ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่247 จวินฉีเซิ่งคลุ้มคลั่ง
จวินหวาเทียนกางพระราชโองการในมือของตนออกเพื่อเผยให้เห็นถึงเนื้อความในการสืบทอดบัลลังก์ให้แก่อ๋องหวาอย่างชัดเจน
เหล่าขุนนางทั้งหลายมิรู้ว่าจะเอ่ยอย่างไรดี ในตอนนั้นที่จวินฉีเซิ่งขึ้นครองบัลลังก์ ปรากฏหนานชางโหวซึ่งเดิมทีควรจะถูกตระกูลมู่หรงจัดการเสียเนิ่นนาน แต่ในตอนนั้นอำนาจอยู่ในมือของจวินฉีเซิ่ง พวกเขาจึงจำเป็นต้องไปตามน้ำแล้วหลับตาข้างหนึ่ง
บัดนี้หนานชางโหวก็สิ้นใจลงแล้ว ส่วนจวินฉีเซิ่งก็เกิดอาการบ้าคลั่ง ในเมื่อจวินหวาเทียนซึ่งถูกเนรเทศไปเมื่อครั้งกระนู้นเดินทางกลับมาอีกครั้งพร้อมกับพระราชโองการของฮ่องเต้พระองค์ก่อนในการให้เขาสืบทอดบัลลังก์ จะมีเรื่องใดน่าตื่นตระหนกกว่านี้อีกหรือ
กู้ชิวเหลิ่งรู้ดีว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นพวกขี้ขลาด จึงได้สั่งให้จวินหวาเทียนปรากฏกายขึ้นในบัดนี้ ประการแรก เพื่อทำให้คนอื่นๆ มิทันได้ระวังตัว ประการที่สอง ต้องการจะรู้ว่าในราชสำนักนี้มีคนของจวินฉีเซิ่งอยู่อีกเท่าไหร่
สถานการณ์บัดนี้ถูกกำหนดไว้แล้ว ในตอนนั้นทุกคนที่ใส่ร้ายทำลายตระกูลมู่หรงจะมิรอดอย่างแน่นอน
“หมอหลวงมาแล้ว”
ที่ด้านนอกห้องโถง หมอหลวงวัยชราคนหนึ่งเดินตัวสั่นเงินงกเข้ามา ยังมิทันจะได้คุกเข่าคารวะ ก็ได้ยินกู้ชิวเหลิ่งเอ่ยขึ้นว่า “มิจำเป็นมากพิธีความ ดูเหมือนร่างกายของฮ่องเต้ฉีจะผิดปกติไป จงรีบมาดูเร็วเข้าว่าเขาเป็นโรคใด หรือถูกวางยาพิษอะไร”
กู้ชิวเหลิ่งกัดฟันกล่าวออกมาว่าถูกพิษอะไร บรรดาขุนนางทั้งหลายที่อยู่ในที่แห่งนี้คงจะเกิดความสงสัยขึ้นบ้าง การที่จวินฉีเซิ่งกล่าววาจาบ้าคลั่ง จากนั้นจวินหวาเทียนก็เดินทางมาถึง มิว่าใครก็ตามคงจะสงสัยว่าเป็นแผนซึ่งวาดไว้โดยจวินหวาเทียนอย่างแน่แท้
บัดนี้หมอหลวงเหงื่อเย็นท่วมตัว นี่มันงานอะไรกัน? หากเขากล่าวผิดเพียงประโยคเดียวก็อาจส่งผลถึงแก่ชีวิตได้
กู้ชิวเหลิ่งเห็นว่าหมอหลวงทำท่าทางดูงกเงิ่นๆ จึงได้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ยังมิรีบมาให้การรักษาฮ่องเต้ฉีอีก”
หมอหลวงจึงวิ่งเข้าไปด้วยตัวสั่นสะท้านว่า “……พ่ะย่ะค่ะ”
เขาได้แต่ก้มหน้าก้มตาลงมิกล้าเงยหน้าขึ้นมามองใคร เมื่อเขาเข้าไปใกล้จวินฉีเซิ่ง จู่ๆ จวินฉีเซิ่งก็เบิกตากว้าง เขาเข้าไปคว้าคอเสื้อของหมอหลวงเอาไว้อย่างดุเดือด ตะโกนว่า “ข้าเป็นบุตรหลานของมังกรอย่างแท้จริง ข้าเป็นบุตรหลานของมังกร ไอ้หน้าไหนก็ตามมิอาจแย่งตำแหน่งฮ่องเต้ไปจากข้าได้ มิได้ทั้งสิ้น!”
อวี้ฉือจ้านยืนอยู่ด้านข้าง และทำจัดการกับจวินฉีเซิ่งให้หมดสติอีกครั้ง
หมอหลวงตกอกตกใจเสียจนเหงื่อไหลย้อย จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังมิได้สติกลับคืนมา
กู้ชิวเหลิ่งเลิกคิ้วขึ้น กล่าวว่า “หมอหลวงยังมัวชักช้าอยู่ไย มิอยากจะเก็บศีรษะไว้งั้นหรือ?”
