ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 90 ราชโองการสามฉบับ
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 90 ราชโองการสามฉบับ
เป็นเช่นนั้นจริงๆ หากเป็นตอนนี้ ด้วยความสามารถของนาง อย่าว่าแต่จะแก้แค้นเลย แม้แต่ความสามารถที่จะเอาชีวิตให้รอดในแคว้นฉีก็ยังไม่มีอยู่จริง มู่หรงอี๋เป็นคนขี้หึง หากว่านางไปยังแคว้นฉี บางทีอาจจะอยู่รอดไม่ถึงครึ่งปี ก็ต้องตายไปยังปรโลก
โอกาสของงานเลี้ยงแห่งแคว้นในครั้งนี้ ได้แต่ถือว่าพลาดไปอย่างเสียเปล่าแล้ว
มู่หรงชิวกล่าวว่า: “ขอบคุณเซ่อเจิ้งหวางสำหรับคำชี้แนะ เพียงแต่ว่าองค์หญิงหมิ่นแต่งงานไปก็ยังไม่เหมาะอยู่ดี จวินฉีเซิ่งคนนี้เป็นคนโหดเหี้ยมหน้าเนื้อใจเสือ จะไม่มีทางพอใจแค่แคว้นฉีแคว้นเดียวเท่านั้นอย่างแน่นอน ต้องการจะยึดต้าเยียนมาเป็นของตนเอง ก็เป็นเพียงแค่เรื่องของเวลาเท่านั้น ถ้าหากหม่อมฉันเดาไม่ผิด เซ่อเจิ้งหวางกับฝ่าบาทก็กังวลเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นหม่อมฉันคิดว่า แทนที่จะให้องค์หญิงท่านหนึ่งแต่งงานไปอย่างซื่อบื้อ ไม่สู้ให้คนแต่งงานเข้าไปแทรกซึมด้านในของศัตรูดีกว่า ถึงแม้ว่าเซ่อเจิ้งหวางจะไม่อยากให้เกิดสงครามขึ้นมาอีก แต่การดึงตัวจวินฉีเซิ่งลงอำนาจ ก็เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำเช่นกัน”
ทุกถ้อยคำของกู้ชิวเหลิ่งมีค่าราวกับไข่มุกและหยกอันล้ำค่า ล้วนพูดเข้าไปถึงข้างในใจของอวี้ฉือจ้าน ราษฎรของต้าเยียนประสบกับสงครามความโกลาหลมามากมาย เพิ่งจะได้อยู่อย่างสงบเพียงไม่กี่ปี ไม่สามารถทนรับหายนะจากสงครามได้อีก อวี้ฉือกงมีจิตใจเมตตามาโดยตลอด ถึงแม้ต้าเยียนจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีกับแคว้นต่างๆ แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะยังมีแคว้นคิดอยากได้มากกว่า จวินฉีเซิ่งเป็นหนึ่งในนั้น เท่าที่ดูจากวันนี้ อวี้ฉือจ้านยิ่งแน่ใจว่าจวินฉีเซิ่งผู้นี้เป็นคนมีความทะเยอทะยานสูงอย่างมาก ในเมื่อจะไม่ทำสงคราม ก็ต้องถอดถอนพระราชาองค์นี้ลงจากบัลลังก์ เปลี่ยนเป็นฮ่องเต้ที่สนับสนุนสันติภาพองค์หนึ่ง เช่นนี้แคว้นฉีกับต้าเยียนถึงจะไม่เกิดความขัดแย้งตลอดไป
กู้ชิวเหลิ่งโค้งคำนับเล็กน้อย กล่าวว่า: “สิ่งที่ควรพูดหม่อมฉันก็พูดหมดแล้ว ขอตัวลาไปก่อนแล้ว”
“ช้าก่อน”
กู้ชิวเหลิ่งลุกขึ้นมา กล่าวว่า: “เซ่อเจิ้งหวางยังมีเรื่องสำคัญอะไรอีกหรือ?”
