ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 63 เต็มใจเป็นสนม
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 63 เต็มใจเป็นสนม
กู้ชิวถางไม่ต้องการจะเห็นเรื่องพวกนี้อีก ไม่ได้มีความคิดที่จะไปพบอี๋เหนียงห้าที่มาใหม่คนนี้เลย แต่กู้หนานเฉิงกลับผิดแปลกไปจากปกติ ราวกับต้องการจะให้คนทั้งจวนโหวรู้ว่าเขารับสนมมาคนหนึ่ง แนะนำอี๋เหนียงห้าคนใหม่ท่านนี้อย่างยิ่งใหญ่อลังการกว่าตอนแนะนำอี๋เหนียงสี่ในตอนนั้นเสียอีก
ในวันนี้ กู้หนานเฉิงได้เตรียมจัดเตรียมงานเลี้ยงขึ้นมาโดยเฉพาะ กู้ชิวเหลิ่งนั่งอยู่ตรงส่วนท้ายที่สุด อี๋เหนียงรองกับกู้ชิวเยว่อยู่ข้างหน้าเล็กน้อย ฮูหยินใหญ่ที่มักจะนั่งอยู่ข้างกู้หนานเฉิงอยู่เสมอ กลับนั่งอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกับกู้หนานเฉิงระยะหนึ่ง และคนที่อยู่ใกล้กับกู้หนานเฉิงที่สุด ก็คืออี๋เหนียงห้าคนนี้
อี๋เหนียงรองมองดูสีหน้าที่ซีดขาวของฮูหยินใหญ่ อดที่จะยิ้มแล้วกล่าวออกมาไม่ได้: “โอ้โห น้องสาวที่มาใหม่ท่านนี้ช่างงดงามจริงๆ อายุถึงยี่สิบหรือยัง?”
กู้หนานเฉิงกล่าวออกมาอย่างไม่หลีกเลี่ยงเลยแม้แต่น้อย: “ซานเหนียงคือนางคณิกาเลื่องชื่อของหอเฟิงเยว่ ปีนี้อายุยี่สิบแล้ว”
เสียงที่แฝงความโปรดปรานเล็กน้อยของกู้หนานเฉิงทำให้สีหน้าของฮูหยินใหญ่เปลี่ยนไปมากยิ่งขึ้น ในอดีตกู้หนานเฉิงไม่เคยชอบผู้หญิงในหอนางโลมเลย กังวลว่าจะหลบเลี่ยงไม่ได้ กลัวจะกลายเป็นขี้ปากชาวบ้านด้วยซ้ำ แต่ว่าครั้งนี้ กู้หนานเฉิงหลงรักเอี้ยนซานเหนียงที่มาใหม่คนนี้แล้วจริงๆ ถึงกับเปิดเผยที่มาของเอี้ยนซานเหนียงออกมาต่อหน้าทุกคนอย่างไม่หลีกเลี่ยงเลยแม้แต่น้อย
กู้ชิวเหลิ่งมองดูหน้าตาของเอี้ยนซานเหนียง รู้สึกเพียงว่านางมีดวงตาที่ทำให้คนหลงใหล นี่คือสิ่งที่กู้ชิวเซียงไม่มี ลักษณะท่าทางของรูปร่างก็สุขุมเป็นผู้ใหญ่อย่างมาก ทุกการเคลื่อนไหวก็สง่างาม
กู้ชิวเยว่เห็นว่าสีหน้าของฮูหยินใหญ่ไม่ดี ดังนั้นจึงเอ่ยปากกล่าวว่า: “อี๋เหนียงห้าหน้าตางดงามเช่นนี้ ในอดีตไม่เคยมีใครรู้สึกหวั่นไหวต่ออี๋เหนียงห้าเลยหรือ? ข้ากลับได้ยินมาว่าผู้หญิงที่ออกมาจากสถานที่แบบนั้นบอกว่าเป็นนางคณิกาที่ใช้ศิลปะสร้างความบันเทิง แต่ความจริงมีมลทินนานแล้ว……”
กู้หนานเฉิงรู้สึกโกรธเล็กน้อย: “กู้ชิวเยว่!”
