ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 91 ข้า ไม่
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 91 ข้า ไม่
อวี้ฉือจ้านพยักหน้าและพูดว่า:”ได้เวลาไปแล้ว”
หลังจากพูดจบไม่นาน อวี้ฉือจ้านก็พูดกับกู้ชิวเหลิ่งอีกว่า: “คุณหนูรองไม่ไปพร้อมกันรึ?”
กู้ชิวเหลิ่งยิ้มมุมปากเล็กน้อย: “เมื่อวานนี้หม่อมฉันได้ออกหน้าออกตาเต็มที่แล้ว แถมวันนี้ก็ได้ถูกแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่ หากตอนนี้ยังจะมาเดินเคียงข้างกับเซ่อเจิ้งหวางอีก หม่อมฉันก็เหมือนกำลังหาศัตรูให้กับตัวเองชัดๆซิเพคะ?”
“เจ้าดูไม่เหมือนผู้หญิงที่กลัวจะหาศัตรูให้กับตัวเอง”
เสียงฝีเท้าของม้ากำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อวี้ฉือกงกับเซียวหว่านชิงได้นั่งลงในที่นั่งของตัวเองแล้ว เหล่าชนชั้นสูงและลูกชายของขุนนางหลายท่าน ขอเพียงคนที่ขี่ม้าเป็นต่างก็นั่งอยู่บนหลังม้า คนที่อยู่นำหน้าคืออวี่เหวินเจี๋ยและอวี่เหวินหวาย และผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ในนั้นก็คืออวี่เหวินหมิ่น
คนที่เหลือก็มีแต่เซียวอวิ๋นเซิงที่เอ้อระเหยลอยชาย และฝู้จื่อโม่ที่กำลังลูบผมจอนบนหลังม้า
กู้ชิวเหลิ่งยักคิ้วและพูดว่า:”เซ่อเจิ้งหวางเชิญก่อน”
จู่ๆอวี้ฉือจ้านก็ดึงข้อมือของกู้ชิวเหลิ่ง กู้ชิวเหลิ่งเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ เพียงได้ยินแต่เสียงที่คมชัดของชุดเกราะบนร่างของอวี้ฉือจ้าน มือข้างหนึ่งจูงม้าไว้ อีกข้างหนึ่งดึงข้อมือของนางเอาไว้ด้วยแรงที่เบาและอ่อนโยนแล้วพูดว่า: “ในเมื่อจะไป ก็ไม่มีเหตุผลที่ใครจะไปก่อน”
จะไป ก็ไปพร้อมกัน
สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่กู้ชิวเหลิ่งและอวี้ฉือจ้าน เห็นอวี้ฉือจ้านขึ้นหลังม้า และมืออีกข้างหนึ่งก็ปกป้องกู้ชิวเหลิ่งขึ้นหลังบนม้าตัวเดียวกันแล้วจากไป
เส้นด้ายสีเขียวอ่อนที่ชายกระโปรงของกู้ชิวเหลิ่งถูกลมพัดปลิวขึ้นในอากาศ กู้ชิวเหลิ่งถูกห่ออยู่ในอ้อมแขนของอวี้ฉือจ้าน ขี่ม้ามาจากในระยะไกล เหมือนดั่งคู่รักคู่หนึ่ง
“อวี้ฉือจ้าน! ปล่อยข้าลงไป! ”
เห็นได้ชัดว่ากู้ชิวเหลิ่งมีความรีบร้อนเล็กน้อย เดิมทีคิดว่าอวี้ฉือจ้านเพียงแค่แกล้งทำเป็นเกรงใจเล็กน้อย แต่คิดไม่ถึงว่าจะดึงนางขึ้นม้าไปด้วย มีเหล่าชนชั้นสูงและลูกชายของขุนนางที่นับไม่ถ้วนที่อยู่ในรอบๆนี้ แถมเซียวอวิ๋นเซิงกับกู้หนานเฉิงก็อยู่ในนี้ด้วย คงหลีกเลี่ยงที่จะถูกไต่ถามไม่ได้แน่เลย เมื่อถึงตอนนั้นนางจะพูดไกล่เกลี่ยอย่างไร? บุตรีอนุภรรยาคนหนึ่ง กลับขี่ม้าตัวเดียวกับเซ่อเจิ้งหวางที่มีอำนาจมากที่สุดในต้าเยียน หากพูดออกไป คงต้องเป็นข่าวใหญ่อีกเรื่องหนึ่งแน่เลย
“ข้า ไม่”
เสียงอันสุขุมของอวี้ฉือจ้านนั้นมีเสียงหัวเราะแฝงเอาไว้ ราวกับว่าชอบการปฏิกิริยาที่รีบร้อนนี้ของกู้ชิวเหลิ่งมากนัก
เซียวอวิ๋นเซิงลืมตาโตมองดูฉากนี้ เกือบทิ้งที่พัดพับในมือลงบนพื้น กู้ชิวเหลิ่งรู้จักอวี้ฉือจ้านเมื่อใดกัน?
