ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 65 มาตรการรับมือ
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 65 มาตรการรับมือ
วันรุ่งขึ้นฟ้าเพิ่งจะเริ่มสาง กู้ชิวเหลิ่งก็ได้จัดเตรียมแผนงานที่ได้กำหนดเอาไว้เมื่อคืนนี้เรียบร้อยแล้ว
ตอนที่จูเอ๋อร์ตักน้ำเสร็จเข้าประตูมา กู้ชิวเหลิ่งกำลังงีบหลับอยู่บนเก้าอี้นวมยาว เมื่อคืนหลังจากส่งกู้ชิวถางกลับไปแล้ว นางก็ไม่ได้พักผ่อน แต่ปรับปรุงแก้ไขและเพิ่มเติมแผนงานของโรงน้ำชา
จูเอ๋อร์วางอ่างน้ำลงไปด้านข้างเงียบๆ คิดเอาไว้ว่าจะถอยออกไป ก็ได้ยินกู้ชิวเหลิ่งเอ่ยปากกล่าวว่า: “เตรียมล้างหน้าหวีผม อีกประเดี๋ยวเราจะไปที่โรงน้ำชากัน”
“อ๋า? คุณหนูไม่ได้นอนเลยทั้งคืน กว่าจะได้นอนพักผ่อนสักครู่หนึ่ง เช้าขนาดนี้ทำไมถึงต้องไปที่โรงน้ำชาอีกล่ะ!”
กู้ชิวเหลิ่งลืมตาลุกขึ้นมาจากเก้าอี้นวมยาวแล้ว เปลือยเท้าอยู่บนพื้น พื้นในตอนเช้าตรู่ยังเย็นยะเยือกอยู่ ไอความเย็นเสียดแทงจนกู้ชิวเหลิ่งกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา
“ยังไม่ยกอ่างน้ำเข้ามาอีก?”
จูเอ๋อร์ได้ยิน ถึงได้ยกอ่างน้ำเข้ามาอย่างเร่งรีบ ขณะที่หวีผมล้างหน้าให้กับกู้ชิวเหลิ่ง ก็กล่าวไปด้วยว่า: “หลายวันมานี้ในจวนเกิดเรื่องขึ้นมากมาย บ่าวเห็นว่าคุณหนูไม่ค่อยได้นอนหลับดีๆเท่าไหร่ ถ้าอย่างไรพักเรื่องของโรงน้ำชาเอาไว้ก่อนชั่วคราวดีไหม? อย่างไรเสียนั่นก็คือการค้าของเซียวโหวเย๋น้อย เราก็แค่ตัวแทนบริหารจัดการเท่านั้น”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ: “ว่าเจ้าโง่ เจ้าก็ไม่ยอมใช้สมองคิดจริงๆ นี่คือการค้าของเซียวอวิ๋นเซิงงั้นหรือ? นี่คือโอกาสต่างหาก หากทำได้ดี เราก็จะสามารถผูกขาดการค้าของโรงน้ำชาทั้งหมดในเมืองหลวง”
“ผูก…..ผูกขาด?”
จูเอ๋อร์ฟังแล้วเป็นคำที่ไม่คุ้นเคย กู้ชิวเหลิ่งกลับไม่เอ่ยถึงมันอีก
กู้ชิวเหลิ่งกำลังเตรียมตัวจะลุกขึ้น หน้าประตูก็มีคนกำลังเคาะประตูแล้ว กู้ชิวเหลิ่งขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวถาม: “ใครกัน?”
“ข้าน้อยเปียนเจียง”
กู้ชิวเหลิ่งไม่ค่อยคุ้นเคยกับชื่อเปียนเจียงเท่าไหร่นัก แต่ว่าจำได้รางๆว่าเป็นรองแม่ทัพที่อยู่ข้างกายของกู้ชิวถาง
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ: “เช้าขนาดนี้ หาข้ามีธุระอะไรหรือ?”
