ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 92 วิธีการทำลายค่ายกล
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 92 วิธีการทำลายค่ายกล
มือของจวินฉีเซิ่งที่จับมือของหยินซวงซวงไว้นั้นค่อยๆกำแน่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พูดว่า:”พื้นที่ล่าสัตว์นี้ไม่เหมือนกับสนามรบ ต่อให้เซ่อเจิ้งหวางจะวีรบุรุษเก่งเพียงใด แต่ในป่าแห่งนี้ก็มีงูพิษและสัตว์ร้ายมากมาย ใครชนะหรือแพ้ ก็ยังไม่แน่นอนเลย”
อวี้ฉือจ้านกล่าวว่า:”ในเมื่อเป็นงูพิษ ข้าก็จะดึงเขี้ยวพิษของมันออก ตีตำแหน่งจุดตายของมัน หากมันเป็นสัตว์ร้าย ข้าก็จะดื้อรั้นที่จะใช้วิทยายุทธระงับความเย่อหยิ่งของมัน ลอกหนังและกินเนื้อของมัน ฮ่องเต้ฉีคิดว่าเช่นนี้เป็นอย่างไร?”
ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ยอมกัน หากปล่อยให้สถานการณ์นี้เป็นแบบนี้ต่อไป พิธีล่าสัตว์นี้ก็คงไม่ต้องจัดแล้วดีกว่า สู้รบกันทั้งสองแคว้นโดยตรงเลยจะดีกว่า
กู้ชิวเหลิ่งเอ่ยปากว่า:”สัตว์ในป่าหลวงนั้นล้วนเป็นสัตว์ป่าที่เลี้ยงดูไว้เอง จะมีงูพิษและสัตว์ร้ายได้อย่างไร? อีกอย่างตอนนี้มันเป็นฤดูใบไม้ผลิ เป็นเวลาการฟื้นตัวของทุกสิ่งทุกอย่าง แน่นอนว่าก็ไม่มีการลอกหนังกินเนื้ออะไรอยู่แล้ว แต่ถ้าหากมีงูพิษและสัตว์ร้ายโผล่ออกมาในพื้นที่ล่าสัตว์นี้จริง คงต้องมีการบุกรุกของสิ่งประหลาดจากภายนอกมาแน่นอน ความหมายของเซ่อเจิ้งหวางก็คือเขาจะกำจัดพวกสิ่งประหลาดเหล่านี้ออกไปให้หมดอย่างแน่นอน”
จวินฉีเซิ่งมองดูดวงตาคู่นั้นของกู้ชิวเหลิ่ง ยิ่งอยู่ก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคยมากขึ้นเรื่อยๆ และความคิดในใจที่อยากจะกำจัดกู้ชิวเหลิ่งทิ้งก็มากขึ้นเรื่อยๆ อาจมีแต่กู้ชิวเหลิ่งตายไป ความกลัวในใจที่เขามีต่อมู่หรงชิวนั้นถึงจะลดลงบ้าง และบางที หากฆ่ากู้ชิวเหลิ่งทิ้งแล้ว มู่หรงชิวก็จะไม่มาเข้าฝันเขาอีกแล้วก็ได้
อวี้ฉือกงไอแห้งและพูดว่า:”สิ่งที่คุณหนูรองพูดนั้นสมเหตุสมผล ข้าก็รู้สึกว่าการล่าสัตว์นี้เป็นเพียงแค่พิธีกรชนิดหนึ่ง ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุด หากมีงูพิษและสัตว์ร้ายจริง ด้วยพลังวิทยายุทธการต่อสู้อันขั้นเทพของเสด็จอา ก็คงจะไม่ปล่อยให้มันเป็นอันตรายต่อราชวงศ์ต้าเยียนอย่างแน่นอน และยิ่งจะไม่ทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อผู้คนของแคว้นฉีแน่”
จวินฉีเซิ่งปล่อยมือของหยินซวงซวงและพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า: “ความสามารถของคุณหนูรองแห่งแคว้นท่านนั้นช่างไม่มีใครเทียบได้จริงๆเลย ข้ารู้สึกชื่นชมมาก หากคุณหนูรองมีความสนใจต่อแคว้นฉีของพวกข้า ข้าสามารถเชิญคุณหนูรองไปที่แคว้นฉี สามารถเยี่ยมชมความสง่างามของแคว้นฉีได้ ไม่ทราบว่าคุณหนูรองยอมไปหรือไม่?”