หมอหลวงรีบหมอบลงไปบนพื้นกล่าวว่า “กระหม่อมมิกล้า กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้ฉือจ้านเตะหมอหลวงเข้าไปทีหนึ่ง กล่าวด้วยความเย็นชาว่า “หากยังเอ่ยมากความระวังข้าจะตัดศีรษะเจ้าทิ้งเสีย”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะวินิจฉัยบัดเดี๋ยวนี้……”
ผู้คนที่อยู่รอบข้างมองดูท่าทางของอวี้ฉือจ้านดังนั้น ล้วนพากันนิ่งเงียบมิกล้าส่งเสียง ต้องรู้ว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขาก็คืออวี้ฉือจ้าน เป็นเทพแห่งสงครามของต้าเยียน พวกเขามิกล้าที่จะทำให้เขาโกรธ ดังนั้นจึงทำได้เพียงมองดูจวินฉีเซิ่ง กระทำการอย่างโอ้อวด
หมอหลวงเอื้อมมือมาจับไปที่ชีพจรของจวินฉีเซิ่ง หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก็ได้กล่าวว่า “พระวรกายของฝ่าบาทมิได้มีสิ่งใดผิดปกติไป อาจเป็นเพราะจิตใจค่อนข้างร้อนรุ่ม คาดว่าคงจะเกิดจากอาการอดนอนในหลายวันมานี้ ทำให้……”
อวี้ฉือจ้านถามอย่างเย็นชาว่า “ทำให้อะไร ทำให้กล่าววาจาไร้สาระหรือ?”
จวินหวาเทียนยืนอยู่ด้านข้าง เขามิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาแม้แต่น้อย กู้ชิวเหลิ่งเหลือบมองไปยังจวินฉีเซิ่งที่อยู่บนพื้น จวินฉีเซิ่งกระอักฟองสีขาวออกจากปาก หมอหลวงตั้งใจจะเข้าไปสัมผัสร่างกายของจวินฉีเซิ่ง แต่วินาทีที่นิ้วมือสัมผัสไปยังบริเวณจมูกของจวินฉีเซิ่ง ก็ต้องชะงักลงทันใด“ฝ่าบาทสวรรคตแล้ว!”
เมื่อประโยคนี้ถูกกล่าวออกมา ขุนนางน้อยใหญ่ ณ ที่นั่นต่างพากันกระซิบกระซาบ ฮ่องเต้สวรรคตทันทีหลังจากการสถาปนาฮองเฮา นี่มันเรื่องอะไรกัน?
จวินหวาเทียนเหลือบมองไปยังจวินฉีเซิ่งที่นอนอยู่บนพื้นแล้วกล่าวว่า “จวินฉีเซิ่งแย่งชิงบัลลังก์นี้ไป บัดนี้รับผลกรรมที่ทำไว้แล้ว พระราชโองการของฮ่องเต้พระองค์ก่อนอยู่ในมือข้า กล่าวว่าให้ข้าเป็นผู้สืบทอด หากผู้ใดมิเชื่อสามารถเดินทางก้าวเข้ามาอ่านได้ ข้ายังมีหลักฐานในการมัดตัวว่าจวินฉีเซิ่งเป็นผู้กระทำผิด จดหมายนี้มีตราประทับของจวินฉีเซิ่งอยู่ด้วย ทุกท่านสามารถมาตรวจสอบได้”
เป็นธรรมดา มิมีใครกล้าที่จะก้าวไปข้างหน้าเพื่อดูว่าถูกต้องหรือไม่ บัดนี้ทุกคนล้วนรู้ดีถึงสถานการณ์ตรงหน้า มิมีใครกล้าทำให้จวินหวาเทียน ว่าที่ฮ่องเต้คนต่อไปต้องขุ่นเคืองใจได้
“ทำไมเล่า มิมีใครอยากพิสูจน์งั้นหรือ?”
ทันทีที่น้ำเสียงของจวินหวาเทียนสิ้นสุดลง ขุนนางที่อยู่รอบข้างก็หันมามองหน้ากันแล้วคุกเข่าลงพื้นตะโกนว่า “คารวะฮ่องเต้ ขอทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นปีหมื่นหมื่นปี!”
