ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 76 พูดจาโผงผาง
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 76 พูดจาโผงผาง
ก่อนยามเย็นของงานเลี้ยงแห่งแคว้น กู้ชิวเซียงกลับไปที่จวนกู้โหวด้วยการพยุงของสาวใช้คนใหม่
หลังจากที่กู้ชิวเหลิ่งได้ยินแล้ว ก็เพียงแค่ยิ้มอย่างเย็นชาทีหนึ่ง แม้ว่ากู้ชิวเซียงจะมีหน้าตาที่ไม่เลวแต่ก็โง่เง่าเกินไป คุณหนูบุตรีภรรยาเอกผู้หนึ่งในจวนโหว ตามท่านยายกลับไปยังบ้านมารดาในยามดึกดื่นค่ำคืน ผ่านไประยะเวลาหนึ่งก็กลับไปยังจวนโหวอย่างสง่าไร้ที่เปรียบ นี่เป็นการตบตาเพื่อบอกผู้คนว่า กู้ชิวเซียงอยู่ที่จวนกู้โหวนั้นรู้สึกไม่เป็นธรรม แต่รับการดูแลอย่างรอบคอบเป็นสมบัติล้ำค่าในตระกูลฉิน
เดิมทีในใจของกู้หนานเฉิงขุ่นเคืองต่อตระกูลฉินอยู่แล้ว ตอนนี้กู้ชิวเซียงกลับมาเช่นนี้ก็เป็นการทำให้กู้หนานเฉิงหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น
“คุณหนูเจ้าคะ บ่าวได้ยินมาว่าครานี้คุณหนูใหญ่กลับมา เสื้อผ้าการแต่งกายนั้นแปรเปลี่ยนไปจากเดิมไม่น้อย ได้ยินผู้อื่นว่าขณะที่กลับมาดูเหมือนนางฟ้าที่ลงมายังโลกมนุษย์เจ้าค่ะ!”
กู้ชิวเหลิ่งไม่ได้สนใจแต่กล่าวว่า “ความงามของกู้ชิวเซียงเป็นที่รู้กันดี นางฟ้าลงมายังโลกมนุษย์ไม่ใช่เรื่องปกติหรอกหรือ?”
“น้องรองกล่าวได้ถูกต้อง ต้องรู้ว่านางฟ้าลงมายังโลกมนุษย์นี้ไม่ใช่ว่าจะสามารถใช้กับทุกคนได้หรอกนะ”
กู้ชิวเซียงเดินไปถึงยังหน้าประตูลานเรือนตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ แต่งกายด้วยชุดกระโปรงยาวทอไหมลายเมฆลอยสีทองนวล ด้านนอกคลุมด้วยผ้าลูกไม้สีเงินที่บางราวกับปีกจักจั่น กำไลหยกที่สวมอยู่บนข้อมือไม่รู้ว่าได้กลายเป็นกำไลข้อมือสีเลือดไปเมื่อใด บนคอสวมใส่จี้หินล้ำค่าสีเงิน บนศีรษะปักปิ่นปักผมไข่มุกกลวงสิบสองด้านอันวิจิตรงดงาม แววตาทั้งคู่สว่างสดใส ไม่ว่าจะในด้านอารมณ์ความรู้สึกหรือลักษณะท่าทาง กู้ชิวเซียงดูราวกับว่าได้ก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวอย่างเฉยเมยว่า: “พี่ใหญ่เพิ่งกลับมาวันนี้ ทำไมถึงไม่พักผ่อนให้ดีล่ะเจ้าคะ แต่กลับมาถึงยังที่สวนเฉินเซียงของน้องได้?”
กู้ชิวเซียงเลิกคิ้วและเงยหน้าขึ้นอย่างหยิ่งยะโสแล้วกล่าวว่า “ข้ามาที่นี่เพียงเพื่อให้เจ้ากู้ชิวเหลิ่งดูสักหน่อยว่า สิ่งใดคือความแตกต่างกันราวฟ้ากับดินระหว่างคนเรา อย่าได้เพ้อฝันที่จะแย่งชิงสิ่งของอันใดไปจากข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าอยู่ยิ่งกว่าตายซะอีก”
กู้ชิวเหลิ่งเงยหน้าขึ้นแล้วพูดโดยไว้หน้าเลยแม้แต่น้อยว่า “พี่ใหญ่พูดถึงท่านอ๋องรองใช่หรือไม่เจ้าคะ? ในด้านความงาม พี่ใหญ่เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในเมืองหลวง ในด้านความสามารถก็เป็นหญิงสาวที่มีพรสวรรค์อันดับหนึ่ง ชาติกำเนิดก็สูงส่ง เป็นถึงลูกสาวภรรยาหลวงของจวนโหว มีสิ่งเหล่านี้แล้ว พี่ใหญ่ยังมีสิ่งใดที่ต้องเกรงกลัวอีก? ดูเหมือนว่าท่านอ๋องรองจะไม่เทใจให้พี่ใหญ่ ดังนั้นวันนี้พี่ใหญ่ถึงมาหาข้าสินะ?”