เมื่อนึกถึงว่ากู้ชิวเหลิ่งไม่ได้สวมชุดขี่ม้าที่เขาส่งให้ ในใจก็รู้สึกเสียใจไปตั้งนาน และตอนนี้ก็เห็นกู้ชิวเหลิ่งถูก อวี้ฉือจ้านดึงขึ้นบนหลังม้า ในใจก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ยิ่งขึ้น
ฝู้จื่อโม่เพียงแค่เหลือบมองครั้งเดียว ก็หันหัวไป ราวกับว่าไม่เห็นอะไรเลย
บนใบหน้าของกู้ชิวถางและกู้หนานเฉิงนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย อวี้ฉือจ้านไม่ได้ออกจากวังเป็นเวลาหลายปี กู้ชิวเหลิ่งเคยไปในพระราชวังเพียงครั้งเดียว แถมยังเป็นเพราะเรื่องการถอนหมั้นกับอวี่เหวินหวายด้วย อวี้ฉือจ้านกลับดึงผู้หญิงขึ้นม้า?นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ทุกคนต่างก็รู้ว่าเซ่อเจิ้งหวางในต้าเยียนนี้ไม่ชอบให้ผู้หญิงเข้าใกล้ หากมีผู้หญิงคนไหนเข้าใกล้เขาเกินสามฉื่อ เบาหน่อยก็มือหักขาหัก ในกรณีร้ายแรงก็ถึงขั้นคร่าชีวิต
แต่กู้ชิวเหลิ่งกลับอยู่ในอ้อมแขนของอวี้ฉือจ้านอย่างดี แถมเมื่อกี้ทุกคนก็เห็นว่าอวี้ฉือจ้านเป็นคนดึงกู้ชิวเหลิ่งขึ้นม้าเอง
นี่ก็เพียงพอที่จะกลายเป็นข่าวใหญ่ในเมืองหลวงต้าเยียนได้แล้ว
มุมปากของอวี้ฉือกงกระตุกเล็กน้อย แม้ปกติแล้วเสด็จอาท่านนี้จะดูสุขุมยิ่ง แต่เมื่อถึงตอนเอาแต่ใจ ก็ไม่มีใครเทียบเขาได้ โดยเฉพาะในสถานการณ์การล่าสัตว์ที่ใหญ่โตเช่นนี้เป็นอย่างยิ่ง ยังสร้างปัญหาที่ยากจัดการเช่นนี้ให้เขา
ในฐานะฮ่องเต้ คงต้องถามเซ่อเจิ้งหวางดูแล้วว่าเหตุใดถึงดึงหญิงสาวคนหนึ่งที่ยังไม่ได้แต่งงานขึ้นม้า?
ในฐานะหลานชาย คงทำลายโอกาสจีบสาวที่ดีของท่านอาไม่ได้สินะ?
