ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 35 ความสงสัยของอวี้ฉือจ้าน
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 35 ความสงสัยของอวี้ฉือจ้าน
อวี้ฉือจ้านโยนเสื้อผ้าไว้ในมือของกู้ชิวเหลิ่ง สายตาไร้แววไม่พอใจและไอสังหารแล้ว ที่ปรากฏแทนที่คือใบหน้าที่เรียบเฉยและสีหน้าคลุมเครือ
กู้ชิวเหลิ่งรับเสื้อผ้ามา วางไว้ข้างๆโดยไม่มองเลยแม้แต่แวบเดียว พูดขึ้นว่า “ของก็ส่งคืนแล้ว เซ่อเจิ้งหวางยังจะดูว่าข้าอาบน้ำอย่างไรอีกหรือ”
“วันนี้สิ่งที่เจ้าพูดบนเรือ ช่างน่าตกใจจริงๆ แต่หญิงสาวอายุแค่สิบสี่ปี ทำไมจึงรู้ถึงความคิดของฮ่องเต้แห่งแคว้นฉีได้ แม้ว่าเจ้าจะใช้วาจาอันชาญฉลาดอุดปากของฝู้จื่อโม่ไว้ได้ แต่สำหรับปัญหานี้ เจ้ายังไม่ได้ให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลแก่ข้า”
อวี้ฉือจ้านไม่เหมือนกำลังคุยอยู่กับสาวน้อย แต่เหมือนกำลังอธิบายเกี่ยวกับข้อเท็จจริง รอให้อีกฝ่ายตอบคำถาม ไม่แฝงความรู้สึกใดๆ แต่ก็ไม่สามารถปิดบังน้ำเสียงที่แฝงไอสังหารของเขาไว้ได้
ไอสังหารของอวี้ฉือจ้านนั้นมาพร้อมกับตอนที่กำเนิดมา แม้อยากจะซ่อนเร้น ก็ซ่อนไม่มิด แม้ว่าตอนนี้เขากำลังคุยกับกู้ชิวเหลิ่งด้วยจิตใจที่สงบเยือกเย็นก็ตาม แต่ถ้าหากกู้ชิวเหลิ่งเผยให้เห็นถึงช่องโหว่หรือข้อพิรุธใดๆออกมาก็ตาม อวี้ฉือจ้านก็จะฟันคอของกู้ชิวเหลิ่งโดยไม่ปรานีเลยแม้แต่น้อย
“ข้าเคยบอกแล้ว นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของข้า สิ่งที่ข้ายินดีเล่าให้ท่านฟัง กับสิ่งที่ข้าไม่ยินดีจะพูดมันเป็นคนละเรื่องกัน เซ่อเจิ้งหวางคงไม่ใช่คนที่ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นกระมัง”
แววตาของอวี้ฉือจ้านเปลี่ยนไปเล็กน้อย กู้ชิวเหลิ่งรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายไม่มีกลิ่นอายแห่งเจตนาดีหลงเหลือแล้ว
ทันใดนั้นจูเอ๋อร์ที่อยู่หน้าประตูก็เปิดประตูห้องเข้ามา พูดว่า “คุณหนู บ่าวเผาเสื้อผ้าทิ้งหมดแล้ว ท่าน……”
จูเอ๋อร์เห็นว่าตรงฉากกั้นนั้นมีเงาร่างของคนสองคน ตกใจจนต้องหยุดพูด แต่วินาทีต่อมา บนฉากกั้นเหลือเงาร่างของกู้ชิวเหลิ่งเพียงคนเดียวเท่านั้น
จูเอ๋อร์ขยี้ตาตนเอง มองฉากตรงหน้าอย่างคาดไม่ถึง กู้ชิวเหลิ่งได้เดินออกมาจากอ่างอาบน้ำแล้ว บนร่างยังมีหยดน้ำที่ยังไม่แห้งเกาะอยู่
ที่ไม่เหมือนเดิมคือ บนร่างของกู้ชิวเหลิ่งมีเสื้อคลุมสีดำประกายแดงคลุมอยู่หนึ่งตัว ถูกแช่ในน้ำจนเปียกไปครึ่งหนึ่ง
จูเอ๋อร์ถามขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “คุณหนู เสื้อบนร่างท่านไปเอามาจากที่ใด”
กู้ชิวเหลิ่งถอดเสื้อคลุมบนร่างออกมา เรือนร่างที่เปลือยเปล่ายืนอยู่ใต้แสงเทียน ท่วงท่างดงามอย่างที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ นางโยนเสื้อทิ้งไปบนพื้น พูดเสียงเรียบเฉยว่า “เผาซะ”