อวี้ฉือจ้านมองดูใบหน้าที่งดงามอย่างมากของกู้ชิวเหลิ่ง กล่าวว่า: “เจ้าสวมเสื้อผ้าชุดนี้งดงามอย่างมาก”
กู้ชิวเหลิ่งตะลึงงันไปครู่หนึ่ง เดิมทีนางนึกว่าอวี้ฉือจ้านจะหารือกับนางเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรี แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะพูดประโยคเช่นนี้ออกมา
กู้ชิวเหลิ่งขมวดคิ้ว กล่าวว่า: “เป็นเพราะเสื้อผ้าฝีมือประณีตเหนือธรรมชาติ ดังคำกล่าวว่าไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง หม่อมฉันเพียงแค่อาศัยความงามของเสื้อผ้าเท่านั้น”
“มันสามารถสวมใส่อยู่บนตัวของเจ้าได้ เป็นเกียรติของมันต่างหาก”
อวี้ฉือจ้านพูดเพียงแค่ประโยคนี้ จากนั้นก็หยิบสร้อยข้อมือไห่ถังที่ประณีตอย่างมากออกมาจากแขนเสื้อชิ้นหนึ่ง สวมใส่เข้าไปบนข้อมือของกู้ชิวเหลิ่ง กล่าวว่า: “ข้างนอกลมแรง เข้าไปเถอะ”
กู้ชิวเหลิ่งมองดูสร้อยข้อมือที่อยู่บนข้อมือ ไห่ถังที่ใช้หยกเลือดที่งดงามแกะสลักออกมาอย่างประณีต แล้วนำมาร้อยรวมด้วยด้ายเงิน เสริมด้วยเสื้อผ้าชุดนี้ทำให้ทั้งสองสิ่งเด่นชัดมากยิ่งขึ้น ราวกับไห่ถังที่บานสะพรั่งไปด้วยเลือด
ในตอนที่กู้ชิวเหลิ่งมองดูสร้อยข้อมือแล้วตอบสนองกลับมา อวี้ฉือจ้านก็เข้าไปในตำหนักแล้ว ไม่ได้หยุดลงมาแม้แต่ครู่เดียว
กู้ชิวเหลิ่งเก็บซ่อนแขนเสื้อเอาไว้ กลับไปยังที่นั่งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ในวันนี้ ในงานเลี้ยงแห่งแคว้นมีคลื่นพลังมหาศาลที่แอบเคลื่อนตัวอย่างไม่เปิดเผยแล้ว การล่าสัตว์ในวันพรุ่งนี้ ต้องอันตรายและผิดไปจากปกติอย่างแน่นอน
พอถึงช่วงใกล้ค่ำ กู้ชิวเหลิ่งถึงได้ติดตามกู้ชิวถางกับกู้หนานเฉิงและคนอื่นๆกลับไปที่จวน
เพราะเป็นเวลาที่เย็นมากแล้ว ดังนั้นต่างคนต่างก็แยกย้ายกันกลับไปนอน
แสงไฟในห้องหนังสือของกู้ชิวถางกลับสว่างอยู่ทั้งคืน วันนี้ในงานเลี้ยงแห่งแคว้น กู้หนานเฉิงเคยสอบถามเขาว่ากู้ชิวเหลิ่งเป็นวิชากระบี่พวกนั้นได้อย่างไร เขาก็ได้แต่ช่วยยอมรับเอาไว้ ความจริงแล้วในฐานะที่เป็นขุนนางทหาร ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า ถึงแม้จะมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา แต่ในฐานะที่เป็นผู้หญิง ไม่ขยันหมั่นเพียรและฝึกฝนอย่างหนักก็จะไม่สามารถมีระดับความสามารถอย่างในวันนี้เด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้นแรงกำลังของกู้ชิวเหลิ่งไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถฝึกฝนได้ภายในระยะเวลาอันสั้นอย่างแน่นอน