กู้ชิวเยว่เบะปาก นางอายุน้อยที่สุดในบรรดาลูกชายและลูกสาวทั้งหมด ถึงแม้ว่ากู้หนานเฉิงจะโกรธ แต่ก็ไม่เคยทำอะไรนางเลย แต่ว่าได้รับการตักเตือนจากกู้หนานเฉิง กู้ชิวเยว่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
กู้ชิวเหลิ่งวางถ้วยสุราที่อยู่ในมือลง กล่าวขึ้นมาช้าๆ: “ข้ากลับได้ยินมาว่าหอเฟิงเยว่เป็นสถานที่ที่บัณฑิตนักปราชญ์มารวมตัวกัน ยังมีขุนนางมากมายที่เลิกจากประชุมเช้าแล้วก็ไปหารือเรื่องต่างๆที่หอเฟิงเยว่ ในนี้ต้องไม่ขาดแคลนเรื่องน่าสนใจมากมายอย่างแน่นอน อี๋เหนียงห้าไม่ลองเล่ามาให้ฟังหน่อยเป็นไร?”
เสียงของเอี้ยนซานเหนียงค่อนข้างนุ่มนวลไพเราะ ริมฝีปากแดงระเรื่อราวกับลูกเชอร์รี่ที่สุกงอม กล่าวว่า: “ถ้าหากจะพูดถึงเรื่องที่น่าสนใจ มันก็เกิดขึ้นทุกวัน เพียงแต่ว่าเรื่องที่ซานเหนียงกับนายท่านรู้จักกันเมื่อคืน ถึงจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจอันดับหนึ่ง”
หลังจากดื่มสุราไปได้สักพัก บนใบหน้าของกู้หนานเฉิงก็มีอาการเมาแล้ว และระหว่างงานเลี้ยงยังมีเสียงหัวเราะดังมาเป็นระยะๆ ฮูหยินใหญ่นั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนราวกับรูปปั้น กู้ชิวเยว่ทำหน้าอึดอัดใจ มีเพียงอี๋เหนียงรองเท่านั้นที่แสร้งทำเป็นยิ้มด้วย
“นายท่านเป็นสุภาพบุรุษที่หาได้ยาก ตั้งแต่เอาชนะผู้มักมากบ้าตัณหาคนนั้นแล้ว ซานเหนียงก็อยากจะติดตามนายท่านอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ถึงแม้จะไม่มีงานแต่งงาน แต่ซานเหนียงก็เต็มใจจะเป็นสนม”
ในที่สุดฮูหยินใหญ่ก็ทนไม่ไหวแล้ว เมื่อครู่นี้เอี้ยนซานเหนียงพูดถึงเรื่องราวของหอเฟิงเยว่มากมาย กู้ชิวเหลิ่งก็คอยมองสังเกตสีหน้าของฮูหยินใหญ่อยู่ตลอด สามารถพูดได้ว่าจะให้ไม่น่าดูแค่ไหนก็ไม่น่าดูเท่านั้น ครั้งนี้คนที่ได้รับการโปรดปรานจากกู้หนานเฉิงไม่ใช่สาวใช้ที่อยู่ในจวนคนหนึ่งเท่านี้ แต่เป็นนางคณิกาที่มีชื่อเสียงที่คนในเมืองหลวงสามารถจำชื่อได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังอยู่ในสถานที่ใหญ่โตอย่างหอเฟิงเยว่
ฮูหยินใหญ่กล่าวเสียงเย็นชา: “อย่างไรก็เป็นนางคณิกาคนหนึ่ง พูดให้ตัวเองดูสูงส่งเช่นนี้? หรือว่าการเป็นสนมของนายท่าน ยังลำบากเจ้ารึ?”
รอยยิ้มของกู้หนานเฉิงหายไปในชั่วพริบตา และเอี้ยนซานเหนียงก็เพียงแค่เม้มริมฝีปากเท่านั้น
กู้หนานเฉิงกล่าวเสียงขรึม: “หากว่าเจ้าไม่เต็มใจจะนั่งอยู่ที่นี่ ก็กลับเข้าไปในเรือนของเจ้าเสีย!”