จูเอ๋อร์พยักหน้ารับด้วยความนิ่งอึ้งเล็กน้อย มือเพิ่งจะแตะต้องถูกเสื้อคลุมที่อยู่บนพื้น กู้ชิวเหลิ่งก็เปลี่ยนคำพูดเสียงเย็นว่า “ซักให้สะอาดแล้วตากให้แห้งดีกว่า”
จูเอ๋อร์พูดอย่างงงงวยว่า “บ่าวจะไปทำเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
แววตาของกู้ชิวเหลิ่งเย็นชาลงเล็กน้อย เมื่อครู่ก่อนที่อวี้ฉือจ้านจะจากไป เหมือนพูดอะไรบางอย่าง เพียงแต่นางถูกเสียงของจูเอ๋อร์ดึงดูดความสนใจไป ไม่ทันเห็นชัดเจนว่าปากของอวี้ฉือจ้านกำลังพูดอะไร
เป็นเวลาค่ำมากแล้ว ในขณะที่จูเอ๋อร์กำลังยกกับข้าวสองจานที่กำลังร้อนกรุ่นอยู่ กู้ชิวเหลิ่งได้นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงแล้ว ในฝันนางไม่มีมู่หรงอี๋ที่สีหน้าอำมหิต ไม่มีพ่อกับพี่ชายที่ถูกตัดศีรษะ ยิ่งไม่มีจวินฉีเซิ่ง นี่เป็นการนอนหลับที่ดีของนางที่หาได้ยากยิ่ง
อวี้ฉือจ้านได้กลับไปถึงจวนเซ่อเจิ้งหวางแล้ว ฝู้จื่อโม่กำลังนอนเล่นอย่างสบายใจอยู่บนตั่ง กินองุ่นม่วงที่ได้รับบรรณาการจากหนานเจียง เผยให้เห็นหน้าอกกึ่งหนึ่ง เป็นความเกียจคร้านที่ทรงเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
“เจ้าเชื่อสิ่งที่เด็กสาวคนนั้นพูดจริงหรือ หญิงสาวอายุสิบสี่ที่ยังไม่แต่งงาน ยังเป็นลูกของอนุ ข้าได้ให้คนไปสืบแล้ว สิบสี่ปีมานี้นางแทบไม่เคยก้าวเท้าออกจากเรือนเลย กู้หนานเฉิงก็ไม่ได้สนใจไยดีในตัวลูกสาวเมียรองคนนี้เลยสักนิด นางจะรู้เรื่องของจวินฉีเซิ่งได้อย่างไร ตามความคิดข้า นางก็แค่อยากจะยกระดับฐานะของตนเองให้สูงขึ้น เพราะตอนนี้นางก็ขายไม่ออกอยู่แล้ว”
อวี้ฉือจ้านนั่งอยู่กลางโถงใหญ่ มือลูบมีดสั้นที่เหน็บอยู่ที่เอว พูดว่า “เจ้าเอาจริงหรือ”
ฝู้จื่อโม่ส่งองุ่นเข้าไปในปากของตนเอง พูดว่า “ไม่ ข้าล้อเล่น”
ดวงตาของอวี้ฉือจ้านแฝงความรู้สึกสนุกอยู่ลึกๆ”หมายความว่าอย่างไร”
“ถ้าพูดตามหลักทั่วไปแล้ว เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน แต่กู้ชิวเหลิ่งสามารถบอกถึงลักษณะพิเศษขององครักษ์ลับที่อยู่ข้างกายของจวินฉีเซิ่งได้อย่างละเอียด และยังสามารถคาดเดาจิตใจของจวินฉีเซิ่งได้อย่างชัดเจน แม้แต่พวกเราที่ยังไม่สามารถสืบหาได้ชัดเจนว่าคนที่อยู่ข้างกายจวินฉีเซิ่งนั้นมีใครบ้าง แต่หญิงสาวคนนี้กลับรู้ทุกอย่าง นี่หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่านางไม่ได้พูดโกหกเลย และหญิงสาวคนนี้มีแผนการที่ล้ำลึกมาก เก่งกาจในการพูดโน้มน้าวจิตใจ ดูเจ้าแผนการมากกว่าข้าเสียอีก มีความเป็นไปได้เพียงสองอย่างเท่านั้น ”
“ลองว่ามา ว่ามีความเป็นไปได้อะไรบ้าง”
ฝู้จื่อโม่พูดด้วยเสียงหนักแน่นว่า “หนึ่ง นางเป็นสายลับ สอง นางไม่ใช่กู้ชิวเหลิ่ง”
มือข้างหนึ่งของอวี้ฉือจ้านเคาะโต๊ะเบาๆ พลางพูดขึ้นว่า “ข้าได้ให้จีเฟิงสืบแล้ว ไม่ช้าก็คงได้คำตอบ”
ฝู้จื่อโม่คำเสียงในลำคอ พูดว่า “แม้ว่าเครือข่ายสายสืบข้างกายข้าจะสู้เจ้าไม่ได้ อย่างน้อยเจ้าก็ควรเชื่อข้า ข้ายังสืบอะไรมากกว่านี้ไม่ได้เลย ถึงแม้ว่าจีเฟิงจะสามารถแทรกซึมไปได้ทุกที่ ก็ไม่มีทางสืบได้มากกว่านี้”
