ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่235 การตายของ มู่หรงอี๋
บนใบหน้าของวี่เฟยเหนียงเหนียงเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ซึ่งทำให้มู่หรงอี๋จำเป็นต้องระแวดระวัง: “เจ้าจะทำอะไร?”
วี่เฟยเหนียงเหนียงก้าวเข้าไปใกล้เรื่อยๆ และพูดว่า: “ข้าอยากทำอะไร?มู่หรงอี๋ เจ้าก็ไม่โง่ เรื่องที่ข้ากำลังจะทำนั้นเจ้าเดาออกแล้วไม่ใช่หรือ?ข้าจะฆ่าเจ้าเดี๋ยวนี้ เพื่อล้างแค้นให้ลูกคนแรกของข้า และให้เจ้า……เป็นแพะรับบาปตายแทนข้า!”
“เจ้า! หากเจ้าฆ่าข้า ฝ่าบาทจะไม่มีวันยกโทษให้เจ้าอย่างแน่นอน!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า มู่หรงอี๋ เจ้าเคยควบคุมฝ่าบาทไว้ในกำมือชัดๆ ไยตอนนี้ถึงได้โง่เขลาเยี่ยงนี้? ฝ่าบาทจะไม่ยกโทษให้ข้า?เขาแทบอยากจะขอบคุณข้า เพราะข้าช่วยเขาปกป้องเหมียวเจียงไว้สำเร็จ ส่วนเจ้า ก็เป็นเพียงหญิงไร้ที่พึ่งพักพิง ไร้อำนาจ เป็นเพียงตัวแทนคนหนึ่ง เจ้าถูกกำหนดไว้ต้องตายแทนข้า ก็แค่เร็วหรือช้าเท่านั้น เจ้าเองก็คาดเดาได้สินะ?ไม่เช่นนั้น จะนับพบพระชายาของเซ่อเจิ้งหวางในกลางดึกได้อย่างไร?ก็เพื่อเล่าความลับของเขาออกมา แลกกับชีวิตตัวเองไม่ใช่รึ?”
มู่หรงอี๋รู้สึกกังวลขึ้นมาทันที นางรู้ดีว่าสิ่งที่วี่เฟยเหนียงเหนียงพูดนั้นเป็นเรื่องจริง ดังนั้นนางจึงเร่งรีบที่จะพบจวินฉีเซิ่งกับกู้ชิวเหลิ่ง เมื่อมองดูเจตนาอาฆาตบนใบหน้าของวี่เฟยเหนียงเหนียง มีความคิดหนึ่งที่หนักแน่นอยู่ในใจของมู่หรงอี๋ คือนางกำลังจะถูกวี่เฟยเหนียงเหนียงฆ่าตาย และจะไม่มีใครมาช่วยนางอย่างแน่นอน!
“ข้าจะให้เจ้าตายเป็นเพื่อนลูกข้าเดี๋ยวนี้!”
เช้าตรู่ของวันที่สอง พบร่างของหลิ่วกุ้ยเหรินอยู่ในเรือนฉูหรวน ใบหน้าทั้งใบเปื่อยเน่าไปหมด สภาพการตายเหมือนกับฉินเฟยยิ่งนัก ทำให้ผู้คนรู้สึกตกใจมาก
แต่คนที่ตกใจกว่าคนอื่นๆ คงจะเป็นวี่เฟยเหนียงเหนียง เมื่อนางได้ยินข่าวนี้ ก็เงียบสงบ ไม่มีใครสามารถแบกรับความโกรธของวี่เฟยเหนียงเหนียงได้ เพียงแค่ปกติวี่เฟยเหนียงเหนียงไม่โกรธเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถเอาชีวิตรอดได้
แต่ในขณะนั้น วี่เฟยเหนียงเหนียงโมโหยิ่งนัก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคนรับใช้ตาฝาดไปหรือเปล่า กลับรู้สึกว่ามีผมสีขาวงอกขึ้นบนหัวของวี่เฟยเหนียงเหนียง
“ไป! ไปให้พ้นทั้งหมดซะ!”
นางกำนัลและขันทีรีบวิ่งออกไป และรีบพูดว่า “เพคะ พ่ะย่ะค่ะ”
วี่เฟยเหนียงเหนียงนั่งอยู่บนตั่งนอน และพูดกับชิงจวี๋ที่อยู่ข้างๆว่า”ยาล่ะ! เอายามาให้ข้า!”
