ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 102
ลำนำสตรียอดเซียน – ตอนที่ 102 เข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิอีกครั้ง
โม่เทียนเกอจ้องอย่างเหม่อลอยไปที่ยาสร้างฐานแห่งพลังสามเม็ดที่กลิ้งอยู่ในจาน
หลังจากนางได้มอบสูตรยาไปก็มีใครบางคนแวะมาเพื่อส่งของรางวัลให้ ของรางวัลไม่ใช่แค่ยาสร้างฐานแห่งพลังสามเม็ดที่ตกลงกันไว้เท่านั้น แต่ยังมีสมบัติบางอย่างเช่น ยาวิเศษ และศิลาวิญญาณอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีศิษย์อีกคนที่มาเพื่อมอบของอีกสองสามอย่างให้นางด้วยในวันต่อมา ท่ามกลางของเหล่านี้มียาเพิ่มพลังการก่อเกิดเพิ่งปรุงเสร็จใหม่ๆ ที่มีคุณภาพดีกว่าของนางมากนัก ที่จริงแล้วของเหล่านี้ถูกมอบให้นางตามคำสั่งของท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง
ว่ากันตามตรง ของที่นางได้รับมาในช่วงสองวันนี้ยังมีมูลค่ามากกว่าทรัพย์สินของนางทั้งหมดรวมกันเสียอีก เพราะอย่างนั้น นางจึงไม่ได้รู้สึกเสียใจกับการต้องเสียสูตรยาไป อย่างน้อยทั้งสองคนนั้นจากตระกูลชินก็ไม่ได้ฉวยมันไปโดยการใช้กำลัง แถมยังปฏิบัติกับนางอย่างดีเป็นการตอบแทนอีกด้วย
หลังจากใช้เวลาระยะหนึ่งคิดถึงเรื่องต่างๆ ในที่สุดนางจึงเก็บของให้เรียบร้อยและเดินทางไปยังถ้ำเซียนของอาจารย์ลุงเสวียนอิน
นางใช้แผ่นจารึกประจำตัวเปิดม่านพลังที่อยู่นอกสุด ผ่านศิษย์ที่เฝ้าประตู และเดินเข้าไปในห้องโถงของถ้ำเซียนอาจารย์ลุงเสวียนอิน
เมื่อโม่เทียนเกอเดินเข้าไป นางเห็นว่าเว่ยจยาซืออยู่ที่นี่เช่นกัน นางมองโม่เทียนเกอเดินเข้าโถงมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย โดยไม่สนใจเว่ยจยาซือแม้แต่นิดเดียว โม่เทียนเกอคุกเข่าและทำความเคารพอาจารย์ลุงเสวียนอินทันที “ศิษย์โม่เทียนเกอคารวะท่านอาจารย์ลุงเสวียนอิน”
“ลุกขึ้น” อาจารย์ลุงเสวียนอินพูดด้วยสีหน้าที่ดูมีเมตตา
“ศิษย์ขอขอบคุณท่านอาจารย์ลุง” โม่เทียนเกอยืนขึ้นและหันไปหาเว่ยจยาซือเพื่อทักทายนาง “ศิษย์พี่เว่ย”
เว่ยจยาซือที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเพียงแค่ส่งเสียงในลำคออย่างเย็นชาเป็นคำตอบและหันหน้าหนีเพื่อจะได้ไม่ต้องมองโม่เทียนเกอ
โม่เทียนเกอไม่ได้โกรธกับการตอบสนองเช่นนั้นของนาง นางแค่ก้มหัวและยืนขึ้น
อาจารย์เต๋าเสวียนอินจ้องนางและถามอย่างอบอุ่นว่า “เทียนเกอ มีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ” โม่เทียนเกอก้มหน้าและรายงาน “สองวันก่อน ท่านปรมาจารย์จิ้งเหอมอบยาสร้างฐานแห่งพลังสามเม็ดให้แก่ศิษย์ ดังนั้น ศิษย์จึงมาเพื่อขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์ลุง ท่านอาจารย์ลุงเจ้าคะ จะเป็นการเหมาะสมหรือไม่หากศิษย์จะเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิอีกครั้ง”