“ท่านแม่ทัพเชิญคุณหนูไปฝึกซ้อม”
กู้ชิวเหลิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อคืน กู้ชิวถางบอกว่าพรุ่งนี้ก็จะมาหานาง คิดไม่ถึงว่าเวลาที่กำหนดไว้จะเป็นตอนเช้าตรู่
กู้ชิวเหลิ่งลุกยืนขึ้นมา แล้วเปิดประตูห้องออก
เดิมทีเปียนเจียงยังเงยหน้าอยู่ เมื่อเห็นกู่ชิวเหลิ่งเปิดประตูห้องออกกะทันหัน สวมชุดกระโปรงยาวสีเขียวไม้ไผ่ทั้งชุด ผมดำขลับที่ยาวมาถึงเอว ยังไม่ได้รวบผมขึ้น ใบหน้าขาวนวลเนียนละเอียด ดวงตาที่ดำลึกคู่หนึ่งดูงดงามอย่างยิ่ง
เปียนเจียงรีบร้อนก้มหน้าลง คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ก้มหน้าลงแล้ว ก็เห็นเท้าที่เปลือยเปล่าคู่หนึ่งของกู้ชิวเหลิ่งอีก
เปียนเจียงหลับตาลงด้วยความกระดากอาย ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะมองไปทางไหนดีจริงๆ
จูเอ๋อร์ยังไม่ทันจะมองดูคุณหนูของตัวเองเอาไว้ ใครจะรู้ว่ากู้ชิวเหลิ่งก็ไปเปิดประตูแล้ว
“เจ้าไปบอกกับท่านพี่ก่อน ในห้องข้าไม่มีเสื้อผ้าที่เหมาะกับการฝึกซ้อม ตอนนี้ข้าจะออกไปซื้อข้างนอก ให้ท่านพี่รอข้าครึ่งชั่วยาม”
“ข้าน้อยทราบแล้ว ข้าน้อยจะไปรายงานท่านแม่ทัพเดี๋ยวนี้แหละ”
กู้ชิวเหลิ่งพยักหน้า แล้วปิดประตูห้องลงอีกครั้ง ใช้ปิ่นปักผมไม้ที่อยู่ในมือรวบผมขึ้นมา กล่าวกับจูเอ๋อร์ว่า: “ไปเตรียมรถม้าเถอะ”
“บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
กู้ชิวเหลิ่งซ่อนแผนงานที่เตรียมเสร็จเมื่อคืนเอาไว้ในแขนเสื้อ
และอีกด้าน ภายในกระโจมผ้าต่วนสีแดงสด ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังคลอเคลียอยู่ด้วยกัน
ใบหน้าของหยินซวงซวงแดงระเรื่อ มือเรียวที่ขาวดั่งหยกลูบไล้อยู่บนหน้าอกของจวินฉีเซิ่ง ยิ้มได้อย่างงดงามเพริศเพริ้ง: “ฝ่าบาทตื่นมายามเช้าก็ไม่ให้ซวงซวงได้อยู่สบายแล้ว บาดแผลนี้……ยังไม่หายเลยนะเพคะ”
พูดจบ หยินซวงซวงชี้ไปที่บาดแผลบริเวณท้องของจวินฉีเซิ่ง ถึงแม้จะไม่มีเลือดไหลออกมาแล้ว แต่ก็ยังถูกพันเอาไว้ด้วยผ้าพันแผลที่หนามากอยู่
จวินฉีเซิ่งจับมือของหยินซวงซวงเอาไว้ กล่าวด้วยเสียงที่อ่อนโยน: “หญิงสาวที่อ่อนโยนมีเสน่ห์ คือสุสานของวีรบุรุษ ถึงแม้บาดแผลจะยังไม่หายดี แต่มีซวงซวงอยู่ข้างกาย ข้าจะทนไหวได้อย่างไร?”
หยินซวงซวงเอนพิงอยู่ตรงหน้าของจวินฉีเซิ่ง กล่าวว่า: “ฝ่าบาทเอาแต่พูดคำหวานเหล่านี้มาหยอกซวงซวง เวลานี้พระนางกุ้ยเฟยไม่อยู่ข้างกาย หากว่าพระนางกุ้ยเฟยอยู่ข้างกายล่ะก็ ฝ่าบาทก็ไม่เอาซวงซวงแล้ว”
เมื่อเอ่ยถึงมู่หรงอี๋ ในใจของจวินฉีเซิ่งอดที่จะมีความรู้สึกหงุดหงิดเพิ่มขึ้นไม่ได้ ตอนนี้มู่หรงอี๋อายุยี่สิบปีแล้ว รูปร่างหน้าตาย่อมไม่มีผู้ใดเทียบได้อยู่แล้ว แต่ว่ารูปร่างหน้าตาที่ล่มชาติล่มเมืองนี้มองนานๆไป ความรู้สึกดีๆเล็กน้อยที่เขามีก็หมดสิ้นไป โดยเฉพาะตอนที่มู่หรงอี๋พูดถึงผู้หญิงคนนั้น กับตระกูลมู่หรงในอดีต เขาก็จะรู้สึกหงุดหงิดจนถึงขีดสุด
มู่หรงชิว……ไม่รู้ว่าทำไมในหัวของจวินฉีเซิ่งถึงมีใบหน้าของมู่หรงชิวปรากฏขึ้นมา เห็นอยู่ชัดๆว่างดงามไม่เท่ามู่หรงอี๋ แต่กลับชอบใช้ใบหน้าที่ดื้อรั้นนั่นมองดูเขาเสมอ
มันเหมือนกับ……ผู้หญิงที่ได้พบบนถนนฉางอันครั้งก่อน ถึงแม้จะสวมใส่ผ้าคลุมหน้าบางสีเขียวเอาไว้ แต่ว่าสายตาคู่นั้น ถึงกับทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างอธิบายไม่ได้
“ฝ่าบาทกำลังคิดถึงผู้หญิงคนไหนอีกแล้วเพคะ? มีซวงซวงอยู่ข้างกาย ยังไม่พออีกหรือ?”