ชิงจวี๋ได้เตรียมยาไว้แล้ว วางมันไว้ในมือของวี่เฟยเหนียงเหนียง และกล่าวว่า”เหนียงเหนียงโปรดอย่าโกรธเลย เรื่องนี้ต้องมีการวางแผนร้ายอย่างแน่นอนเพคะ”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดข้าก็รู้! เมื่อวานนี้มีคนมาขัดขวางแผนการ พวกข้าฆ่ามู่หรงอี๋ไม่สำเร็จ! แต่เช้าวันนี้ สภาพการตายของมู่หรงอี๋กลับเหมือนกับฉินเฟย ก็เพราะถูกวางยาพิษกู่เช่นเดี๋ยวกัน หรือว่าพิษกู่ของข้าจะหายไปอีกครั้ง?!”
วี่เฟยเหนียงเหนียงไม่ใช่คนโง่ คราวนี้ต้องมีคนจงใจใส่ร้ายนางแน่นอน และต้องการให้นางเป็นแพะรับบาป!
หากเดาไม่ผิด คนของจวินฉีเซิ่งจะมาเรียกตัวนางไปแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นนางคงจะไม่สามารถแก้ตัวได้แน่!
“ฝ่าบาททรงมีราชโองการ ประกาศให้วี่เฟยเหนียงเหนียงเข้าพบ!”
ทันใดนั้นวี่เฟยเหนียงเหนียงก็รู้สึกใจคอไม่ดี ถึงยามวิกฤตนี้แล้ว นางจะท้อถอยต่อไปไม่ได้อีก
วี่เฟยเหนียงเหนียงกำหมัดแน่น พูดว่า“ข้าต้องการเปลี่ยนชุด เจ้ารออยู่ตรงนี้สักครู่”
“ไม่ได้ ฝ่าบาทบอกแล้วว่าต้องการให้วี่เฟยเหนียงเหนียงเข้าเฝ้าเดี๋ยวนี้ มิอาจหน่วงเหนี่ยวได้แม้ติดนิด?”
ขณะนี้วี่เฟยเหนียงเหนียงคิดหาข้ออ้างที่จะอธิบายไม่ได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงถ่วงเวลาไว้เท่านั้น: “ก็แค่เสียพระสนมไปคนหนึ่ง สำคัญมากเช่นนี้เลยหรือ?”
ขันทีกล่าวด้วยความเคารพว่า: “ฝ่าบาทกล่าวว่า การตายของพระสนมเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ฉินเฟยเป็นใหญ่”
ฉินโม่เอ๋อร์ในฐานะองค์หญิงเหอชินที่สำคัญของทั้งสองแคว้น การตายของนางเป็นเรื่องใหญ่ เพียงแค่อาศัยสิ่งนี้ ทั้งสองแคว้นก็มีแนวโน้มที่จะทำสงครามกัน แต่ตอนนี้ท้องพระคลังของแคว้นฉีนั้นหมดเกลี้ยง จวินฉีเซิ่งไม่มีเงินที่จะไปสู้รบ หรือ……เขาอาจจะเอานางและเหมียวเจียงไปเป็นโล่ก็ได้
หลายปีมานี้ เล่ห์เหลี่ยมทั้งหมดที่จวินฉีเซิ่งใช้นั้นนางรู้แก่ใจทั้งหมด
ดูเหมือนว่าวี่เฟยเหนียงเหนียงจะตัดสินใจแล้ว นางพูดว่า”เจ้ารออยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวข้าเปลี่ยนชุดเสร็จ ก็มาแล้ว”
ขันทีพูดอย่างลังเล: “แต่……ฝ่าบาท?”
