มีเสน่ห์ และใบหน้าที่แทบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ก็ค่อยๆถูกจวินฉีเซิ่งเย็นชาห่างเหิน
เพราะนางรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าที่จวินฉีเซิ่งแต่งงานกับหลัวซู่ก็เพราะวิชาลับของเหมียวเจียง ฉะนั้นจึงไม่ได้ทุ่มเทใจให้มากนัก
ตอนนี้มาคิดดูแล้ว แต่งงานกับหลัวซู่ ครึ่งหนึ่งเป็นเพราะวิชาลับของเหมียวเจียง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็เป็นเพราะชื่อเสียงของหลัวซู่ซึ่งเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของเหมียวเจียง
จวินฉีเซิ่งเป็นสุภาพบุรุษจอมปลอม ผู้หญิงที่เขาเคยชื่นชอบล้วนมีความพิเศษ เพื่อเติมเต็มรูปลักษณ์ภายนอกของเขา เขาแต่งงานกับหลัวซู่ เพื่อให้ตนเองสามารถมีอำนาจ จึงแต่งงานกับนาง สุดท้ายก็แต่งงานกับมู่หรงอี๋ น่าจะเป็นเพราะว่าใบหน้าที่งดงามยิ่งกว่าหลัวซู่กระมัง มู่หรงอี๋มีใบหน้าที่งดงามไร้ที่ติ มีรูปร่างที่อรชรอ้อนแอ้น มากพอที่จะสามารถดึงดูดผู้ชายปกติคนไหนก็ได้บนโลกใบนี้ แม้แต่มู่หรงอี๋ก็ไม่มีข้อยกเว้น
รับรู้ถึงไอเย็นที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นรอบๆตัวกู้ชิวเหลิ่ง อวี้ฉือจ้านก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เงื่อนไขที่คุณหนูรองเสนอมาเมื่อครู่ ข้าอนุญาต”
กู้ชิวเหลิ่งดึงสติตัวเองกลับมาจากห้วงความคิด พูดว่า “วันนี้ค่ำแล้ว ข้าออกมาข้างนอกนานพอแล้ว กว่าจะถึงงานเลี้ยงของแคว้นยังมีเวลาอีกมาก สิ่งที่ข้าพูดในวันนี้ คงเพียงพอที่จะทำให้ท่านเซ่อเจิ้งหวางกับฝู้ซื่อจื่อกำหนดแผนการที่รัดกุมไร้ข้อผิดพลาดได้ หวังว่าทั้งสองท่านจะคิดเสียว่าข้าไม่เคยมาปรากฏตัวบนเรือลำนี้มาก่อน เจอกันคราวหน้า ต่างก็เป็นคนแปลกหน้าต่อกัน”
อวี้ฉือจ้านเอ่ยเสียงเรียบเฉยว่า “ไปเตรียมชุดให้คุณหนูรอง”
ชุดของกู้ชิวเหลิ่งเดิมทีก็บางเบาอยู่แล้ว เมื่อถูกแช่น้ำจนเปียกก็ยิ่งแนบแน่นไปกับผิว เผยให้เห็นผิวขาวนวลอยู่รำไร รูปร่างถูกเผยให้เห็นอย่างชัดเจนมาก เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความเย้ายวน
ฝู้จื่อโม่เกรงว่ากู้ชิวเหลิ่งจะปฏิเสธ จึงพูดว่า “แม้ว่าวันหน้าเมื่อพบกันจะกลายเป็นคนแปลกหน้า ข้าก็ไม่อาจทนเห็นคุณหนูรองเหยียบย่ำตนเองเช่นนี้ ข้างนอกลมกำลังพัดแรง คุณหนูรองออกไปเช่นนี้ เกรงว่า……”
ยังไม่ทันที่ฝู้จื่อโม่จะพูดจบ กู้ชิวเหลิ่งก็ได้ปลดเชือกผูกกระโปรงลงมาแล้ว เหลือแค่เสื้อชั้นในตัวเดียว ฝู้จื่อโม่เบิกตากว้าง มองกู้ชิวเหลิ่งอย่างไม่เชื่อสายตา