อวี้ฉือจ้านและกู้ชิวเหลิ่งหันมาชำเลืองมองกัน จากนั้นกู้ชิวเหลิ่งก็เหลือบมองไปยังจวินฉีเซิ่งที่อยู่บนพื้น ริมฝีปากของนางเผยอขึ้นอย่างเยือกเย็น
เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว จวินหวาเทียนสามารถปรากฏกายต่อหน้าสาธารณชนได้อย่างราบรื่น จากนั้นขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้คนต่อไปในฐานะอ๋องหวา
อย่างไรก็ตาม เรื่องพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้นจะต้องจัดขึ้นในภายหลัง ตอนที่จวินฉีเซิ่งลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง กลับพบว่าตนนอนอยู่ในห้องอันมืดสนิท สติของเขากลับคืนมากว่าครึ่ง
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันแต่งตั้งฮองเฮา แต่ตนกลับมานอนอยู่ที่นี่ ช่างน่าแปลกยิ่งนัก
เมื่อประตูถูกเปิดออก จวินฉีเซิ่งจึงได้มองเห็นแสงจันทร์จากด้านนอกเล็กน้อย กู้ชิวเหลิ่งก้าวเข้ามาด้วยท่าทางอันสง่างาม จวินฉีเซิ่งตั้งใจจะลุกขึ้นจึงได้พบว่าเขามิอาจขยับตัวได้
แขนขาทั้งสองข้างถูกล่ามไว้ด้วยโซ่เหล็ก เกิดเสียงดังสนั่นลั่นหู
“พระชายาเซ่อเจิ้งหวางทำอะไรกันเล่า เหตุใดยังมิปล่อยข้าไปอีก?”
จวินฉีเซิ่งมองมาด้วยท่าทางอันตื่นตระหนก เขาสัมผัสได้ว่าเรื่องราวดูผิดปกติไป หลังจากที่พิธีแต่งตั้งฮองเฮาดำเนินไปได้ครึ่งหนึ่ง เขาก็รู้สึกสับสนงุนงง ต่อจากนั้นเกิดเรื่องราวใดขึ้นเขาก็มิรู้อีกเลย
“จวินฉีเซิ่ง เจ้าคิดว่าเจ้ายังคงเป็นฮ่องเต้ผู้สูงส่งอยู่งั้นหรือ เจ้ามิรู้สภาพของตนเองบ้าง ในบัดนี้มิต่างอันใดกับหมาหลงที่ทำมิได้แม้แต่จะขยับเขยื้อนมิใช่หรือไร”
กู้ชิวเหลิ่งดูเหมือนจะนึกได้ถึงฉากที่นางถูกขังอยู่ในคุกใต้ดิน นางสามารถสนับสนุนจวินฉีเซิ่งให้ขึ้นไปครองบัลลังก์ได้ เช่นนั้นนางก็สามารถดึงเขาลงมาได้ด้วย
สายตาของจวินฉีเซิ่งมองไปทางกู้ชิวเหลิ่งด้วยความมืดมน “ประโยคนี้ของเจ้าหมายความว่าอย่างไร เจ้ารู้หรือไม่ว่าการลักพาตัวฮ่องเต้ซึ่งเป็นผู้นำแห่งแคว้นจะต้องได้รับบทลงโทษเช่นไร ข้าทำเรื่องใดให้เจ้าขุ่นเคืองใจกัน เจ้าจึงต้องปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้?”
“บัดนี้ผู้นำแคว้นคือจวินหวาเทียน อ๋องหวา มิใช่เจ้าจวินฉีเซิ่ง”
กู้ชิวเหลิ่งนั่งยองๆ แสงจันทร์ส่องกระทบบนใบหน้าของนาง ดวงตาคู่นั้นช่างงดงามเป็นพิเศษ แต่จากแววตาคู่นี้จวินฉีเซิ่งราวกับเห็นใครอีกคน
ส่วนจวินหวาเทียน เขาได้ส่งคนไปฆ่าตายแล้วมิใช่หรือไร เหตุใดจู่ๆ จึงได้ขึ้นเป็นผู้นำแห่งแคว้น? อีกอย่างจะว่าไป เขายังมิตาย เขาจึงจะเป็นราชาของแผ่นดิน!
เมื่อเห็นท่าทีอันสับสนในสายตาของจวินฉีเซิ่ง กู้ชิวเหลิ่งจึงได้กล่าวขึ้นว่า “เรื่องราวที่เกิดขึ้นในพิธีแต่งตั้งฮองเฮา เจ้าจำมิได้แล้วงั้นหรือ เจ้ายอมรับกับปากของตนเองแท้ๆ ว่าเมื่อสี่ปีก่อนเจ้าสังหารบิดาและพี่น้องของตน ร่วมมือสมรู้ร่วมคิดกับหนานชางโหวทำร้ายจนตระกูลมู่หรงต้องถึงแก่จุดจบ เจ้าจำมันมิได้เลยงั้นหรือ?”
จวินฉีเซิ่ง เอ่ยถามเสียงหลง “เจ้าว่าอย่างไรนะ?”
เขาทำอย่างนั้นได้อย่างไร เขาจะกล่าวประโยคเหล่านั้นในพิธีแต่งตั้งฮองเฮาได้อย่างไร?!
“ข้าบอกว่า เจ้ามิรู้เลยหรือว่าตนทำเรื่องอะไรลงไป แต่ก็มิเป็นไรหรอก บัดนี้ในสายตาคนอื่นๆ เจ้าเป็นเพียงแค่คนตายคนหนึ่ง บรรดาขุนนางน้อยใหญ่ที่เกรงกลัวเจ้า หลังจากที่เจ้าตายไปแล้วพวกเขาก็ได้เอ่ยสรรเสริญอ๋องหวาว่าเป็นฮ่องเต้ และพากันถวายพระพรให้แก่เขา!”