“นายท่าน! ข้าก็แค่พูดเพียงประโยคเดียวเท่านั้น ท่านก็โกรธเช่นนี้แล้ว? ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เอี้ยนซานเหนียงเป็นอี๋เหนียงของจวนโหวแล้ว ที่นี่คือจวนโหว ไม่ใช่หอเฟิงเยว่ ต้องพูดว่าข้าน้อย ไหนเลยจะสามารถแทนตัวเองด้วยชื่อได้? ผู้หญิงที่สกปรกเช่นนี้ ก็เหมือนกับหยูจิ่นเหนียงในตอนนั้น……”
“หุบปาก! ไสหัวไปซะ!”
เอี้ยนซานเหนียงประคองกู้หนานเฉิงเอาไว้เบาๆ กล่าวขึ้นมาอย่างไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่งและไม่ถ่อมตัวจนดูต่ำต้อย: “นายท่านอย่าโกรธไปเลย ที่ฮูหยินใหญ่กล่าวมาก็ถูก ก็เพราะความหวังดีที่มีต่อนายท่านเท่านั้น เพียงแต่ว่าคนอย่างเอี้ยนซานเหนียงถึงแม้จะเข้าออกสถานที่เริงรมย์ แต่สะอาดและบริสุทธิ์ ไม่เคยเล่นสนุกไปตามสถานการณ์ นายท่านคือผู้ชายเพียงคนเดียวในชีวิตของซานเหนียง และก็จะไม่มีคนที่สองเด็ดขาด ในเมื่อแต่งงานกับนายท่านแล้ว ซานเหนียงย่อมต้องรักษาจรรยาบรรณของสตรีเพศอย่างเคร่งครัดอยู่แล้ว”
กู้หนานเฉิงกุมมือของเอี้ยนซานเหนียงเอาไว้อย่างอ่อนโยน จากนั้นก็ทำหน้าบึ้งตึงแล้วกล่าวกับฮูหยินใหญ่: “กู่ฉินหมากล้อมลายสือศิลป์และจิตรกรรมซานเหนียงชำนาญทุกอย่าง ไม่เพียงแค่ฉลาดมีความรู้ทั้งยังหน้าตาดีเท่านั้น ในใจก็ยิ่งมีอุดมการณ์ ถึงแม้จะเป็นนางคณิกา แต่ก็สูงส่งกว่าเจ้าไม่รู้กี่เท่า! เจ้าไสหัวกลับไปตอนนี้เลย เห็นแก่หน้าของซานเหนียง ข้าจะไม่ถือสาหาความกับเจ้า กลับไปหันหน้าเข้าหากำแพงสำนึกผิดซะ ไม่มีคำสั่งของข้า ใครก็ห้ามรับตัวเจ้าออกไป! อย่าคิดที่จะเลียนแบบนังลูกสาวที่ไม่รักดีคนนั้นของเจ้าเด็ดขาด!”
“กู้หนานเฉิง! เจ้า……”
“เด็กๆ! พาฮูหยินใหญ่ออกไปเดี๋ยวนี้”
เอี้ยนซานเหนียงนั่งอยู่ด้านข้างของกู้หนานเฉิง ครั้งนี้นางไม่ได้ห้ามปราม กู้ชิวเหลิ่งกลับรู้สึกแปลกใจอย่างมาก ในระหว่างงานเลี้ยงนางมองสังเกตเอี้ยนซานเหนียงไปหลายครั้ง มั่นใจว่านางเป็นผู้หญิงที่เย็นชาและมีเล่ห์เหลี่ยมมากคนหนึ่ง แล้วทำไมถึงบังเอิญมีความคิดอยากจะแต่งงานกับกู้หนานเฉิงขนาดนั้นได้? แถมยังเต็มใจเป็นสนมอีก? นี่เป็นเพราะเหตุการณ์วีระษุรุษช่วยสาวงามนั่นจริงๆหรือ?