ในดวงตาของจวินฉีเซิ่งมีร่องรอยของความหนาวเย็นแวบผ่านไป ไม่รู้ว่าเหตุใด เมื่อเห็นฉากนี้แล้วกลับรู้สึกอารมณ์ไม่ดีอย่างผิดปกติ
“นายท่าน ตรวจสอบชัดเจนแล้ว ผู้หญิงคนนี้……”
ฮุยเยากระซิบบางอย่างที่ข้างหูจวินฉีเซิ่ง และจวินฉีเซิ่งก็พยักหน้า หรี่ตาลงเล็กน้อย: “เดี๋ยวตอนล่าสัตว์ สั่งหน่วยกล้าตายว่า ทำพวกเขาทั้งสองคน……”
“ข้าน้อยรับทราบขอรับ”
เพียงได้ยินอวี้ฉือจ้านเรียก “ฮี้” ไปคำหนึ่ง กู้ชิวเหลิ่งก็ลงจากหลังม้าทันทีอย่างเงียบๆ และไม่ให้อวี้ฉือจ้านแตะโดนเอวของนางเลย
อวี้ฉือจ้านก็เพียงแค่ยิ้มมุมปากจางๆเท่านั้น จากนั้นก็เก็บรอยยิ้ม
อวี้ฉือกงทำสีหน้าลำบากใจ แสร้งทำเป็นไอไปสองครั้ง แล้วพูดว่า:”ข้า……”
เซียวหว่านชิงพูดแทรกไปก่อนว่า:”เมื่อครู่เห็นข้อเท่าของคุณหนูรองเหมือนจะผิดปกติเล็กน้อย เป็นเพราะขาพลิกหรือเปล่า?”
กู้ชิวเหลิ่งไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆเซียวหว่านชิงถึงช่วยนางแก้หน้า แต่นางก็พูดต่อตามไปว่า:”หม่อมฉันเพียงแค่ขาพลิกไปอย่างไม่ระวัง ไม่ได้เป็นอะไรมากเพคะ”
เซียวหว่านชิงพยักหน้า พูดว่า:”หญ้าในพื้นที่ล่าสัตว์นี้ขรุขระไม่เรียบ คุณหนูทุกคนก็ควรระวังด้วย”
คุณหนูแต่ละคนต่างก็คำนับและกล่าวว่า:”หม่อมฉันจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของหว่านเฟยเหนียงเหนียงด้วยความเคารพเพคะ”
แม้ว่าเซียวหว่านชิงจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮาแล้ว แต่ยังไม่ได้จัดพิธีการแต่งตั้ง ดังนั้นตอนนี้จึงยังคงเป็นแค่หว่านเฟย
ทันใดนั้นจวินฉีเซิ่งก็เอ่ยปากว่า:”การร่ายรำกระบี่ของคุณหนูรองในเมื่อวานนี้นั้นช่างน่าทึ่งมาก และทักษะกระบี่นั้นสามารถประลองกับเซ่อเจิ้งหวางได้ เหตุใดวันนี้ถึงถูกสนามหญ้านี้ทำขาพลิกไปได้?”