สามารถฟันกระบี่ที่อยู่ในมืออวี้ฉือจ้านเทพสงครามแห่งต้าเยียนจนหักได้ ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
แต่นี่เป็นเพียงแค่ความสงสัยเท่านั้น และในวันรุ่งขึ้น มีเรื่องที่น่าตกใจมากกว่านั้น นั่นก็คือฮ่องเต้อวี้ฉือกงมีราชโองการต่อเนื่องกันสามฉบับ ฉบับแรก: แต่งตั้งกู้ชิวเหลิ่งเป็นหนิงจวิ้นจู่
ฉบับที่สอง: แต่งตั้งฉินโม่เอ๋อร์เป็นองค์หญิงเหอชิน* แต่งงานไปแคว้นฉี
ฉบับที่สาม: แต่งตั้งหว่านเฟยเป็นฮองเฮา
ราชโองการสามฉบับติดต่อกัน ทำให้คนอดที่เกิดความสงสัยขึ้นมาไม่ได้ กู้ชิวเหลิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่คือก่อนหน้านี้ในเมืองหลวงมีการวิพากษ์วิจารณ์คาดเดาความคิดของฮ่องเต้มาก่อนแล้ว และฉบับที่สอง คุณหนูของตระกูลฉินชาวบ้านไม่เคยได้ยินมาก่อน จู่ๆก็แต่งตั้งเป็นองค์หญิงเหอชิน ทำให้คนรู้สึกแปลกใจจริงๆ และฉบับที่สาม การแต่งตั้งฮองเฮาเป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติมาโดยตลอด เมื่อเรื่องนี้เผยแพร่ออกมา ก็ทำให้คนฮือฮากันขึ้นมา
และตระกูลฉิน ในห้องส่วนตัวของฉินโม่เอ๋อร์กลับมีเสียงเครื่องเคลือบชนิดต่างๆแตกกระจายบนพื้นดังมา
“พวกท่านถอยออกไปให้หมด! ทำไมไม่ปล่อยให้ข้าไปตายซะล่ะ!”
หลิวเหล่าฮูหยินให้ฉินเจิ้งเป่ากับลูกสะใภ้นางหลิวจับตัวฉินโม่เอ๋อร์เอาไว้อย่างเจ็บแค้นจนถึงขีดสุด แต่ว่าดวงตาของฉินโม่เอ๋อร์แดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าหงุดหงิดโมโห: “ท่านแม่! ท่านพ่อ! ไหนพวกท่านบอกว่า ข้าสามารถเข้าวังไปเป็นพระสนมได้ไม่ใช่หรือ? ทำไม? ทำไมสุดท้ายกลับต้องไปแคว้นฉีในฐานะองค์หญิงที่ต้องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ไมตรี! ข้าไม่ไป! ข้าไม่ไป!”
ฉินเจิ้งเป่าแทบอยากจะทุบโต๊ะให้แหลก กล่าวว่า: “ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ข่าวที่ส่งมาจากวังหลวง บอกว่าเดิมทีฝ่าบาทกำหนดโม่เอ๋อร์เอาไว้ ใครจะรู้! ใครจะรู้ว่าจู่ๆถึงกลายเป็นองค์หญิงเหอชินไปได้! กลับทำให้เซียวหว่านชิงของจวนเซียวโหวได้ประโยชน์นี้ไปโดยไม่ต้องเสียแรง!”