“เรื่องนี้…” อาจารย์เต๋าเสวียนอินพึมพำด้วยความลังเลครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า “เจ้าเพิ่งเสร็จสิ้นจากการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิอยู่หกเดือน เจ้าไม่รู้สึกเหนื่อยรึ”
โม่เทียนเกอตอบพร้อมกับส่ายหน้า “ศิษย์ไม่รู้สึกเหนื่อยเลยเจ้าค่ะ การสร้างฐานแห่งพลังเป็นเรื่องที่อยู่ในจิตใจของศิษย์เสมอ”
อาจารย์เต๋าเสวียนอินกล่าว “โดยทั่วไป เพราะผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณไม่ได้อยู่ในสภาวะจิตที่มั่นคง พวกเขาจึงไม่ควรอยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิมากกว่าครึ่งปี ส่วนการปิดประตูแห่งจิตอย่างต่อเนื่องนั้นยิ่งไม่สมควรเข้าไปใหญ่ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเจ้าดูมั่นใจแน่วแน่ ข้าคิดว่าคงจะไม่มีปัญหามากมายอะไร หากเจ้าต้องการเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิอีกครั้งในตอนนี้ก็ย่อมได้ แต่สำหรับการสร้างฐานแห่งพลัง จิตใจที่สงบสุขและพลังวิญญาณที่ไม่มีอะไรขัดขวางนั้นจำเป็นต่อการประสบผลสำเร็จ ถ้าใจของเจ้ากระวนกระวาย เจ้าต้องหยุดทันที”
พอได้ยินคำตอบของอาจารย์ลุงเสวียนอิน โม่เทียนเกอพูดด้วยความยินดีว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น ศิษย์จะเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิอีกครั้งในวันพรุ่งนี้”
อาจารย์เต๋าเสวียนอินยิ้มและพยักหน้า เขากล่าวว่า “เจ้ารู้ขั้นตอนของการสร้างฐานแห่งพลังอยู่แล้ว ดังนั้นเจ้าไม่ต้องมารายงานกับข้าอีก เจ้าสามารถตัดสินใจเองได้เลย”
บัดนี้เมื่อนางได้รับอนุญาตแล้ว โม่เทียนเกอจึงเตรียมตัวสำหรับการปิดประตูแห่งจิตของนางอีกครั้ง
นางมียาเกลาฐานแห่งพลังเหลือเพียงแค่เม็ดเดียวจากที่นางเอามาจากเจียงเฉิงเสียน สำหรับยาเพิ่มพลังการก่อเกิด ในสองเม็ดที่นางสามารถปรุงยาได้ครั้งก่อน นางใช้ไปเพียงเม็ดเดียวเท่านั้น เป็นโชคดีของนางที่อาจารย์ลุงโส่วจิ้งได้ส่งยาที่เพิ่งปรุงเสร็จใหม่ๆ มาให้นางเพิ่มอีก
เมื่อนางรู้สึกว่าการเตรียตัวของนางเพียงพอแล้ว นางจึงแจ้งให้หลัวเฟิงเสวี่ยและเย่จิงเหวินซึ่งเป็นคนที่นางนับว่าเป็นสหายทราบเกี่ยวกับการเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิอีกครั้ง เย่จิงเหวินรีบมาทันทีก่อนที่นางจะเริ่มและบอกนางซ้ำๆ เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่ต้องระวัง ในทางกลับกัน หลัวเฟิงเสวี่ยเพียงแค่สัญญาว่าจะดูแลสวนสมุนไพรของนางให้เป็นอย่างดีในตอนที่นางอยู่ในสมาธิปิดประตูแห่งจิต
