ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่246 การเปิดตัวที่ดี
กู้ชิวเหลิ่งกระตุกมุมปากของตนขึ้นเล็กน้อย “ตกลง เช่นนั้นข้า……จะมิเข้าไป”
ในขณะที่มู่หรงอี๋ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก กู้ชิวเหลิ่งก็ได้หยิบกริชออกมาจากกระเป๋า เป็นกริชแบบเดียวกันที่ใช้ตัดนิ้วของมู่หรงอี มู่หรงอี๋ยังมิทันได้ตั้งตัว กู้ชิวเหลิ่งก็ได้โยนมันออกไปแล้วปักลงที่ตำแหน่งหัวใจของมู่หรงอี๋
“เจ้าวางใจเถิด เจ้ายังมิตายหรอก เจ้าเพียงจะรู้สึกว่าเลือดในร่างกายของเจ้าไหลออกมาจากหัวใจทีละน้อย ข้าคำนวณเวลาเอาไว้แล้ว เจ้าคงจะทรมานอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วจึงจะตายด้วยความเจ็บปวด”
กู้ชิวเหลิ่งมิสนใจกริดที่ปักอยู่บนอกของมู่หรงอี๋ นางกล่าวขึ้นว่า “ที่กริชนั่นมีหนอนพิษกู่ที่ถูกบดจนละเอียดเป็นผง ในมิช้าเจ้าก็จะรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งร่างกาย แต่ด้วยสภาพร่างกายของเจ้าในบัดนี้ เจ้าอาจจะต้องเจ็บปวดเสียจนนอนกลิ้งไปบนพื้นแล้วฉีกผิวหนังออกเป็นชิ้นๆ แม้ข้าจะอยากเห็นสภาพเจ้าในตอนนั้นเหลือเกิน แต่ข้ายังมีเรื่องสำคัญยิ่งต้องทำ เจ้าวางใจเถิด ข้าจะให้จวินฉีเซิ่งมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”
กู้ชิวเหลิ่งจากไปโดยมิเหลือเยื่อใย สำหรับมู่หรงอี๋เเล้ว นางได้รับผลกรรมอันโหดร้ายที่ควรได้รับ ระยะเวลาครึ่งชั่วโมงมากพอแล้วที่จะทำให้ มู่หรงอี๋ตายทั้งเป็นและเจ็บปวดทรมาน
กู้เจินรออยู่ที่หน้าประตูพักใหญ่ เขาจึงเอ่ยถามว่า “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
กู้ชิวเหลิ่งมิรู้ว่าเหตุใดกู้เจินจึงเอ่ยถามเช่นนี้โดยกะทันหัน นางจึงตอบว่า “เจ้าวางใจเถิด ท่าทางของนางเช่นนี้มิอาจคุกคามข้าได้อีกต่อไป”
กู้เจินกล่าวอย่างเขินอายว่า “ข้าลืมไปว่าตัวเจ้าในบัดนี้มิอาจมีผู้ใดทำร้ายเจ้าได้แม้แต่น้อย”
กู้ชิวเหลิ่งเหลือบมองไปที่ท้องฟ้าด้านนอกซึ่งค่อยๆ สว่างขึ้นแล้วกล่าวว่า “เมื่อสถานการณ์โดยรวมคลี่คล้ายแล้ว ข้าอยากจะขอร้องเจ้าเรื่องหนึ่ง”
“เจ้าว่ามา”
กู้ชิวเหลิ่งเม้มริมฝีปากกล่าวว่า “ข้าอยากให้เจ้าช่วยดูแลจวินหวาเทียนให้ข้า ได้หรือไม่?”
