ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 53 จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 53 จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย
พอถึงตอนเที่ยง คือช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดในเมืองหลวง ชาวบ้านต่างก็ชอบรวมตัวกันดื่มชาจับเลี้ยง วิพากษ์วิจารณ์ข่าวลือตระกูลที่ร่ำรวยในเมืองหลวง และวันนี้ไม่รู้ว่าข่าวลือถูกแพร่ออกมาจากที่ไหน หญิงงามอันดับแรกแห่งเมืองหลวงกู้ชิวเซียงกับลูกผู้พี่ของนางฉินจงคุณชายใหญ่ตระกูลฉินแอบลักลอบคบหากัน เมื่อคืนถูกอี๋เหนียงสี่ในจวนพบเข้า จากนั้นอี๋เหนียงสี่ก็ตายกะทันหัน ทันทีที่ข่าวนี้ถูกแพร่ออกมา บรรดาชาวบ้านก็เริ่มพากันวิพากษ์วิจารณ์กันใหญ่
คนส่วนใหญ่ต่างก็พากันเดาว่ากู้ชิวเซียงคนนี้ไม่สามารถเอื้อมไปถึงท่านอ๋องรองได้ แล้วก็ถูกท่านอ๋องหกค่อยๆทำตัวเหินห่างเพราะข่าวอื้อฉาวก่อนหน้านี้ ดังนั้นเลยไปอยู่กับคุณชายใหญ่ของตระกูลฉิน
ยังมีคนบอกว่า ตระกูลฉินเป็นตระกูลใหญ่ แต่มีลูกหลานไม่เยอะ มีเพียงฉินจงคนเดียวที่เป็นบุตรสายภรรยาเอก ดังนั้นตระกูลฉินจึงรักและหวงแหนดุจอัญมณีล้ำค่า มีใจที่จะไปถึงจวนโหวกู้เพื่อสู่ขอหญิงงามที่งามที่สุดในเมืองหลวงให้แต่งงานกับลูกชายของตนเองนานแล้ว ไปๆมาๆ กู้ชิวเซียงกับฉินจงทั้งสองคนก็เกิดความสัมพันธ์กันขึ้นมา
ที่เลวร้ายกว่านั้น คือลือกันว่ากู้ชิวเซียงกับฉินจงรู้จักกันตั้งแต่เด็ก แอบนัดพบกันไม่ใช่แค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากที่ถูกอี๋เหนียงสี่พบเข้า ฉินจงกับกู้ชิวเซียงก็ร่วมมือกันฆ่าอี๋เหนียงสี่ผู้น่าสงสารคนนั้นจนตายไป
สรุปแล้ว ในสายตาของชาวบ้านในเมืองหลวง ภาพลักษณ์ของกู้ชิวเซียงแทบจะลดลงอย่างฮวบฮาบจนน่าใจหาย กลายเป็นผู้หญิงที่ใครก็สามารถเป็นสามีนางได้ ก่อนหน้านี้ผู้ชายมากมายต่างก็ยกย่องเอาไว้บนฟ้า หลังจากผ่านข่าวลือเช่นนี้แล้ว พวกเขาต่างก็พากันสร้างมโนภาพต่อคุณหนูใหญ่ตระกูลกู้คนนี้
สืบจากเหตุผล ก็เพราะว่าฉินจงเป็นตัวแทนของการหมกมุ่นเรื่องคาวโลกีย์ ไม่มีใครจะเชื่อว่าฉินจงกับกู้ชิวเซียงคบหากันมาหลายปี ยังจะมีความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง
ไม่รู้ว่าทำไม ข่าวนี้แพร่จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย ถึงกับแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงในเวลาเพียงครึ่งวันด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด พอถึงช่วงบ่าย ก็แทบจะไม่มีคนไม่รู้ไม่มีคนไม่เคยได้ยินมาก่อนแล้ว
กู้ชิวเหลิ่งนั่งอยู่บนทางเดิน ขมวดคิ้วเล็กน้อย: “ข้าให้เจ้าไปแพร่ข่าว เจ้าไปแพร่อย่างไรกัน?”