ว่าแล้ว ฝู้จื่อโม่ก็ส่งองุ่นเม็ดสุดท้ายเข้าไปในปากของตนเอง
คืนนั้น จีเฟิงได้สืบหาข่าวที่เกี่ยวข้องกับกู้ชิวเหลิ่งทั้งหมดจนเสร็จสิ้นแล้ว
และคำตอบที่ได้คือ ไม่มีอะไรผิดปกติ
ที่ใช้คำว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เป็นเพราะว่าสถานะของกู้ชิวเหลิ่งนั้นแทบไม่มีอะไรให้ต้องสงสัยเลย
หลังกระดาษที่ส่งมายังแนบภาพวาดของกู้ชิวเหลิ่งตอนอายุสิบสามปีมาด้วย แม้ว่าจะปล่อยผมสยายลงมา บนใบหน้ามีการทาแป้งไร้คุณภาพจนหน้าและขาวโพลน แต่ว่าไม่ยากที่มองออกว่าดวงตาคู่นั้น เหมือนกับกู้ชิวเหลิ่งไม่ผิดเพี้ยน
ฝู้จื่อโม่เขยิบมาตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะทำเสียงจิ๊จ๊ะในปาก “จุ๊ๆ เป็นหญิงสาวที่สวยจริงๆ ทำไมเมื่อก่อนต้องทำให้ตนเองอยู่ในสารรูปเช่นนี้ด้วย ถ้าหากมีรูปร่างหน้าตาสวยสดงดงามเหมือนตอนนี้ มีอย่างหรืออวี่เหวินหวายจะไม่เอา แม้จะเป็นแค่ลูกสาวของเมียรอง จิ้งจอกเฒ่าอย่างกู้หนานเฉิงก็คงจะรักไม่น้อยเลยทีเดียว”
เหมือนอวี้ฉือจ้านกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง มองดูภาพวาดนั้นอย่างเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังพิจารณาที่มาของกู้ชิวเหลิ่ง
ฝู้จื่อโม่ตบที่บ่าของอวี้ฉือจ้าน พูดว่า “ก็แค่มีภาพวาดมากกว่าข้าหนึ่งชิ้น อย่างอื่นก็ไม่เห็นมีอะไร”
พูดจบ ฝู้จื่อโม่หาวติดกันสองครั้ง ถอนหายใจอย่างรู้สึกไร้ความหมาย แล้วกลับไปนอนในรังของตนเอง
“กู้ชิวเหลิ่ง……”
อวี้ฉือจ้านพึมพำเรียกชื่อนี้ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าน่าฟังอย่างคาดไม่ถึง
วันรุ่งขึ้นเมื่อกู้ชิวเหลิ่งตื่นขึ้นมา ท้องฟ้าข้างนอกสว่างสดใสมากแล้ว จูเอ๋อร์กำลังยกอาหารเช้ามา พูดว่า “คุณหนู รีบล้างหน้าล้างตาก่อนเจ้าค่ะ วันนี้คุณชายใหญ่จะกลับมาแล้ว”
“คุณชายใหญ่”
กู้ชิวเหลิ่งจำได้ คุณชายใหญ่คนนี้ตั้งแต่เด็กเคยกลับบ้านเพียงไม่กี่ครั้ง ใช้เวลาอยู่ในจวนน้อยจนแทบจะนับนิ้วได้ เป็นทายาทเพียงคนเดียวของจวนโหว กู้หนานเฉิงได้ส่งกู้ชิวถางไปเป็นทหารในสนามรบตั้งแต่เด็ก ในความทรงจำของกู้ชิวเหลิ่ง สำหรับลูกชายของฮูหยินใหญ่คนนี้รู้สึกแปลกหน้ามาก แม้แต่หน้าตาก็จำไม่ได้
จูเอ๋อร์บอกว่า “ก็บุตรภรรยาเอกเพียงหนึ่งเดียวในจวนเราไงเจ้าคะ ดีกับคุณหนูมาก อีกทั้งยังมีหน้าตาหล่อเหลา ฮ่องเต้ยังเคยชมคุณชายของพวกเราว่าเป็นแม่ทัพผู้มั่นคงและซื่อตรงเชียวนะเจ้าคะ”
กู้ชิวเหลิ่งเพิ่งตื่น สมองยังคิดไม่ทัน รู้สึกวิงเวียนอยู่ชั่วขณะ พูดด้วยสีหน้าห่อเหี่ยวว่า “ไปเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่มา วันนี้ท่านพ่อต้องเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับท่านพี่แน่ ถึงตอนนั้นคำสั่งกักบริเวณของฮูหยินใหญ่กับกู้ชิวเซียงก็จะสิ้นสุดไปด้วย”