กู้เจินนิ่งเงียบแล้วกล่าวว่า “นับแต่นี้ไปเจ้าจะมิกลับมาแล้วใช่หรือ”
“อาจเป็นเช่นนั้น หรือบางทีข้าอาจจะกลับมา”
กู้ชิวเหลิ่งรู้สึกว่าบทสนทนานี้ค่อนข้างที่จะหนักใจ นางเองก็มิรู้ว่าในอนาคตนางจะกลับมาได้อีกหรือไม่ เพียงแต่นางมิอยากเห็นแคว้นฉีดินแดนแห่งนี้อีกแล้ว
บางทีกู้เจินอาจจะพูดถูก นางคงมิกลับมาอีกแล้ว
“ข้าเข้าใจ เจ้าวางใจเถิด ข้าจะดูแลอ๋องหวาแทนเจ้าอย่างดี”
กู้ชิวเหลิ่งพยักหน้า เสียงปืนใหญ่และพลุที่ด้านนอกยุติลง ขุนนางนับร้อยพากันทยอยเข้าเมืองหลวง กู้ชิวเหลิ่งรู้ว่าบัดนี้นางและอวี้ฉือจ้านควรจะเดินทางไปแล้ว
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า “หวาเทียนร่างกายมิสู้ดีนัก ลำบากเจ้าด้วย”
“อืม เจ้าวางใจเถิด ที่นี่มีข้าอยู่ทั้งคน”
กู้ชิวเหลิ่งละจากกู้เจินแล้วเดินตรงออกไปด้านนอกยังทิศทางตำหนักเย็น
อวี้ฉือจ้านรออยู่ที่นั่นครู่หนึ่งแล้ว กู้ชิวเหลิ่งจึงได้แต่กล่าวว่า “อีกประเดี๋ยวจะมีฉากเด็ดให้เราชม”
“ข้าจะคอยชมเป็นเพื่อนเจ้า”
“อืม”
สำหรับพิธีแต่งตั้งฮองเฮาคนใหม่แห่งแคว้นฉี อาจเป็นเพราะฮองเฮาเพิ่งจะสวรรคตไป พิธีเสกสมรสจึงจัดเตรียมได้มิดีนัก หยินซวงซวงและจวินฉีเซิ่งเดินจับมือกันขึ้นบันไดยาวหลายร้อยขั้นไปยังท้องพระโรงแล้วทำการคารวะฟ้าดิน
ทันใดนั้นเอง จวินฉีเซิ่งก็ยกมือขึ้นกุมหน้าอก หยินซวงซวงที่อยู่ด้านข้างเห็นดังนั้นก็ทำสีหน้าแปลกประหลาดใจ เอ่ยถามว่า “ฝ่าบาทเป็นอะไรไปเพคะ มิสบายตรงไหนหรือไม่?”
“ข้า……ข้า……”
จวินฉีเซิ่งมองดูตนเองด้วยความประหลาดใจ เดิมทีเขาจะกล่าวว่าข้ามิเป็นไร แต่ใครจะรู้เล่าว่าเขามิอาจกล่าวคำนั้นออกมาได้
เป่ยไห่เฟิงค้นพบความผิดปกติของจวินฉีเซิ่งได้ทันใด บอกตามตรงว่าหลายวันมานี้เขาได้กินดื่มรื่นรมย์อยู่ในวังหลังอย่างสบายอารมณ์ และมิอยากเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก แต่ว่ากู้ชิวเหลิ่งให้หลี่ต้าไห่บอกประโยคนั้นแก่เขา และเขาก็มิอยากเอาหน้าอุ่นๆ ไปแนบก้นเย็นของใคร
“อ๋องหวา นั่นคืออ๋องหวาใช่หรือไม่?”
สายตาของทุกคนถูกดึงดูดไป จวินหวาเทียนยืนอยู่ที่นั่น แม้ว่าสีหน้าของเขาจะดูซีดเสียว แต่ก็มองเห็นท่าทางอันสง่างามมิมีผู้ใดเทียบได้
“จดหมายเหล่านี้ข้าเป็นคนรวบรวมได้ ด้านในเป็นเนื้อหาที่จวินฉีเซิ่งร่วมมือสมรู้ร่วมคิดกับหนานชางโหวเพื่อทำร้ายตระกูลมู่หรง และสังหารบิดากับพี่น้องของตน”
ผู้นำขุนนางเป็นคนที่จวินฉีเซิ่งเคยช่วยเหลือไว้ในครั้งกระนั้น เขาก้าวไปด้านหน้าทันที กล่าวว่า “จวินหวาเทียนฆ่าพี่น้องและบิดา บีบบังคับให้ก่อกบฏ แต่กลับถูกฝ่าบาทจับได้เสียก่อน ด้วยเห็นแก่ความเป็นพี่น้องจึงมิได้ทำให้ถึงตาย กลับปล่อยให้ท่านมีชีวิตต่อไปได้ นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่แล้ว บัดนี้ท่านกลับมายังพระราชวัง เดิมทีก็นับว่าเป็นนักโทษหลบหนี กล้าดีอย่างไรมาเอ่ยวาจาไร้สาระในท้องพระโรงนี้”
“ข้ามิได้เอ่ยวาจาไร้สาระ หากมิเชื่อเจ้าลองเอ่ยถามฝ่าบาทดูก็รู้แล้ว”