คำพูดนี้ของจวินฉีเซิ่งคือการแอบบอกว่ากู้ชิวเหลิ่งก็เป็นเพียงแค่สวยแต่รูปเท่านั้น ในเมื่อสามารถตีกระบี่ของอวี้ฉือจ้านหัก เช่นนี้ชื่อเสียงเทพสงครามของอวี้ฉือจ้านนี้ ก็เป็นเพียงแค่ชื่อเสียงที่ไม่สมจริงดังคำเล่าลือเท่านั้น
กู้ชิวเหลิ่งจะไม่ทราบความหมายที่พูดเป็นนัยของจวินฉีเซิ่งได้อย่างไร ดังนั้นจึงพูดว่า: “ที่ฮ่องเต้ฉีพูดนั้นไม่ถูกนัก หม่อมฉันเป็นเพียงแค่สตรีอยู่เรือนคนหนึ่ง ทักษะกระบี่นั้นก็เพียงเพื่อแค่นำมาเพิ่มสีสันให้กับการเต้นรำเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อวานนี้เซ่อเจิ้งหวางก็แค่ร่วมมือในการเต้นกระบี่ของหม่อมฉันเท่านั้น ”
“ตอนสุดท่ายสายฉินขาด กระบี่ก็ควรหักไปตามอยู่แล้ว เซ่อเจิ้งหวางใช้กำลังของตัวเองทำกระบี่ของหม่อมฉันและกระบี่ของตัวเองหักในเวลาเดียวกัน เห็นได้ว่าในการควบคุมพลังของเซ่อเจิ้งหวางนั้นดีกว่าหม่อมฉันไปหลายล้านเท่า ฝีมือของหม่อมฉันห่างไกลกับเซ่อเจิ้งหวางจนเกินไป ไม่กล้าประลองกับเซ่อเจิ้งหวางอยู่แล้วเพคะ”
เมื่อจวินฉีเซิ่งได้ยินคำพูดของกู้ชิวเหลิ่ง เพียงแค่เผยรอยยิ้มที่มีความหมายอันลึกซึ้ง: “ผู้หญิงในแว่นแคว้นของท่านอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นข้าล่วงเกินแล้ว”
“หม่อมฉันมิกล้า เพียงแค่กลัวว่าฮ่องเต้ฉีจะเข้าใจผิดว่าเทพสงครามแห่งต้าเยียนของพวกข้านั้นเป็นคนมีชื่อเสียงที่ไม่สมจริงดังคำเล่าลือเท่านั้น”
ทันทีที่กู้ชิวเหลิ่งพูดจบ อวี้ฉือจ้านก็พูดว่า:”โอ้? ฮ่องเต้ฉีมีความหมายนี้อยู่ในนี้หรือ? ข้าได้เข้าร่วมกองทัพมาตั้งแต่เด็ก มีส่วนร่วมในการสู้รบทั้งเล็กและใหญ่ไม่น้อย และไม่เคยแพ้แม้แต่ครั้งเดียว หากฮ่องเต้ฉีรู้สึกว่าข้ามีชื่อเสียงที่ไม่สมจริงดังคำเล่าลือ ไม่งั้น……”
จวินฉีเซิ่งพูดขัดจังหวะ: “ข้าก็แค่พูดเล่นๆ เซ่อเจิ้งหวางและคุณหนูรองเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเช่นนี้ กลับทำให้ข้าพูดไม่ออกแล้ว”
อวี้ฉือกงกล่าวว่า:”ฮ่องเต้ฉีในฐานะเป็นแขกผู้มีเกียรติของแคว้นของพวกข้า ทุกเรื่องก็ควรอัธยาศัยไมตรีต่อกันเป็นหลัก อย่าทำร้ายสัมพันธไมตรีต่อกันเลย พิธีล่าสัตว์กำลังจะเริ่มขึ้น ถึงเวลานั้นก็สามารถประลองกันในพื้นที่ล่าสัตว์ดูได้”
อวี้ฉือจ้านกล่าวว่า:”เมื่อครู่ข้าก็เพียงแค่อยากประลองกับฮ่องเต้ฉีในพื้นที่ล่าสัตว์สักหน่อย ฮ่องเต้ฉีก็รีบร้อนที่จะขัดคำพูดของข้า อาจเป็นเพราะเข้าใจผิดไป”
จวินฉีเซิ่งขมวดคิ้ว มีร่องรอยของความไม่พอใจแวบผ่านไป
กู้ชิวเหลิ่งก็แอบยิ้ม คำพูดนี้ของอวี้ฉือจ้านแอบบอกเป็นนัยว่าบอกจวินฉีเซิ่งกลัวเอาชนะต้าเยียนไม่ได้ ดังนั้นจึงเร่งรีบที่จะขัดจังหวะ กลัวว่าเกิดสถานการณ์ที่อึดอัดขึ้นมา ก็จะไม่มีที่ทางหวนคืนได้
เห็นได้ชัดว่าจวินฉีเซิ่งกลัวอวี้ฉือจ้าน