หากเป็นเมื่อวานนี้ กู้ชิวเหลิ่งจะเห็นด้วยอย่างแน่นอน แต่หลังจากได้รับคำเตือนของอวี้ฉือจ้าน นางได้ระงับความคิดที่จะแก้แค้นลงแล้ว จวินฉีเซิ่งเป็นคนที่เจ้าเล่ห์และโหดร้าย และเมื่อวานนี้นางรีบร้อนเกินไป จวินฉีเซิ่งได้ทำการเตรียมป้องกันต่อนางไว้แล้ว ด้วยนิสัยที่ยอมฆ่าผิดแต่ไม่ปล่อยให้รอดไปของเขา จะไม่ไว้ชีวิตของนางอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นแม้ว่านางจะเดินเข้าไปใกล้จวินฉีเซิ่งที่สุดแล้ว ก็คงจะอยู่ได้ไม่นาน
อวี้ฉือจ้านกลัวกู้ชิวเหลิ่งจะคิดไม่ออก ดังนั้นจึงจ้องมองกู้ชิวเหลิ่ง
กู้ชิวเหลิ่งเพียงหยุดชะงักไปชั่วคราว จากนั้นก็เอ่ยปากพูดว่า:”ฮ่องเต้ฉีชมมากเกินไปแล้ว แม้หม่อมฉันจะศึกษาวัฒนธรรมของแคว้นฉีบ้าง แต่ในฐานะคนของต้าเยียน แถมยังมิมีการหมั้นหมายและมิได้ออกเรือน ไม่มีเหตุผลที่จะจากบ้านเกิดไป และตอนนี้ฮ่องเต้ฉีก็มีองค์หญิงเหอชิน หากหม่อมฉันไปแล้ว คงต้องถูกนินทาลับหลังแน่สิเพคะ?”
จวินฉีเซิ่งสังเกตเห็นว่าสีหน้าของฉินโม่เอ๋อร์ที่อยู่ไม่ไกลนั้นไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นจึงเปลี่ยนคำพูดว่า: “เป็นข้าที่คิดไม่รอบคอบเอง แต่ถ้าหากวันหลังคุณหนูรองแต่งงานแล้ว ยังมีความสนใจอยู่ ก็สามารถมาเที่ยวชมแคว้นฉีได้ ถึงตอนนั้นข้าจะปฏิบัติเหมือนแขกผู้มีเกียรติอย่างแน่นอน”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวต่อว่า:”หากหม่อมฉันแต่งงานแล้ว ก็คงต้องช่วยสามีสั่งสอนลูกอยู่ในเรือน หากมิได้รับการอนุญาตจากสามี ก็จะไม่ก้าวออกจากแคว้นแม้แต่ก้าวเดียว ความปรารถนาดีของฮ่องเต้ฉีนั้น หม่อมฉันรับไว้ในใจแล้ว”
กู้ชิวเหลิ่งปฏิเสธไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากจวินฉีเซิ่งยังเอ่ยปากเชิญอีก ก็จะเสียหน้าเป็นอย่างยิ่ง
จวินฉีเซิ่งหยุดพูดถึงเรื่องนี้จริงด้วย แล้วเปลี่ยนมาพูดว่า:”ในเมื่อคุณหนูรองพูดเช่นนี้ ข้าก็ไม่บังคับ ดูเวลาตอนนี้แล้ว พิธีการล่าสัตว์นี้ก็จะเริ่มแล้วสินะ?”