จวินหวาเทียนมองไปทางจวินฉีเซิ่งแล้วเอ่ยถามว่า “จวินฉีเซิ่ง เจ้าสังหารพี่น้องและบิดา เรื่องนี้ช่างไร้คุณธรรมยิ่งนัก ข้ามีหลักฐานทั้งหมดอยู่ในมือ เจ้าอยากกล่าวสิ่งใดจงกล่าวมาให้โหมดเถิด”
กู้ชิวเหลิ่งกุมมืออวี้ฉือจ้านเอาไว้แน่น ใบหน้าของจวินฉีเซิ่งปรากฏเป็นเหงื่อไหลออกมา มองออกว่าเขาพยายามอดทนจนเหลือล้น
พิษกู่ที่วี่เฟยสั่งให้ชาวเหมียวเจียงส่งมานั้น ก็คือพิษกู่ที่สามารถทำให้คนเรากล่าวความจริงได้ จากนั้นก็จะเป็นบ้าคลั่งและตายไปในที่สุด
จวินฉีเซิ่งสัมผัสได้ว่าร่างกายของตนดูผิดปกติไป เขารู้สึกสับสนยิ่งนัก “ข้าเป็นคนทำ! เสด็จพ่อมิยินดีจะมอบตำแหน่งนี้แก่ข้า ดังนั้นคาดจึงได้บีบบังคับให้ภายในต้องเกิดกบฏ ตอนที่เจ้ามาถึง เสด็จพ่อถูกฆ่าตายไปแล้ว ข้าจึงได้โยนความผิดไปให้เจ้า เจ้ารับบาปเหล่านี้แทนข้า องค์รัชทายาทด้วย! องค์รัชทายาทก็ถูกฆ่าข้า ข้าได้ร่วมมือกันกับหนานชางโหว หลายปีมานี้ ข้าได้ส่งหญิงงามให้เขาเป็นจำนวนมิน้อย เพื่อให้เขาตายๆ ไปสักที”
จากนั้นดูเหมือนจวินฉีเซิ่งจะได้สติกลับคืนมา เขาพยายามปิดปากของตนเองเอาไว้มิให้กล่าว แต่คนในท้องพระโรงกลับได้ยินอย่างชัดแจ้ง
“ฝ่าบาททรงถูกผู้ร้ายวางยาพิษกู่ใช่หรือไม่ จึงได้กล่าวคำเช่นนั้นออกมา! อ๋องหวา ท่านวางยาใดให้แก่ฝ่าบาทกันแน่ ท่านจึงได้ควบคุมฝ่าบาทไว้เช่นนี้?”
จวินหวาเทียนหัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “ยาใดเล่าจะเก่งกาจเพียงนี้ สามารถควบคุมผู้คนได้งั้นหรือ ข้าเป็นคนเช่นไร ขุนนางทุกท่าน ณ ที่นี้มิรู้หรือ ข้ามิคิดจะวางยาผู้ใดด้วยวิธีอันต่ำต้อยเช่นนี้”
“ที่นั่งข้า ต้องการที่นั่ง!”
จวินฉีเซิ่งรู้สึกว่าหน้าอกของตนดูอึดอัดยิ่งนัก ทำให้ดวงตาทั้งสองข้างของเขาแดงเรื่อ เขามิรู้ตัวว่ากล่าวสิ่งใดออกมาบ้าง รู้เพียงแต่ว่ามันปวดและเจ็บยิ่งนัก ประโยคที่กล่าวออกมาเมื่อครู่ดูเป็นความฝัน
หยินซวงซวงหนีออกห่างจากจวินฉีเซิ่ง เนื่องจากจวินฉีเซิ่งขาดสติไป จำจวินหวาเทียนและขุนนางทั้งหลายมิได้
ในวันนี้ขุนนางบู๊บุ๋นนับร้อยมารวมตัวกัน กลับได้เห็นฉากตลกเช่นนี้
จวินฉีเซิ่งโยนมงกุฎที่สวมอยู่บนศีรษะลงพื้น แล้วสะบัดแขนเสื้อจนยุ่งเหยิงราวกับคนคลุ้มคลั่ง
อวี้ฉือจ้านก้าวเข้ามาจับตัวจวินฉีเซิ่งเอาไว้ เมื่อพบว่าจวินฉีเซิ่งดูท่าทางเหมือนคนคลุ้มคลั่ง แววตาเหม่อลอย จึงได้กล่าวว่า “เขาบ้าไปแล้ว”
“ฮ่องเต้บ้าไปแล้ว นี่มัน……”
ขุนนางทั้งหลายเพิ่งจะได้สติกลับคืนมา ฮ่องเต้เกิดอาการเสียสติไปในวันแต่งตั้งฮองเฮา เรื่องนี้มิเคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์
“เรียกหมอหลวง เรียกหมอหลวงเร็วเข้า!”
อวี้ฉือจ้านจัดการกับจวินฉีเซิ่งจนสลบลงไป จวินหวาเทียนหยิบกระดาษใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อกล่าวว่า “นี่คือจดหมายคำสั่งจากฮ่องเต้พระองค์ก่อน ทุกท่านคงจะจำลายมือของฮ่องเต้พระองค์ก่อนได้ ควรจะรู้ว่าข้ามิได้โกหกแต่ประการใด”