กู้ชิวเซียงกำหมัดเอาไว้แน่นและกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “กู้ชิวเหลิ่ง อย่าคิดว่าเจ้าพูดจาเป็นเก่งนะ! เป็นแค่ลูกอนุคนหนึ่ง มีคุณสมบัติอะไรที่จะเอ่ยถึงท่านอ๋องรอง! บอกเจ้าตามตรงนะ ท่านอ๋องรองหมายที่จะแต่งงานกับข้ามานานแล้ว ก็แค่เรื่องของเวลาเท่านั้นเอง”
อวี่เหวินเจี๋ยเป็นหนามแทงใจของกู้ชิวเซียงมาโดยตลอด หลายปีมานี้กู้ชิวเซียงก็ได้พยายามไม่น้อย แต่ว่าอวี่เหวินเจี๋ยนั้นก็ไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอยู่เช่นนั้น ไม่ได้เห็นนางอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย และก็ไม่มีเจตนาที่จะแต่งงานกับนางด้วย
มุมปากกู้ชิวเหลิ่งกระตุกขึ้นฉายแววยิ้มเยาะ แล้วกล่าวว่า “คำพูดนี้ของพี่ใหญ่จริงจังหรือ?”
“ทำไม? เจ้าคิดว่าวันนี้ที่ข้ามาหาเจ้า เพราะว่าท่านอ๋องรองชอบพอเจ้าหรือ? กู้ชิวเหลิ่ง เจ้าอย่าได้ละเมอเพ้อพกเลย ก็ช่างไม่รู้จักส่องกระจกมองดูว่าตนเองหน้าตาเป็นอย่างไร! ท่านอ๋องรองไม่ชอบเจ้าหรอกนะ เจ้าก็อย่าได้คิดที่จะเกาะแกะท่านอ๋องรอง!”
ปากกู้ชิวเซียงกล่าวเช่นนี้ ทว่าในใจรู้สึกหวาดหวั่นอยู่บ้าง อวี่เหวินเจี๋ยไม่เคยบอกว่าต้องการจะแต่งงานกับนางเลย เพียงแต่ว่าหลายวันนี้นางฝึกฝนเพลงร่ายรำงามล้มเมือง ทุกครั้งที่ฝึกฝนไปเพียงเล็กน้อย ในใจก็จะนึกถึงภาพอวี่เหวินเจี๋ยแต่งงานกับนาง
สองสามวันมานี้ การร่ายรำของนางค่อยๆชำนาญขึ้น พรุ่งนี้ก็เป็นงานเลี้ยงแห่งแคว้นแล้ว ในใจนางมุ่งมั่นที่จะเอาชนะใจอวี่เหวินเจี๋ยให้สำเร็จ เมื่อครู่เห็นกู้ชิวเหลิ่ง นางก็มีใจที่จะอยากเห็นท่าทางที่ผิดหวังของกู้ชิวเหลิ่ง ดังนั้นจึงได้โพล่งคำพูดประโยคนี้ออกมา
กู้ชิวเหลิ่งหาวอย่างเกียจคร้านแล้วกล่าวว่า “หากว่าพี่ใหญ่พูดจริง เช่นนั้นน้องก็ควรจะไปถามท่านอ๋องรองให้ดี เนื่องด้วยขณะที่ท่านอ๋องรองมาเมื่อหลายวันก่อน ยังบอกว่าข้าน่ารัก แต่ว่าไม่ได้เอ่ยถึงพี่ใหญ่เลยสักคำ”
กู้ชิวเซียงจ้องมองตาเขม็งด้วยความโมโห ช่วงหลายวันนี้นางอยู่ในจวนตระกูลฉินตลอด จึงไม่รู้เรื่องที่อวี่เหวินเจี๋ยมาที่จวนกู้โหว และก็ไม่รู้ว่าอวี่เหวินเจี๋ยชมกู้ชิวเหลิ่งเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ กู้ชิวเหลิ่งกล่าวคำพูดนี้ขึ้นมากะทันหัน กู้ชิวเซียงราวกับว่าถูกจุดไฟโทสะขึ้นในทันใด ยื่นมือออกมาก็จะตบตี
มือข้างหนึ่งกู้ชิวเหลิ่งคว้าข้อมือของกู้ชิวเซียงเอาไว้ แววตาอันเยือกเย็นก็ยิ่งเย็นยะเยือกขึ้นไปอีก “พี่ใหญ่ ดูเหมือนว่าท่านยังเรียนรู้บทเรียนของท่านพ่อไม่เพียงพอ ต้องการให้ข้าสอนท่านหรือไม่ว่าจะปฏิบัติตัวเป็นคุณหนูจากภรรยาเอกอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ที่จวนโหวนี้เช่นไร?”