อวี้ฉือจ้านกล่าวว่า:”ยังมียามหนึ่ง แม่ทัพกู้ ตอนนี้ทหารของแคว้นพวกข้าอยู่ที่ใดกัน”
กู้ชิวถางสวมชุดเกราะ เดินออกมาจากในขบวนกองทัพ ท่าทางสง่าหล่อเหลา เสียงทุ้มและทรงพลัง: “ทูลเซ่อเจิ้งหวาง ทหารของแคว้นพวกข้าได้เตรียมการและพร้อมออกตัวอยู่ทางด้านหลังเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี ตั้งขบวน!”
อวี้ฉือจ้านเพิ่งพูดจบ ทุกคนที่อยู่ด้านข้างไม่มีใครไม่ทำสีหน้าประหลาดใจ เมื่อก่อนก็ไม่เคยรู้ว่ามีแบบนี้ด้วย กลับมาตั้งขบวนบนพื้นที่ล่าสัตว์?
เดิมทีสถานที่ที่กว้างใหญ่ กลับมีขบวนกองทัพโผล่ออกมา ประมาณหนึ่งพันคน ทุกคนต่างก็สวมชุดเกราะสีดำเอาไว้ แม้ว่าคนจะไม่มากนัก แต่ขบวนกองทัพก็พิถีพิถันและเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก
“เอี๊ยย!”
คนนับพันคนตะโกนอย่างพร้อมเพรียงกัน และเสียบหอกไว้บนพื้นดินหนึ่งนิ้ว เสียงนั้นดังลั่นสะเทือนเหมือนดั่งฟ้าร้องดังก้อง ซึ่งทำให้หัวใจของผู้คนสั่นไหวไปด้วย
สีหน้าของจวินฉีเซิ่งดูแย่มากนัก หากไม่ใช่เพราะสมาธิของเขาดี ในขณะนี้เขาก็คงจะตกตะลึงเหมือนคนอื่นแล้ว
คนที่อยู่ในนี้ที่ตกตะลึงที่สุดก็คือคนของซีจิ้ง พวกเขาคิดว่ากำลังทหารและม้ารบของพวกเขานั้นแข็งแกร่งที่สุด แต่ภายใต้การสั่นสะเทือนสยบของคนหลายพันคนนี้ พวกเขากลับดูเหมือนเล็กน้อยไม่ควรค่าแก่การแก่การกล่าวถึงเลย
กู้ชิวถางไม่จำเป็นต้องยืนอยู่บนที่สูง เพียงแค่ยืนอยู่ที่เดิมชักกระบี่แล้วตะโกนอย่างใจเย็นว่า:”ตั้งขบวน! ”
“ขอรับ! แม่ทัพ! ”
ทันทีที่เสียงออกมา อีกาและนกในป่าต่างก็บินกระจัดกระจายแตกแยกกันไปเพราะความตกใจ ป่าทั้งป่าเหมือนสั่นสะเทือนตามไปด้วย
จวินฉีเซิ่งยืนอยู่บนที่สูง อวี้ฉือกงก็มองได้อย่างชัดเจน เสียงเท้าดังและหนักแน่นกว่าเสียงเท้าม้า ส่งเสียง “ตึกตึกตึก” ออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน เริ่มตั้งขบวนก้าวแรก สีหน้าของจวินฉีเซิ่งก็ดูไม่ดีขึ้นเล็กน้อยแล้ว สุดท้ายกลับแม้แต่ยืนก็ยืนไม่ไหว
สีหน้าของอวี้ฉือจ้านนิ่งสงบเหมือนเดิม สีหน้าของจวินฉีเซิ่งเปลี่ยนไปตามที่ได้คาดเดาเอาไว้