จูเอ๋อร์กล่าวว่า: “บ่าวก็แค่เอาเงินที่คุณหนูท่านให้มา มอบให้กับขอทานสองสามคน ให้พวกเขาไปแพร่กระจายให้ทั่วทุกที่ ไม่น่าจะแพร่ออกไปเร็วขนาดนี้นี่นา……แต่ว่าช่างมันเถอะน่า แพร่ออกไปเร็วมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งดีสำหรับเรานี่นา!”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า: “ถึงแม้จะไม่รู้ว่าใครคือผู้หวังดีที่อยู่เบื้องหลัง แต่ว่าสามารถแพร่กระจายข่าวไปยังทุกหนทุกแห่งของเมืองหลวงในเวลาเดียวด้วยความเร็วที่เร็วขนาดนี้ ต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน”
คนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเช่นนี้ที่นางสามารถนึกขึ้นมาได้ ก็มีเพียงอวี่เหวินเจี๋ยกับเซียวอวิ๋นเซิงเท่านั้นแล้ว แต่ว่าช่วงนี้อวี่เหวินเจี๋ยไม่ได้ส่งญาชิงมา ดูเหมือนจะกำลังยุ่งอยู่กับเรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับงานเลี้ยงของแคว้น น่าจะไม่สามารถปลีกตัวมาช่วยนางได้
และเซียวอวิ๋นเซิง……นางเพิ่งจะส่งจูเอ๋อร์ไปเอาโฉนดของโรงน้ำชา หน้าหลังเวลาห่างกันไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เกรงว่าเวลาแค่นี้ยังไม่พอให้เซียวอวิ๋นเซิงได้สั่งการลูกน้องเลยด้วยซ้ำ
ในเมืองหลวงแห่งนี้คนที่มีอำนาจก็มีเพียงไม่กี่คนนี้ และคนที่มีความเกี่ยวข้องกับนางกู้ชิวเหลิ่ง ก็เหลือแค่ฝู้จื่อโม่กับอวี้ฉือจ้านเท่านั้นแล้ว
นางไม่เชื่อหรอกว่าฝู้จื่อโม่จะมีเมตตาเช่นนี้ แต่ว่าอวี้ฉือจ้าน……อวี้ฉือจ้านทำไมถึงต้องช่วยนางด้วย?
“ไม่ทำแล้ว! ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่ทำแล้ว!”
ฝู้จื่อโม่โกรธจนใบหน้าแดงก่ำ นั่งลงไปบนเก้าอี้ไม้โดยตรง วางเท้าไปบนโต๊ะเตี้ยที่อยู่ด้านข้าง
อวี้ฉือจ้านเช็ดมีดสั้นที่อยู่ตรงเอวของเขาอย่างใจเย็น สายตาเหมือนปกติ: “แค่คำพูดเพียงไม่กี่คำ เจ้าก็รู้สึกเหนื่อยมากแล้วหรือ?”
ฝู้จื่อโม่ตบไปที่โต๊ะ เบิกตากลมโต: “นี่คือเรื่องคำพูดแค่ไม่กี่คำงั้นหรือ? เพื่อผู้หญิงคนนี้ ข้าที่เป็นพี่น้องเจ้าวิ่งจนขาแทบจะหัก! ข้าล่ะสงสัยจริงๆ กู้ชิวเหลิ่งคนนั้นวางยาอะไรเจ้ากันแน่? เจ้าอวี้ฉือจ้านเคยบอกไว้ไม่ใช่หรือ นอกจากภรรยาในอนาคตแล้ว ไม่มีผู้หญิงสามารถเข้าใกล้เจ้าได้ภายในระยะสามฟุตไม่ใช่หรือ? เจ้าคงไม่ได้ชอบผู้หญิงที่จิตใจโหดเหี้ยม ที่มาที่ไปไม่ชัดเจนคนนี้จริงๆใช่ไหม? ข้าบอกเจ้าไว้ได้เลยนะ! ข้าไม่ชอบนาง!”
“ข้าก็ไม่ได้ให้เจ้าต้องชอบนางให้ได้สักหน่อย”
อวี้ฉือจ้านเสียบมีดสั้นเข้าไปที่เอว กล่าวออกมาอย่างใจเย็น: “ข้าชอบ ก็พอแล้ว”
ดวงตาของฝู้จื่อโม่เบิกกว้างมากขึ้น มองไปที่อวี้ฉือจ้านอย่างไม่อยากจะเชื่อ: “พี่น้อง ใช่ว่าข้าอยากจะพูด ผู้หญิงคนนี้ไม่มีดี โหดเหี้ยมเกินไป! เจ้าจำไม่ได้หรือว่านางปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร? นางวางยาเจ้านะ!”
ฝู้จื่อโม่เห็นว่าอวี้ฉือจ้านไม่ได้คิดจะโกรธเลยแม้แต่น้อย
ฝู้จื่อโม่กล่าวต่อไปอีกว่า: “จำได้ไหมว่าเมิ่งจิ่วพูดว่าอย่างไร? เขาบอกว่าคนที่ทำยาเช่นนี้จิตใจโหดเหี้ยมอย่างแน่นอน ดูเหมือนจะไม่ต่างจากผงคันธรรมดาทั่วไป แต่ว่าต้องทรมานไปสองชั่วยามเต็มๆ! ถ้าหากในผงคันนี้เพิ่มกานพูลลงไปอีกเม็ด เช่นนั้นก็อย่าว่าแต่สองชั่วยามเลย ภายในเวลาหนึ่งก้านธูปไม่มียาถอนพิษ ต้องตายอย่างไร้ข้อสงสัยอย่างแน่นอน!”
อวี้ฉือจ้านมองดูมือที่เคยถูกกู้ชิวเหลิ่งวางยาก่อนหน้านี้ กล่าวขึ้นมาอย่างไม่แยแส: “ข้ายังไม่ใส่ใจเลย เจ้าใส่ใจอะไร?”