หลังจากจัดการกับหลายๆ เรื่อง โม่เทียนเกอจึงปิดถ้ำเซียนของนางอีกครั้ง บางทีในสายตาคนอื่นๆ การเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเพื่อหวังจะสร้างฐานแห่งพลังของตัวเองหลังจากเพิ่งล้มเหลวไปเมื่อไม่กี่วันก่อนอาจจะดูหุนหันพลันแล่นไปหน่อย กระนั้นโม่เทียนเกอกลับสงบนิ่งมาก อันที่จริง ในช่วงสามเดือนสุดท้ายระหว่างการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิครั้งก่อน นางก็รู้อยู่แล้วว่านางสร้างฐานแห่งพลังไม่สำเร็จ นางยังคงอยู่ข้างในก็เพราะนางอยากจะใช้ฤทธิ์ของยาสร้างฐานแห่งพลังเพื่อชำระล้างพลังวิญญาณทั้งร่างของนางให้บริสุทธิ์ เป็นเพราะเรื่องนี้นางเลยไม่ได้รู้สึกว่านางรีบเร่งเกินไป
ด้วยใจที่เบิกบานและจิตที่มั่นคง โม่เทียนเกอหลับตาและทำใจให้สงบ ดำดิ่งลงสู่โลกแห่งการฝึกตนอีกครั้งหนึ่ง
ทุกยอดเขาของภูเขาไท่กังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ ถ้ำของนางตั้งอยู่ใกล้กับถ้ำเซียนของอาจารย์เต๋าเสวียนอิน ดังนั้นพลังวิญญาณจึงยิ่งมีมากเหลือล้น
โม่เทียนเกอเริ่มโคจรพลังวิญญาณของนางช้าๆ เริ่มจากตานเถียนของนาง นางเคลื่อนมันไปตามเส้นลมปราณจนในที่สุดมันก็วนกลับมาที่ตานเถียนอีกครั้ง พลังวิญญาณจากภายนอกก็ค่อยๆ ไหลเข้ามารอบๆ ตัว เข้าสู่ร่างกาย และค่อยๆ หายเข้าไปในเส้นลมปราณของนาง
พลังวิญญาณแห่งหยินภายในร่างกายของนางกำลังเคลื่อนไปอย่างราบรื่น อย่างไรก็ตาม มันไม่มีปริมาณเพิ่มขึ้นแม้แต่น้อยถึงแม้นางจะซึมซับพลังวิญญาณมากมายมาจากข้างนอกก็ตาม พลังที่นางซึมซับเข้ามาโคจรไปในร่างกายของนางแค่เพียงครู่เดียวก่อนที่มันจะค่อยๆ สลายไป
การเข้าถึงขั้นสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณหมายความว่าถ้านางไม่สามารถสร้างฐานแห่งพลังของตัวเองได้ ความก้าวหน้าในการฝึกตนของนางก็จะไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้อีก อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอไม่ได้รู้สึกถึงความเร่งรีบอะไร นางแค่ควบคุมพลังวิญญาณของนางอย่างช้าๆ ต่อไป ค่อยๆ เคลื่อนมันทีละน้อยไปตามวงโคจรจุลจักรวาลจนกว่านางจะคุ้นชินกับมัน
หลังจากระยะเวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่ทราบแน่ชัด ในที่สุดร่างกายของนางก็รู้สึกเหมือนกลายเป็นจักรวาล นางเริ่มจะทานยาวิเศษเสริมทีละเม็ดๆ และจบด้วยยาสร้างฐานแห่งพลังหนึ่งเม็ดจากที่นางได้รับมา
ปริมาณพลังวิญญาณในร่างกายของนางเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าทุกตารางนิ้วของเส้นลมปราณนางจะแยกออกจากกัน แต่สีหน้าของนางยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นางยังคงควบคุมโลกภายในร่างกายของนางอย่างมั่นคงตามจังหวะก่อนหน้านี้ ค่อยๆ พลิกมันกลับไปมาโดยไม่ถูกความเปลี่ยนแปลงภายนอกรบกวน
แรงที่เข้าครอบงำค่อยๆ กระจายเข้าสู่พลังวิญญาณแห่งหยินของนางและกลมกลืนไปกับมันด้วยซ้ำ
เมื่อแรงของพลังวิญญาณอ่อนกำลังลง นางแทบจะไม่ต้องคิดและตัดสินใจทานยาสร้างฐานแห่งพลังเข้าไปอีกเม็ดพร้อมกันกับยาเพิ่มพลังการก่อเกิด