กู้ชิวเหลิ่งก็ตกใจเช่นกัน สิ่งที่อวี้ฉือจ้านให้คนนับพันคนนี้แสดงคือวิธีการทำลายค่ายกล ค่ายกลที่ถูกทำลายนี้ เป็นค่ายกลที่นางสร้างขึ้นมาในเมื่อสี่ปีที่แล้ว จวินฉีเซิ่งใช้ค่ายกลนี้คว้าชัยชนะมากมายมาจนนับไม่ถ้วน ถึงตอนนี้ ยังไม่มีใครสามารถทำลายมันได้จริงๆ แต่ใช้เพียงคนหนึ่งพันคนนี้ อวี้ฉือจ้านก็ทำลายมันได้แล้ว ซึ่งหมายความว่า จวินฉีเซิ่งที่ไม่มีค่ายกลแล้วนั้น หากสู้รบขึ้นมาจริง คงต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน
เมื่อกู้ชิวเหลิ่งหันไปมองอวี้ฉือจ้าน พบว่าอวี้ฉือจ้านก็กำลังมองตัวเองอยู่ ในดวงตาคู่นั้นมีรอยยิ้มแฝงเอาไว้ กู้ชิวเหลิ่งรีบปกปิดหัวใจที่ตกตะลึงของตัวเองอย่างรวดเร็ว บนใบหน้าก็ยังคงนิ่งเฉยเหมือนเช่นเคย ราวกับว่าไม่ใส่ใจอะไรเลย
แต่ในใจ ก็รู้สึกนับถือและชื่นชมต่อความสามารถของอวี้ฉือจ้านแล้ว
ตระกูลมู่หรงเป็นแม่ทัพที่สู้รบชนะเป็นประจำของแคว้นฉี ค่ายกลที่มีมานับร้อยปีนั้น นางเพียงแค่ทำการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย กลับถูกอวี้ฉือจ้านดูออก ดูเหมือนว่าชื่อเทพสงครามของอวี้ฉือจ้านที่ว่านี้ ก็ไม่ใช่ได้มาแบบเปล่าๆ
เมื่อทำการตั้งขบวนเสร็จ ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในภาวะตกตะลึง แต่คนส่วนใหญ่ตกตะลึงเพราะพลังอันแข็งแกร่งของขบวนนี้ ไม่รู้ว่านี้คือวิธีการทำลายค่ายกล
ฝู้จื่อโม่มองดูใบหน้าของจวินฉีเซิ่งอย่างสนใจยิ่งนก กู้ชิวถางก็รู้สึกภาคภูมิใจยิ่ง พูดถึงวิธีการทำลายค่ายกลนี้ พวกเขาทั้งสองคนก็ถือได้ว่าคิดไปทุกวิถีทางมากนัก ส่วนอวี่เหวินเจี๋ยที่เคยปรึกษาหารือเรื่องนี้กับกู้ชิวถางเมื่อครั้งนั้น กลับรู้สึกไม่ค่อยดีใจนัก แต่กลับจ้องมองกู้ชิวเหลิ่งและอวี้ฉือจ้านอย่างตั้งใจ ไม่รู้ว่าทำไม เขากลับรู้สึกว่าระหว่างกู้ชิวเหลิ่งและอวี้ฉือจ้านสองคนนี้ มีความใจตรงกันซึ่งกันและกัน
กู้ชิวเหลิ่งรู้การกระทำในตอนนี้ของอวี้ฉือจ้านอยู่แล้ว ว่าประการแรกคือเพื่อตักเตือนจวินฉีเซิ่ง ค่ายกลที่ดีที่สุดของแคว้นฉีนั้นได้ถูกเขาทำลายไปแล้ว อย่างน้อยภายในสามสี่ปีนี้ จวินฉีเซิ่งก็จะไม่สามารถโจมตีต้าเยียนได้อีก
ประการที่สองคือเพื่อกดดันซีจิ้ง หลายปีที่ผ่านมานี้ซีจิ้งควบคุมกองกำลังทหารที่แข็งแกร่งและม้าที่แข็งแกร่งไว้เอง ดังนั้นจึงกำเริบเสิบสานยิ่งนัก อวี้ฉือจ้านใช้การตั้งขบวนเพื่อแสดงให้เห็นถึงกองกำลังทหารและม้าของต้าเยียน และยังสามารถทำการเตือนซีจิ้ง ซีจิ้งเป็นแคว้นเล็กๆ หลังจากเห็นกองกำลังของทหารและม้าของต้าเยียนในครั้งนี้แล้ว คงไม่มีใจคิดกบฏแน่นอน