วี่เฟยเหนียงเหนียงหัวเราะเยาะเย้ย แล้วบอกว่า“ทางฝ่าบาทข้าจะเป็นคนไปอธิบายเอง ต้องการให้ขันทีอย่างเจ้ามาชี้หรือวิจารณ์อย่างสะเพร่าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
ขันทีถูกประโยคนี้ของวี่เฟยเหนียงเหนียงทำจนอับอายยิ่งนัก คนวังนี้ตั้งก็แบ่งแยกดูคนตามฐานะ เขาเป็นขันทีคนสนิทของจวินฉีเซิ่ง ย่อมสามารถเข้าใจความคิดของเจ้านายตัวเองได้อยู่แล้ว และรู้ว่าจวินฉีเซิ่งจะเสียสละวี่เฟยเหนียงเหนียงในฐานะคนไร้ประโยชน์แล้ว ประโยคคำพูดเมื่อครู่ของวี่เฟยเหนียงเหนียงนั้นเขาก็ได้แอบคิดแค้นวี่เฟยเหนียงเหนียงในใจแล้ว
วี่เฟยเหนียงเหนียงก็รู้ดีว่าจิตใจของคนในวังนี้เป็นเยี่ยงไร? แต่นางไม่กลัว นางยังมีไพ่สำคัญ นางรู้ความลับของจวินฉีเซิ่ง จุดนี้เกรงว่าจวินฉีเซิ่งเองก็คาดการไม่ถึงสินะ
วี่เฟยเหนียงเหนียงยิ้มมุมปาก นางเปลี่ยนชุดที่งดงามอย่างยิ่ง และใบหน้าที่สวยงามแต่เดิมนั้นก็งามและมีเสน่ห์มากเข้าไปอีก ทำให้ผู้คนไม่กล้าหายใจต่อหน้านาง
เมื่อวี่เฟยเหนียงเหนียงเดินออกมา ขันทีเพียงแค่ชำเลืองมองก็รีบก้มหัวลงทันที ไม่ว่าวี่เฟยเหนียงเหนียงจะแต่งตัวอย่างไร ก็ไม่สามารถเปลี่ยนชะตากรรมของตัวเองได้
“เหนียงเหนียง เชิญพ่ะย่ะค่ะ”
วี่เฟยเหนียงเหนียงพูดอย่างเฉยชาว่า“นำทาง”
ณ เรือนฉูหรวน ร่างของมู่หรงอี๋ยังไม่ได้เก็บทำความสะอาด เห็นเพียงแต่หญิงที่สวมชุดนางสนม นอนอยู่บนเตียงที่เย็น ใบหน้านั้นเน่าเปื่อยยิ่งนัก ดูไม่ออกแล้วว่ามันเป็นคนคนหนึ่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งแคว้นฉีอะไรนั้นอีกเลย
หมอหลวงคุกเข่าลงกับพื้นแล้วกล่าวว่า“สาเหตุการตายของหลิ่วกุ้ยเหรินนั้นเหมือนกับการตายของฉินเฟยเหนียงเหนียงในตอนนั้น เห็นได้ชัดว่าถูกวางยาพิษกู่ จากนั้นก็ใช้เสี่ยหลีจื่อเป็นตัวกระตุ้น ทำให้พิษกำเริบ”
จวินฉีเซิ่งเหลือบมองอวี้ฉือจ้านและกู้ชิวเหลิ่ง สีหน้าเริ่มมืดครึ้ม: “ข้ารู้แล้ว เจ้าถอยไปก่อน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
กู้ชิวเหลิ่งมองดูศพของมู่หรงอี๋ และกล่าวว่า”ดูเหมือนว่าหลิ่วกุ้ยเหรินไม่ใช่ฆาตกรที่ฆ่าฉินเฟย ไม่อย่างนั้นนางจะตายไปเหมือนฉินเฟยได้อย่างไร”
จวินฉีเซิ่งไม่สามารถพูดอะไรได้ในขณะนี้ จริงๆแล้วเขาวางแผนที่จะรัดมู่หรงอี๋ตายในวันนี้ แล้วแสร้งทำเป็นฆ่าตัวตายเพราะกลัวที่จะโดนลงโทษ เพื่อปิดปากของอวี้ฉือจ้านกับกู้ชิวเหลิ่ง ใครจะไปรู้ว่ากลับเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นในเมื่อคืนนี้ ทำให้คนไม่ทันตั้งตัว
วี่เฟยเหนียงเหนียงได้เข้าไปในเรือนฉูหรวนแล้ว เดิมทีตำหนักที่ไม่ใหญ่นั้นก็แออัดขึ้นทันที
ขันทีไปกระซิบข้างจวินฉีเซิ่งว่า”วี่เฟยเหนียงเหนียงถึงแล้ว”
วี่เฟยเหนียงเหนียงคำนับเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า”ถวายบังคมฝ่าบาท”
สีหน้าของจวินฉีเซิ่งมืดครึ้มยิ่งนัก: “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมื่อคืนนี้?”
วี่เฟยเหนียงเหนียงเงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า”หลิ่วกุ้ยเหรินโดนฆ่าตาย หรือฝ่าบาทสงสัยว่ามันมีส่วนเกี่ยวข้องกับหม่อมฉัน?”
อวี้ฉือจ้านกล่าวว่า”หรือว่าครั้งนี้ วี่เฟยเหนียงเหนียงยังจะบอกว่าพิษกู่ของตัวเองถูกขโมยไป?“
วี่เฟยเหนียงเหนียงกล่าวว่า“พวกเจ้าจะว่าอย่างไรก็ตาม แต่คนไม่ใช่ข้าฆ่า ใครจะไปรู้ว่าพิษกู่นี้เหลือมาจากครั้งที่แล้วหรือเปล่า? ไยถึงได้มาโทษแต่ข้า?”