“เจ้า! กู้ชิวเหลิ่งเจ้ามันไร้ยางอาย! เจ้าเพิ่งจะอายุเท่าใดก็ยั่วยวนท่านอ๋องรอง! เจ้าช่าง……”
เดิมทีกู้ชิวเหลิ่งก็อดทนได้ไม่ดีนัก หากไม่ใช่เพราะร่างกายนี้มีฐานะที่พิเศษเกินไปและต่ำต้อยเกินไป นางไม่มีทางที่จะพูดคุยอย่างยินดีปรีดาอยู่กับกู้ชิวเซียงดังเมื่อครู่นี้ ตอนนี้ช่างรู้สึกว่าน่ารำคาญยิ่งนักเสียแล้ว
มือข้างหนึ่งของกู้ชิวเหลิ่งตีลงบนไหล่ซ้ายของกู้ชิวเซียงด้วยแรงที่ไม่หนัก หลังจากที่จัดการกู้ชิวเซียงออกจากประตูแล้วถึงได้กล่าวอย่างเย็นชาว่า “พี่ใหญ่กลับไปซะจะดีกว่า สักครู่ท่านพี่ก็จะมาแล้ว ให้ท่านพี่เห็นฉากนี้เข้า พี่ใหญ่ท่านจะจัดการกับสถานการณ์อย่างไร?”
กู้ชิวเซียงเพิ่งกลับมาก็ได้สังเกตเห็นสายตากู้หนานเฉิงทนดูนางไม่ไหว หากว่าตอนนี้นางสร้างเรื่องใหญ่โตในลานเรือนของกู้ชิวเหลิ่ง กู้หนานเฉิงจะต้องกดดันนางแล้วไม่ให้นางไปงานเลี้ยงแห่งแคว้นในวันพรุ่งนี้เป็นแน่
กู้ชิวเซียงลุกขึ้นจากบนพื้น ดวงตาทั้งคู่จ้องมองไปที่กู้ชิวเหลิ่งอย่างโหดเหี้ยมแล้วกล่าวว่า “กู้ชิวเหลิ่ง อย่าได้คิดว่าตอนนี้ข้าจะจัดการเจ้าไม่ได้!”
กู้ชิวเหลิ่งปิดประตูห้องลง และไม่ใส่ใจในคำเตือนเมื่อครู่นี้ของกู้ชิวเซียง จูเอ๋อร์อยู่ในห้องกล่าวด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยว่า “คุณหนูเจ้าคะ เมื่อครู่ท่านตีคุณหนูใหญ่ได้อย่างไร หากว่านายท่านและฮูหยินใหญ่รู้เข้า……”
“รู้ก็ยิ่งดีสิ หากว่ากู่ชิวเซียงบอกกู้หนานเฉิง เช่นนั้นก็น่าสนุกมากหน่ะสิ”
ความคิดของจูเอ๋อร์และกู้ชิวเหลิ่งไม่เหมือนกันเลย ทว่ากล่าวอย่างกลัดกลุ้มว่า “อย่างไรก็ตาม แรงที่คุณหนูใช้ในเมื่อครู่นี้ก็ไม่หนัก แม้ว่านายท่านจะรู้เข้า ก็คงจะไม่ลงโทษคุณหนูเท่าใดหรอกนะเจ้าคะ?”
ด้วยพละกำลังของกู้ชิวเหลิ่งในตอนนี้ เมื่อครู่หากว่าออกแรงจริงๆ ตีจนกู้ชิวเซียงลุกขึ้นจากเตียงเป็นเวลาครึ่งค่อนวันไม่ได้ก็เป็นไปได้ เพียงแค่นางไม่ได้คิดที่จะทำเช่นนี้ในขณะนี้
พรุ่งนี้เป็นงานเลี้ยงแห่งแคว้น นางยังต้องการหลอกใช้งามล้มเมืองของกู้ชิวเซียง มาทดสอบการตอบสนองของจวินฉีเซิ่ง
กู้ชิวเซียงวิ่งเหยาะๆไปจนถึงในศาลา ผมเผ้ายุ่งเหยิงเนื่องด้วยแรงผลักเมื่อครู่นี้ สาวใช้ข้างกายเป็นคนที่หลิวเหล่าฮูหยินมอบให้เอง นามว่าหลิงเอ๋อร์
“ตอนนี้ ตบข้าหนึ่งฉาด”
หลิงเอ๋อร์ถูกคำพูดของกู้ชิวเซียงทำให้ตกใจจนถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “บ่าวมิกล้าตบคุณหนูเจ้าค่ะ!”
กู้ชิวเซียงทำหน้านิ่งแล้วกล่าวว่า “ข้าเป็นคนให้เจ้าตบ! ตบเดี๋ยวนี้”
หลิงเอ๋อร์ไม่กล้าไม่ทำตาม จึงทำได้เพียงลงมือตบฉาดหนึ่งด้วยมืออันสั่นเทา แต่ว่าเรี่ยวแรงไม่หนัก
กู้ชิวเซียงกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “เจ้าไม่ได้กินข้าวหรือไง! ตบให้แดง!”
เนื้อตัวของหลิงเอ๋อร์เริ่มสั่นสะท้าน นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เจ้านายให้บ่าวตบหน้าด้วย
เสียงตบหน้าที่คมชัดตบลงไปที่แก้มด้านขวาของกู้ชิวเซียง กู้ชิวเซียงกุมแก้มเอาไว้ และฉายรอยยิ้มเยาะออกมา