กู้ชิวเหลิ่งไม่เชื่อหรอก ผู้หญิงอย่างเอี้ยนซานเหนียง ในเมืองหลวงคนที่ต้องการจะเป็นวีระษุรุษยสาวงามต้องมีไม่น้อยอย่างแน่นอน แล้วทำไมเมื่อคืนถึงมีความสัมพันธ์เป็นคู่นอนคืนเดียวกับกู้หนานเฉิงภายใต้สถานการณ์ที่บังเอิญขนาดนั้นได้?
เอี้ยนซานเหนียงมองมาทางนางหลายครั้ง กู้ชิวเหลิ่งยิ่งอยู่ก็ยิ่งรู้สึกว่าเอี้ยนซานเหนียงคนนี้เป็นคนที่ถูกส่งมาอยู่ข้างกายของกู้หนานเฉิง หากไม่ได้มาเป็นสายลับ ก็คือมาเพื่อทำให้ครอบครัวของกู้หนานเฉิงอยู่อย่างไม่สงบสุข
เบื้องหน้าของหอเฟิงเยว่ดูเหมือนจะเป็นสถานที่ที่บัณฑิตนักปราชญ์คอยตามคนที่มีฐานะบรรดาศักดิ์เพื่อเพิ่มความสง่างาม แต่ในความเป็นจริง หอเฟิงเยว่เป็นแหล่งข่าวกรองที่ทรงอำนาจแห่งหนึ่ง และคนที่สามารถมีแหล่งข่าวกรองที่ทรงอำนาจขนาดนี้ ในเมืองหลวงก็มีเพียงไม่กี่คน
ในใจของกู้ชิวเหลิ่งมีความคิดแล้ว หลังจากที่งานเลี้ยงจบลงแล้ว ก็กลับไปยังลานของกู้ชิวถางอย่างเงียบๆ
ก่อนที่จะจัดเตรียมที่อยู่ใหม่เสร็จ นางก็ต้องอาศัยอยู่ในเรือนด้านข้างของกู้ชิวถางไปก่อน
กู้ชิวเหลิ่งถอยเสื้อนอกออก กล่าวถาม: “วันนี้ข้าให้เจ้าไปเอาบัญชีของโรงน้ำชา เจ้าเอามาหมดหรือยัง?”
จูเอ๋อร์กล่าวว่า: “ผู้จัดการบอกว่าคำนวณเรียบร้อยหมดแล้ว เพียงแต่ว่าบ่าวดูไม่รู้เรื่อง แต่ก็นำมาหมดแล้ว”
กู้ชิวเหลิ่งพยักหน้า กล่าวว่า: “เจ้ากลับไปนอนก่อนเถอะ หลังจากที่ข้าดูแล้วค่อยตัดสินใจอีกที”
“เช่นนั้นคุณหนูอย่าลืมพักผ่อนเร็วหน่อยแล้วกัน”
“อืม”
กู้ชิวเหลิ่งนั่งอยู่ตรงหน้าตรงหน้าโต๊ะหนังสือ นางไม่ได้ดูบัญชีนานมากแล้ว ในอดีตสิ่งที่ดูล้วนเป็นพวกสิ่งอำนวยความสะดวกที่ใช้ในด้านการทหาร แต่ว่าเรื่องคำนวณบัญชี นางโอ้อวดตัวเองว่ามีพรสวรรค์อยู่บ้าง
กู้ชิวเหลิ่งอ่านบัญชีจบไปทั้งเล่ม พิงอยู่บนพนักพิงของเก้าอี้ ยิ้มเย้ยหยันออกมา: “ดูท่า ขาดทุนไปไม่น้อยเลย”
ขาดทุนไปไม่น้อยจริงๆ เริ่มตั้งแต่สิ้นปีของปีที่แล้ว จนถึงตอนนี้ก็ห้าเดือนแล้ว โดยพื้นฐานแล้วไม่มีรายได้อะไรเลย แต่สะสมชาที่มีราคาแพงเอาไว้ไม่น้อย รวมๆกันแล้วสะสมไว้เกือบสองล้านตำลึง
ในอดีตนางนึกว่าเซียวอวิ๋นเซิงเจ้าหมอนี่ยังพอจะทำการค้าเป็นอยู่บ้าง แต่ดูจากตอนนี้แล้ว นางประเมินเซียวอวิ๋นเซิงสูงไปอย่างสิ้นเชิง