“เซ่อเจิ้งหวาง! เจ้าเป็นถึงเซ่อเจิ้งหวางนะ! เจ้ายังเป็นอวี้ฉือจ้านผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ในสงคราม! เจ้าจะมาตายในน้ำมือของผู้หญิงคนเดียวได้อย่างไร?”
มุมปากของอวี้ฉือจ้านมีรอยยิ้มรางๆ: “ผู้กล้ายากที่จะผ่านด่านสาวงาม นับประสาอะไรกับผู้หญิงที่น่าสนใจขนาดนี้”
“น่าสนใจ? สมองของเจ้าทำงานผิดปกติแล้วหรือ?”
จู่ๆฝู้จื่อโม่ก็นึกถึงตอนที่เห็นกู้ชิวเหลิ่งผู้ที่มีรูปร่างเย้ายวนชวนให้หลงใหลคนนั้นบนเรือครั้งแรก เพียงแต่แวบเดียวเท่านั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ไฟปรารถนาของผู้ชายคนหนึ่งลุกโชน ตอนนั้นระยะห่างระหว่างมือของเขากับเล็บของกู้ชิวเหลิ่งใกล้กันขนาดไม่ถึงหนึ่งนิ้ว ถ้าหากตอนนั้นกู้ชิวเหลิ่งวางยานี้ลงบนมือของเขา……
ฝู้จื่อโม่ตัวสั่นไปทั้งตัว ก็มีแต่อวี้ฉือจ้านเท่านั้นแหละที่สามารถทนต่อฤทธิ์ยาของผงคันได้
ฝู้จื่อโม่สามารถดูออกว่า อวี้ฉือจ้านหวั่นไหวไปกับผู้หญิงที่ชื่อกู้ชิวเหลิ่งคนนี้ไม่น้อย เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นอวี้ฉือจ้านใส่ใจผู้หญิงคนหนึ่งขนาดนี้ หากจะบอกว่ากู้ชิวเหลิ่งมีส่วนไหนที่เหมาะสมคู่ควรกับอวี้ฉือจ้านอย่างแท้จริง บางทีอาจจะเป็นความโหดเหี้ยมเด็ดขาดนั่น ความโหดเหี้ยมที่ไร้ความปรานี
แม้ว่าในฐานะเพื่อนสนิท ในใจของฝู้จื่อโม่คิดกับอวี้ฉือจ้านเช่นนี้เป็นเรื่องที่ผิดมาก แต่ว่าก็ต้องพูดว่า สิ่งที่เขาพูดล้วนเป็นความจริงทั้งนั้น เพราะว่านานขนาดนี้แล้ว ฝู้จื่อโม่ยังไม่เคยเห็นผู้หญิงที่ทำให้เขารู้สึกว่าคู่ควรกับอวี้ฉือจ้านเลยสักคน
กู้ชิวเหลิ่ง ไม่ว่าจะเป็นความกล้าหาญหรือว่าความสามารถ แล้วก็ยังมีนิสัยและลักษณะท่าทางแบบนั้น ทำให้คนไม่กล้าจ้องมองตรงๆ
ถึงแม้จะเป็นเขาที่เป็นผู้ชาย มากน้อยในใจก็ยังนึกกลัวกู้ชิวเหลิ่งอยู่บ้าง
อวี้ฉือจ้านถูไปบนผ้าเช็ดหน้าที่ปักดอกไห่ถังที่วางอยู่บนโต๊ะ มุมปากแฝงรอยยิ้ม ใช้วิธีการที่โง่เง่าและต่ำทรามเช่นนี้ไปจัดการฮูหยินใหญ่และกู้ชิวเซียง ก็มากเพียงพอแล้ว
กู้ชิวเซียงถูกกักบริเวณอยู่ในสวนเซียงลู่ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถรับรู้ข่าวสารของภายนอก สาวใช้ที่อยู่ข้างกายของนางเซี่ยชุนกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างระมัดระวัง กล่าวว่า: “ตอนนี้ข่าวได้แพร่ออกไปทั้งเมืองหลวงแล้ว ต่างก็กำลังพูดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ของคุณหนูกับคุณชายฉิน ยัง……ยังพูดกันว่า……พูดว่า……”
สีหน้าท่าทางของกู้ชิวเซียงไม่สามารถใช้คำว่ามืดมนมาบรรยายได้แล้ว นั่นคือใกล้จะถึงการบันดาลโทสะแล้ว: “ยังพูดอะไรอีก? พูดมา!”
เซี่ยชุนหดตัวลงมา กล่าวด้วยเสียงที่สั่นเทา: “พวกเขาบอกว่า คุณหนูไม่ใช่หญิงพรหมจารี ทำเรื่องบัดสีกับคุณชายฉินนานแล้ว……”
กู้ชิวเซียงโกรธจนขว้างถ้วยชากระเบื้องที่อยู่บนโต๊ะทั้งหมดลงบนพื้น กล่าวด้วยความโกรธ: “ชาวบ้านชั้นต่ำพวกนี้! ถึงกับมาทำลายชื่อเสียงของข้า!”