ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 41 เบื้องลึก
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 41 เบื้องลึก
เมื่อถึงช่วงเย็น คนในเมืองหลวงไม่รู้เป็นอะไรไป ต่างก็กำลังพูดคุยถึงเรื่องเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือเรื่องที่เกี่ยวกับคุณหนูรองของตระกูลกู้ที่ได้รับพระมหากรุณาจากฮ่องเต้ ไม่เพียงแต่สามารถเลือกการแต่งงานได้เองอย่างอิสระ ยังถูกฮ่องเต้เชิญไปร่วมงานเลี้ยงเป็นการพิเศษอีกด้วย ต้องมีอะไรอยู่เบื้องลึกแน่ๆ
ไม่รู้ว่าเป็นข่าวคราวที่แพร่ออกไปจากที่ใด บอกว่าฮ่องเต้มีความคิดที่จะแต่งตั้งกู้ชิวเหลิ่งเป็นจวิ้นจู่ เพราะตั้งแต่สมัยโบราณจนกระทั่งตอนนี้ หญิงสาวที่สามารถเลือกการแต่งงานได้เองนั้นจำเป็นต้องมีสถานะสูงส่งมาก แม้จะเป็นถึงองค์หญิงในรัชสมัยนั้นก็ไม่แน่ว่าจะมีอภิสิทธิ์เช่นนี้ แต่กู้ชิวเหลิ่งมีฐานะเป็นแค่บุตรีของอนุคนหนึ่ง ถึงกับสามารถถอนหมั้นก่อน จากนั้นก็มีอภิสิทธิ์เช่นนี้ ถ้าหากฮ่องเต้ไม่ได้มีความคิดที่จะแต่งตั้งกู้ชิวเหลิ่งเป็นจวิ้นจู่ พูดไปใครจะเชื่อ
ตอนที่จูเอ๋อร์นำข่าวนี้มาเล่าให้กู้ชิวเหลิ่งฟัง กู้ชิวเหลิ่งได้แต่ยิ้มเรียบๆ อวี้ฉือจ้านคนนี้ทำงานได้เฉียบขาดจริงๆ เดิมทีนางแค่ต้องการจะไปร่วมงานเลี้ยงของแคว้นเท่านั้น แต่อวี้ฉือจ้านกลับพายเรือตามน้ำปล่อยข่าวลือออกไปทั่วเมืองหลวง
“ตอนนี้ ฮูหยินใหญ่กับกู้ชิวเซียงคงจะร้อนใจน่าดูแล้วกระมัง”
กู้ชิวเหลิ่งพูดไม่ผิด เมื่อข่าวนี้รู้ไปถึงหูของกู้ชิวเซียงกับฮูหยินใหญ่ แม้แต่ฮูหยินใหญ่ก็นั่งไม่ติดที่
กู้ชิวเซียงสวมชุดกระโปรงยาวสีฟ้าที่เนื้อผ้าบางเบา แนบสนิทกับหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลง ใบหน้าเห็นเค้าลางของความโมโห แต่ที่มีมากกว่าคือความน้อยใจและร้อนใจ
“ทำไมจึงได้มีข่าวลือเช่นนี้ กู้ชิวเหลิ่งนางเป็นกระสอบทราบรองรับอารมณ์มาตั้งหลายปี ทำไมจู่ๆจึงมีคนบอกว่านางจะถูกแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่ คนเหล่านี้มีตากันบ้างหรือไม่”
ฮูหยินใหญ่ตบที่หลังมือของกู้ชิวเซียงเบาๆ พูดว่า “อย่าร้อนใจไปเลย นี่เป็นเพียงเรื่องภายในที่คนภายนอกไม่รู้ เป็นข่าวลือที่พูดกันไปเช่นนั้นเอง กู้ชิวเหลิ่งนางก็เป็นแค่บุตรีของอนุที่ไม่ได้รับความรักความเอาใจใส่คนหนึ่ง ยังยกเลิกการแต่งงานกับท่านอ๋องหก เรื่องนี้ทำให้ราชวงศ์เสียหน้ามาก ฮ่องเต้จะแต่งตั้งนางเป็นจวิ้นจู่ได้อย่างไร”
กู้ชิวเซียงเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “แล้วถ้าหากเป็นเรื่องจริงเล่า……เช่นนั้นวันหน้าหากข้าพบนาง ก็ต้องคำนับนางอย่างนั้นหรือ เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด ”
สีหน้าของฮูหยินใหญ่ไม่พอใจมากพูดว่า “ก็แค่บุตรีของอนุ ไม่ว่าข้างนอกจะว่าอย่างไร ฐานะของนางก็ต่ำต้อยอยู่ดี เจ้าเป็นลูกสาวคนโตของจวนโหว เป็นสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ไม่จำเป็นต้องใส่ใจด้วยซ้ำ”
“ท่านแม่ ท่านแม่ต้องคิดหาวิธีนะเจ้าคะ อย่าให้กู้ชิวเหลิ่งไปเข้าร่วมงานเลี้ยงของแคว้นอย่างเด็ดขาด”