คนสองคนที่กำลังจับตามองความคืบหน้าของนางโดยใช้จิตสัมผัสของพวกเขาถึงกับตกใจกับการกระทำของนางและเกือบจะสั่งให้นางหยุดทันที อย่างไรก็ตาม ครั้นสังเกตเห็นว่านางยังคงควบคุมพลังวิญญาณอย่างสงบนิ่ง พวกเขาจึงล้มเลิกความคิดไป
หากยาสร้างฐานแห่งพลังเม็ดแรกก่อให้เกิดลมบ้าคลั่งภายในร่างกายนาง ยาสร้างฐานแห่งพลังเม็ดที่สองก็นำพาคลื่นอันน่ากลัวหลายลูกมาสู่ตัวนาง คลื่นลูกแล้วลูกเล่าโหมกระหน่ำเข้าใส่เส้นลมปราณของนาง ทว่านางก็ยังคงนิ่ง ไม่เพียงแต่นางจะไม่ต่อต้าน แต่นางยังหลอมรวมตัวนางเข้ากับคลื่นเหล่านั้นและล่องลอยไปพร้อมกับมันอีกด้วย เมื่อเริ่มจับจังหวะชีพจรภายในคลื่นเหล่านั้นได้ในที่สุด นางจึงค่อยๆ เข้าควบคุมเหนือคลื่นพวกนั้น
เมื่อนางทานยาสร้างฐานแห่งพลังเม็ดที่สามและยาเพิ่มพลังการก่อเกิดอีกเม็ด คลื่นทั้งหลายซึ่งค่อยๆ อ่อนกำลังลงไปแล้ว กลับแปรเปลี่ยนเป็นน้ำทะเลไหลบ่าที่พังทลายเข้ามาและทำให้ทุกสิ่งจมดิ่งลง รายล้อมพลังวิญญาณแห่งหยินของนางราวกับว่ากำลังจะกลืนกินมัน ถึงอย่างนั้น นางก็ยังคงสงบนิ่ง นางเคลื่อนพลังวิญญาณที่แสนเล็กและอ่อนแอของนางอย่างไม่ย่อท้อและค่อยๆ โอบล้อมน้ำไหลบ่า
นางไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่ท้ายที่สุดนางก็สามารถกลืนพลังวิญญาณที่เหมือนน้ำไหลบ่าและเปลี่ยนให้มันเป็นกระแสน้ำที่ขยายเส้นลมปราณของนางเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ เป็นประหนึ่งว่าแม่น้ำที่ไหลไปสู่ทะเล มันพุ่งเข้าสู่ตานเถียนของนางอย่างรวดเร็ว
ขณะนั้นเอง สิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้นที่ยอดเขาวสันต์กระจ่าง พลังวิญญาณมากมายมุ่งไปยังจุดจุดหนึ่งราวกับมันถูกดึงดูดเข้าหาอะไรบางอย่าง ผู้อยู่อาศัยจำนวนนับไม่ถ้วนในยอดเขาวสันต์กระจ่างต่างออกมาจากถ้ำเซียนของตัวเองเพื่อดูพลังวิญญาณที่มาบรรจบกันที่จุดจุดหนึ่งตั้งแต่ช่วงเวลาที่มันยังสัมผัสไม่ได้จนกระทั่งมันล้นทะลักออกมา
กลุ่มเมฆลอยและหยุดอยู่เหนือถ้ำเซียน ผสานเข้ากับพลังวิญญาณจนกลายเป็นสะพานสายรุ้ง
“การเกิดขุมพลัง! ใครบางคนกำลังสร้างขุมพลังของตัวเองอยู่!” ศิษย์คนหนึ่งที่เคยเห็นผู้อาวุโสของเขาสร้างขุมพลังมาก่อน จู่ๆ ก็ตะโกนออกมา ดึงความสนใจของศิษย์คนอื่นๆ
พลังวิญญาณกำลังมาบรรจบกันและเมฆมงคลกำลังปรากฏขึ้นมาทีละก้อน ผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังจากแต่ละยอดเขาในภูเขาไท่กังต่างออกมาจากถ้ำเซียนของพวกเขาเพื่อชมภาพเหตุการณ์นี้
ผู้คนแห่งยอดเขาวสันต์กระจ่างเคลื่อนไหวกันราวกับกระแสน้ำขึ้นลง คนจำนวนนับไม่ถ้วนพากันมุ่งหน้าไปยังถ้ำเซียนที่ตั้งอยู่บนครึ่งทางขึ้นเขา
ณ ขณะนั้น จู่ๆ ใครบางคนได้ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ เขาเอามือไพล่หลังขณะที่เขาสำรวจฝูงชนเบื้องล่าง จากนั้นเขาจึงตะโกนว่า “ศิษย์แห่งยอดเขาวสันต์กระจ่างทั้งหลายจงกลับไปยังถ้ำของตัวเองโดยอย่าชักช้า!”