ความคิดของจวินฉีเซิ่งถูกดึงกลับมาในทันที ผู้หญิงที่ตายไปแล้วสามปี เขามักจะไปคิดถึงนางทำไมกัน?
จวินฉีเซิ่งประทับจูบไปบนริมฝีปากที่นุ่มนวลของหยินซวงซวง ลืมลักษณะของมู่หรงชิวเมื่อครู่นี้ไปอย่างสิ้นเชิง
รถม้าวิ่งไปทางถนนซีตลอดทาง โรงน้ำชายีผิ่งเพิ่งจะเปิดประตู ผู้จัดการจางกำลังคำนวณรายได้ของเมื่อวาน เห็นกู้ชิวเหลิ่งมา รีบวางงานที่อยู่ในมือลง ก้าวเข้าไปใกล้แล้วกล่าวว่า: “คุณหนูมาตั้งแต่เช้าเช่นนี้ เพราะมีมาตรการรับมือแล้วใช่ไหมขอรับ?”
กู้ชิวเหลิ่งวางกระดาษไว้บนโต๊ะสำหรับรับจ่ายเงิน กล่าวว่า: “สิ่งที่เขียนอยู่ข้างในทั้งหมดเป็นไปตามข้อมูลที่ได้มา เจ้าทำตามนั้นก็พอ มีเพียงข้อเดียว ก็คือส่งชาใบทองที่มีราคาแพงที่สุดของเราไปต่างจังหวัด แยกออกเป็นต้าตู เจียงตูกับสุ่ยเซียงสามแห่งนี้ตามลำดับ ราคาต้องสูงกว่าที่กำหนดไว้ในตอนนี้สามเท่าตัว”
ผู้จัดการจางกล่าวด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย: “สามเท่า? เช่นนั้นจะไม่ใช่ชาหมื่นตำลึงทองหรอกหรือ? นี่จะสามารถขายออกไปได้อย่างไร!”
มุมปากของกู้ชิวเหลิ่งเกี่ยวเป็นรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวว่า: “เจ้าไปขายได้เลย แต่ว่าก่อนที่จะขาย เจ้าต้องเอ่ยชื่อของเซียวโหวเย๋น้อยแห่งเมืองหลวงออกมาก่อน”
“คุณ……คุณชาย?”
“จำไว้ บอกไปว่า เซียวโหวเย๋น้อยต้องจ่ายพันตำลึงเพื่อซื้อชานี้ทุกวัน เข้าใจหรือไม่?”
ผู้จัดการจางกัดฟัน กล่าวว่า: “ข้าน้อยจะไปทำเดี๋ยวนี้!”
กู้ชิวเหลิ่งสั่งการเรื่องเล็กๆน้อยๆนิดหน่อย ก็จากไปแล้ว ไม่ได้ใช้เวลานานมากนัก
“ทำไมคุณหนูต้องทำเช่นนี้ด้วยเจ้าคะ? ชาหมื่นตำลึงทอง ใครจะยอมกินกัน แม้จะเป็นฮ่องเต้คาดว่าก็คงจะไม่ดื่มชาที่มีราคาแพงขนาดนี้หรอก”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า: “ราคาแพง ก็มีข้อดีของราคาแพง แพงในระดับที่พอเหมาะพอดี ก็จะสามารถนำมาซึ่งผลประโยชน์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด”
หมื่นตำลึง ในมุมมองของพวกนางเล็กน้อยเกินกว่าจะเอ่ยถึง แต่ว่าในมือของพ่อค้าที่ห่วงหน้าตาและชื่อเสียงจอมปลอมพวกนั้นแล้ว ก็แค่สิ่งปฏิกูลเท่านั้น
ระดับชนชั้นของต้าเยียน พ่อค้าคือคนที่อยู่ในระดับที่ต่ำที่สุด แต่กลับมีเงินทองมากที่สุด สิ่งที่เงินทองประเภทนี้สามารถซื้อได้มากที่สุดก็คือหน้าตาและชื่อเสียงจอมปลอม
กลยุทธ์นี้ดูแล้วเหมือนจะไม่มีเหตุผลให้แสวงหา แต่ว่าโจมตีเข้าไปในจิตใจของคนทุกทาง จะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
ในตอนที่กู้ชิวเหลิ่งกลับไป ไม่ได้เปลี่ยนเป็นชุดขี่ม้า แต่ว่าไปยังสนามฝึกซ้อมที่อยู่หลังเขาโดยตรงเลย
สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ที่ก่อนหน้านี้กู้หนานเฉิงเตรียมไว้ให้กู้ชิวถางโดยเฉพาะ สถานที่ไม่เล็ก สามารถขี่ม้ายิงธนูสามารถฝึกวิชากระบี่ ก็ถือว่ากว้างขวางอยู่ไม่น้อย
กู้ชิงถางฝึกซ้อมอยู่นานมากแล้ว สวมใส่ชุดชั้นในที่เป็นสีขาวทั้งชุด และก็ไม่ได้เปลี่ยนเป็นชุดขี่ม้าเช่นกัน บนใบหน้ามีเหงื่อไหลออกมาแล้ว