ดวงตาของฮูหยินใหญ่มีแววอำมหิตวาบผ่าน “กู้ชิวเหลิ่งตอนนี้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมาก เมื่อครู่ตอนอยู่ที่ห้องโถง นางใช้ชื่อของเซียวอวิ๋นเซิงกับฮ่องเต้มาขู่ข้า ทำให้ลงมือกับนางไม่ได้เป็นการชั่วคราว งานเลี้ยงของแคว้นเดิมทีจัดขึ้นเพื่อหาชายาให้กับเหล่าลูกหลานของราชวงศ์ เจ้าลองคิดดู กู้ชิวเหลิ่งร่ายรำก็ไม่เป็น เล่นดนตรีร้องเพลงก็ไม่ได้ ก็แค่แจกันที่ใช้ประดับงานเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องกลัวเลย ถึงตอนนั้น ……ให้ลูกผู้พี่ของเจ้าจัดการ ทุกอย่างก็เรียบร้อย ”
“ลูกผู้พี่ ท่านหมายถึงพี่ฉิน ลูกชายของท่านลุงใหญ่คนนั้นน่ะหรือ”
ฮูหยินใหญ่พยักหน้า รอยยิ้มบนใบหน้าราวกับแพร่กระจายเชื้อไปยังกู้ชิวเซียงด้วย รอยยิ้มของกู้ชิวเซียงเข้มข้นขึ้น พูดว่า “ความคิดของท่านแม่ยาวไกลนัก ลูกเข้าใจแล้ว”
ฉินจง เป็นลูกชายสุดที่รักของตระกูลฉิน ไม่เพียงแต่เป็นบุตรเมียหลวง ยังเป็นลูกชายคนโตของเจ้าใหญ่แห่งตระกูลฉิน ตอนนี้อายุยี่สิบสามปีแล้ว แม้ว่าอายุจะไม่มาก แต่ก็มีภรรยาและอนุครบครันแล้ว
ทุกครั้งที่กู้ชิวเซียงเห็นพี่ชายของตระกูลฉินคนนี้ ก็รู้สึกรังเกียจอยู่ในใจลึกๆ
ถ้าหากคนเช่นนี้เห็นหน้าตาของกู้ชิวเหลิ่ง จะเกิดความคิดอะไรขึ้นในใจ
กู้ชิวเซียงแทบจะอดใจรอดูความอเนจอนาถของ กู้ชิวเหลิ่งไม่ไหว แต่งงานกับผู้ชายที่มีเมียมีอนุครบแล้ว และมองหญิงสาวเป็นเพียงของเล่นเท่านั้น ความรู้สึกนั้นคงจะทรมานน่าดู
และการได้เห็นกู้ชิวเหลิ่งทุกข์ทรมาน นางก็ยิ่งรู้สึกสบายใจ
กู้ชิวเหลิ่งหมอบอยู่ข้างหน้าต่าง มองดูภาพในลานบ้าน พูดกับจูเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆว่า “ผู้หญิงที่อยู่ข้างนอกข้าไม่ไว้ใจ แค่อยากจะหาผู้หญิงคนหนึ่งมอบให้กับกู้หนานเฉิง คงต้องพยายามไม่น้อยเลยทีเดียว ”
จูเอ๋อร์บอกว่า “ทำไมคุณหนูจึงอยากจะหาผู้หญิงให้นายท่านเล่าเจ้าคะ มีอย่างที่ไหนกันที่ลูกสาวจะหาอี๋เหนียงให้กับบิดาของตนเอง”
กู้ชิวเหลิ่งพูดเสียงเรียบว่า “ใจคนยากจะหยั่งถึง ในจวนโหวที่ใหญ่โตแห่งนี้ ความสัมพันธ์ในครอบครัวไม่ควรค่าแก่การพูดถึง กู้ชิวเซียงได้รับความชมชอบจากกู้หนานเฉิงมาตั้งหลายปี แต่เจ้าดูสิก่อนหน้านี้ แค่เรื่องภาพวาดที่มีช่องโหว่เยอะขนาดนี้ชิ้นเดียวเท่านั้น เขาถึงกับลงโทษกู้ชิวเซียงและฮูหยินใหญ่ได้ เห็นได้ชัดว่าคนคนนี้ใจดำ ฉะนั้นถ้าจะควบคุมผู้ชายคนหนึ่ง การใช้สายสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นวิธีที่โง่ที่สุด วิธีที่ง่ายที่สุด ก็คือการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในมือทั้งหมดมาดักเขาเอาไว้
จูเอ๋อร์เหมือนจะเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ กู้ชิวเหลิ่งเหมือนกำลังคุยกับตนเอง “เมียที่คอยกรอกหูสามีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จึงจะเป็นวิธีการที่ได้ผลที่สุด หึ……สาวงาม? ”
สาวงามที่สุดในใต้หล้านี้ น่าจะไม่ใช่มู่หรงอี๋แล้วกระมัง
มู่หรงอี๋ที่อายุยี่สิบห้าปี กับสาวน้อยอายุสิบห้าปี ใครกันแน่ที่จะถูกใจมู่หรงอี๋มากกว่ากัน