เสียงเขาชัดเจนและเสนาะหู ราวกับว่ากำลังพูดอยู่ข้างๆ หูพวกเขา เมื่อทุกคนเห็นคนที่ยืนอยู่บนฟ้า พวกเขาต่างโค้งคำนับทีละคนและทำความเคารพ ก่อนจะเดินไปตามคำสั่งของเขา อย่างไรก็ตาม พวกเขาเดินออกไปเป็นกลุ่มเล็กๆ เพื่อพูดคุยกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
“ศิษย์น้องโส่วจิ้ง!” ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังจากยอดเขาอื่นๆ รีบเข้ามาหาและถามว่า “เกิดอะไรขึ้น ดูเหมือนว่าใครบางคนกำลังสร้างขุมพลังอยู่ แต่แรงเคลื่อนไหวไม่ทรงพลังนัก เป็นไปได้หรือไม่ว่าศิษย์ในยอดเขาวสันต์กระจ่างของท่านกำลังฝึกวิชาลับอะไรบางอย่าง”
ฉินซีตอบอย่างแผ่วเบาว่า “ศิษย์พี่ทั้งหลายอย่าได้ตกใจไป ศิษย์คนหนึ่งในยอดเขาวสันต์กระจ่างของข้ากำลังอยู่ในกระบวนการสร้างฐานแห่งพลังเท่านั้น”
“สร้างฐานแห่งพลังรึ!” คำตอบนั้นยิ่งทำให้พวกผู้ฝึกตนประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม ใครคนหนึ่งถามว่า “การสร้างฐานแห่งพลังจะกระตุ้นให้เกิดปรากฏการณ์บนฟากฟ้าและกระแสน้ำวนของพลังวิญญาณได้อย่างไรกัน”
“ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจเรื่องนี้เหมือนกัน ถ้าข้าได้ข้อมูลมากกว่านี้ จะบอกศิษย์พี่อย่างละเอียด”
“นี่มันแปลกมากเลย…”
อาจารย์เต๋าเสวียนอินเหาะเข้ามาหาพวกเขา เมื่อเขามาถึง เขาทักทายทุกคนและกล่าวว่า “สหายศิษย์ ข้าและศิษย์น้องโส่วจิ้งจะจับตาดูเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ทุกท่านควรจะกลับไปก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดความแตกตื่นในหมู่ศิษย์ทั้งหลาย”
สุดท้ายเขาก็สามารถทำให้พวกผู้ฝึกตนที่รายล้อมอยู่เลิกตั้งคำถาม หลังจากพูดอีกเพียงไม่กี่คำ ทุกคนก็ออกจากสถานที่นั้นไป
ฉินซีและอาจารย์เต๋าเสวียนอินร่อนลงที่หน้าถ้ำของโม่เทียนเกอ ทั้งคู่ดูเคร่งเครียด
“ศิษย์น้องโส่วจิ้ง เจ้าคิดว่าเกิดอะไรขึ้น”
ฉินซีเงียบอยู่นานก่อนจะตอบว่า “หลายร้อยปีก่อน สัตว์วิเศษจากยุคอดีตอันไกลโพ้นได้ตื่นขึ้นท่ามกลางธารน้ำแข็งอายุหมื่นปี ในขณะนั้น เมฆมงคลก็ได้ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเช่นกันและฟ้าร้องอย่างกับมีการเฉลิมฉลอง”
อาจารย์เต๋าเสวียนอินที่ตกใจกับคำพูดของเขากล่าวว่า “เจ้าหมายความว่า…”
ฉินซีส่ายหน้าและบอกว่า “ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก อย่างไรก็ตาม ในเมื่อสัตว์วิเศษธรรมดาในยุคอดีตอันไกลโพ้นตอนนี้สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์บนฟากฟ้าได้ บางทีปรากฏการณ์นี้ก็อาจจะเกิดขึ้นเพราะโลกเราในปัจจุบันนั้นแตกต่างจากยุคอดีตอันไกลโพ้น”