ฉินโม่เอ๋อร์สะบัดมือของฉินเจิ้งเป่ากับมารดาหลิวซื่อออก ในดวงตามีความโฉดชั่วอำมหิตแวบผ่านไป กล่าวว่า: “ท่านแม่ ท่านย่า ท่านพ่อ ลูกจะไปพื้นที่ล่าสัตว์ จะไปตอนนี้เลย”
หลิวเหล่าฮูหยินรู้มาตลอดว่าลูกสาวคนนี้มีความคิดจะกลายเป็นคนเหนือคนมาตลอด ดังนั้นจึงกล่าวว่า: “ออกไปให้หมด ให้คุณหนูของพวกเจ้าล้างหน้าแต่งตัว”
“ลูกทราบแล้ว”
“ลูกสะใภ้ทราบแล้ว”
ฉินโม่เอ๋อร์เช็ดหน้าเช็ดตา กล่าวว่า: “ไม่สามารถเป็นพระสนมของต้าเยียนได้ เช่นนั้นก็ต้องเป็นฮองเฮาของแคว้นฉี! อวี้ฉือกง เจ้าไม่เอาข้า เจ้าจะต้องเสียใจภายหลังอย่างแน่นอน”
บนพื้นที่ล่าสัตว์ แสงแดดไม่ถือว่าเพียงพอ แต่กลับสว่างกว่าปกติ
กู้ชิวเหลิ่งเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนทั้งชุด สาเหตุหลักก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สัตว์ป่าคลุ้มคลั่ง ดังนั้นถึงได้เปลี่ยนสีแดงที่สะดุดตาทิ้งไป
อวี้ฉือจ้านลงมาจากหลังม้า กู้ชิวเหลิ่งกำลังมองไปที่ป่าอันเขียวชอุ่ม กล่าวว่า: “เซ่อเจิ้งหวางไม่ได้จัดคนไปแทรกซึม แต่กลับใช้ฉินโม่เอ๋อร์ ดูท่าหม่อมฉันคงจะคิดมากไป เห็นทีเซ่อเจิ้งหวางคงต้องมีคนแทรกซึมอยู่ในแคว้นฉีนานแล้ว”
อวี้ฉือจ้านสวมหมวกและชุดเกราะสีเงิน ดูกระฉับกระเฉงมีพลังมากกว่าเมื่อวาน กล่าวเสียงขรึม: “เจ้าเฉลียวฉลาด เห็นเบาะแสจากราชโองการนานแล้ว”
“คือหยินเฟยใช่ไหม ดูจากพฤติกรรมของนางเมื่อวานแล้ว จวินฉีเซิ่งโปรดปรานนางมาก มิเช่นนั้นพวกท่านก็ไม่จำเป็นต้องจัดการให้คนที่จิตใจโหดเหี้ยมเปลี่ยนแปลงได้ยากเสมือนหมาป่าคนหนึ่ง ไปถูกรังแกที่แคว้น”
ตั้งแต่ในงานเลี้ยงแห่งแคว้นเมื่อวานนี้ กู้ชิวเหลิ่งก็สามารถดูออกแล้วว่าฉินโม่เอ๋อร์มีเจตนาจะเอาใจอวี้ฉือกงกับเซียวหว่านชิง และอวี้ฉือจ้านเคยบอกมาก่อนหน้านี้ ว่าจะคัดเลือกสนมให้อวี้ฉือกง ฉินโม่เอ๋อร์เอาอกเอาใจในเวลานี้ ใครๆก็รู้มีเจตนาอะไร
แต่ว่าเบื้องหลังของฉินโม่เอ๋อร์คือจวนจินกั๋วกง ฉินเจิ้งเป่าต้องการจะให้ลูกสาวเข้าไปในวังหลัง ไม่ใช่ผู้มีความทะเยอทะยาน แล้วเป็นอะไร? และฉินโม่เอ๋อร์คนนี้วันหน้าไปที่แคว้นฉีแล้ว หากว่าเก่งกาจ ย่อมสามารถสร้างความปั่นป่วนขึ้นมาได้ แต่หากไม่ล่ะก็ อย่างมากก็คือถูกคนอื่นรังแกโดยไม่มีความสามารถตอบโต้เท่านั้น สำหรับต้าเยียนแล้วไม่ได้มีความเสียหายอะไร
สายตาที่อวี้ฉือกงมองกู้ชิวเหลิ่งเปลี่ยนเป็นความชื่นชมมากขึ้นเรื่อยๆ เขายังไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะสามารถเฉลียวฉลาดได้เช่นนี้ ทั้งยังมีใจที่ผ่องใสราวกับคันฉ่องสว่าง เหมือนกับสามารถมองทะลุเข้าไปในจิตใจคนได้
“หลักการของการยืมมือบุคคลที่สาม คุณหนูรองมองออกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า: “เป็นเพราะเซ่อเจิ้งหวางฉลาดมีไหวพริบ หม่อมฉันก็แค่กลั่นกรองเล็กน้อยเท่านั้น แต่ว่าพิธีล่าสัตว์กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว เซ่อเจิ้งหวางไม่กลับไปหรือ?”