ก็เหมือนฮูหยินใหญ่ที่อายุยี่สิบปีแล้ว เมื่อเทียบกับหญิงสาวอายุยี่สิบ ใครกันแน่จะได้รับความชื่นชอบจากกู้หนานเฉิงมากกว่ากัน ล้วนเป็นเหตุผลเดียวกัน
ไม่มีผู้ชายปกติคนใดที่จะปฏิเสธหญิงงามที่โผเข้ามาหาอ้อมกอดของตนเอง เหมือนตอนนั้นที่มู่หรงอี๋แย่งชิงหัวใจของจวินฉีเซิ่งไปได้อย่างง่ายดาย
ท้องฟ้าค่อยๆหม่นแสงลงแล้ว ชานเมืองหลวงมีรถม้าธรรมดาคันหนึ่งที่ไม่สะดุดตาข้างในมีเสียงอันเร่าร้อนดังออกมา ภายนอกมีชายหนุ่มที่แต่งกายเรียบร้อยยืนอยู่หลายคน ในมือถือดาบไว้ด้วย แสดงว่าคนที่อยู่ในรถม้ามีสถานะไม่ธรรมดา
จวินฉีเซิ่งเผยให้เห็นหน้าอกเปล่าเปลือย บนหน้าอกมีหยาดเหงื่อเกาะอยู่เต็มไปหมด ส่วนหญิงสาวที่อยู่ใต้ร่างเขานั้นไร้เสื้อผ้าอาภรณ์ สองแก้มแดงก่ำจ้องมองจวินฉีเซิ่ง นอนอยู่ในอ้อมอกของจวินฉีเซิ่งด้วยสีหน้ามีความสุข น้ำเสียงอ่อนหวานเป็นอย่างยิ่ง “ถ้าหากกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงรู้ว่าฝ่าบาทแอบพาหม่อมฉันมาต้าเยียนด้วย เกรงว่าจะไม่พอใจ หม่อมฉันกลัวจริงๆ ถ้าหาก……”
จวินฉีเซิ่งดึงคอเสื้อ น้ำเสียงเต็มไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดใจ “กลัวอะไร เจ้าเป็นชายาของข้า นางไม่ใช่ฮองเฮาเสียหน่อย ทำไมเจ้าต้องกลัวด้วย”
หยินซวงซวงเอ่ยอย่างโมโหว่า “กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของแคว้นฉี หม่อมฉันอ่อนด้อยมาก จะแย่งชิงความรักกับกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงได้อย่างไร อีกทั้งกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงก็มีฐานะสูงส่ง หม่อมฉันไม่กล้าล่วงเกินจริงๆ”
จวินฉีเซิ่งลูบเส้นผมที่ข้างหูของหยินซวงซวงเบาๆ เข้าครอบครองปากที่ดูน่ารักนั้น และพูดว่า “ใครบอกว่านางเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของแคว้นฉี ข้าคิดว่า ซวงซวงต่างหากที่เป็นหญิงงามที่สุดในโลกนี้”
ปากของหยินซวงซวงส่งเสียงครางเบาๆออกมา จวินฉีเซิ่งได้ขึ้นคร่อมบนร่างนางแล้ว
ในรถม้ามีเสียงร้อนแรงดังขึ้นอีกหนึ่งระลอก ส่วนคนที่อยู่รอบรถม้าราวกับไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นภายในรถม้า
ในเวลาเดียวกัน ที่จวนเซ่อเจิ้งหวางเต็มไปด้วยความเงียบงัน
ฝู้จื่อโม่นั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน พูดว่า “จวินฉีเซิ่งได้ค้างอยู่ที่นอกเมืองหลวงมาหลายวันแล้ว แต่ไม่ยอมเข้ามาในเมืองหลวงเสียที สายสืบของเรามารายงานว่า จวินฉีเซิ่งกำลังวางแผนอย่างลับๆว่าจะลงมือกับเจ้าในลานล่าสัตว์”
อวี้ฉือจ้านวางถ้วยชาในมือลง น้ำเสียงไร้ซึ่งคลื่นลมใดๆ “อยากจะพูดอะไรก็พูดมา อย่าเอาแต่อมพะนำอยู่เลย”
ฝู้จื่อโม่ลุกขึ้นยืน พูดว่า “เจ้าไม่รู้สึกว่ากู้ชิวเหลิ่งเหมือนเทพหรอกหรือ ก่อนหน้านี้ข้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ว่าวันนี้ตอนที่ได้ยินสายสืบของเรามารายงาน นี่มันเป็นการยืนยันคำพูดของกู้ชิวเหลิ่งชัดๆ ข้าสงสัยจริงๆว่านางจะเป็นคนที่จวินฉีเซิ่งจงใจส่งมาปั่นหัวพวกเรา”