หลังจากคิดอยู่เป็นเวลานานแต่ก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ อาจารย์เต๋าเสวียนอินจึงถามว่า “นั่นอาจจะจริง แต่นางกำลังฝึกตนด้วยวิชาฝึกตนของยุคปัจจุบัน มันไม่มีอะไรเชื่อมโยงไปยังอดีตอันไกลโพ้นเลย”
ฉินซีถอดใจกับการอธิบายและพูดแค่ว่า “รอดูกันเถอะ เราต้องรู้อย่างแน่นอนว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่นางออกมา”
ทว่าระยะเวลาที่พวกเขารอคอยก็นานเกินความคาดหมายของพวกเขา
ครึ่งปีผ่านไป แต่โม่เทียนเกอก็ยังไม่ออกมา นางเหมือนกับตัวไหมที่สร้างรังไหมรอบๆ ตัวของมันขณะที่นางนั่งขัดสมาธิโดยไม่รับรู้ถึงสิ่งใดในถ้ำของนางแม้แต่น้อย พลังวิญญาณภายในถ้ำได้แปรเปลี่ยนรูปร่างไปเป็นของเหลว ขณะที่พลังหยินเข้มข้นรอบตัวนางก็กลายไปเป็นชั้นแข็งๆ ที่ห่อหุ้มตัวนางไว้อย่างแน่นหนา
หนึ่งปีต่อมา อาจาย์เต๋าเสวียนอินเริ่มจะกังวลใจ โดยปกติผู้ฝึกตนใช้เวลาหลายเดือนจนถึงครึ่งปีเพื่อสร้างฐานแห่งพลัง เมื่อปรากฏการณ์บนฟากฟ้าเกิดขึ้น โม่เทียนเกออยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิมาเกือบครึ่งปีแล้ว ดังนั้นเมื่อรวมกัน นางจึงอยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิมาเป็นเวลาหนึ่งปีเต็มกับอีกครึ่งปี ไม่มีผู้ฝึกตนคนไหนของโรงเรียนเสวียนชิงใช้เวลาในการสร้างฐานแห่งพลังนานเพียงนี้
หลังจากหนึ่งปีครึ่ง แม้แต่ประมุขผู้อาวุโสสูงสุดก็ยังมาถามไถ่ ขนาดปรากฏการณ์บนฟากฟ้าที่เกิดขึ้นระหว่างการเกิดขุมพลังยังไม่คงอยู่นานขนาดนี้ เพราะอย่างนั้นเหตุใดศิษย์ผู้นี้ถึงใช้เวลานานนักในการสร้างฐานแห่งพลังของนาง
สองปีผ่านไป
ฉินซียืนอยู่หน้าถ้ำเซียนในความเงียบ
ในตอนแรกพวกเขายังสามารถตรวจดูสถานการณ์ภายในถ้ำได้โดยการใช้จิตสัมผัส แต่ภายหลัง ชั้นของพลังวิญญาณหนาแน่นดูเหมือนจะก่อตัวขึ้นภายในและกั้นระหว่างพวกเขาไว้ แม้แต่จิตสัมผัสของผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังอย่างพวกเขายังไม่สามารถแทรกผ่านชั้นของพลังวิญญาณนั้นไปได้ ปัจจุบันนี้พวกเขาไม่รู้เลยว่าสถานการณ์ข้างในเป็นอย่างไรและทำได้เพียงสัมผัสคร่าวๆ ว่าคนที่อยู่ข้างในยังมีชีวิตอยู่
เมื่อกำลังสร้างฐานแห่งพลังของคนผู้หนึ่ง คนผู้นั้นห้ามถูกรบกวน มิเช่นนั้น ถ้าโชคดี ผู้ฝึกตนคนนั้นอาจได้รับบาดเจ็บสาหัส หรือถ้าโชคร้าย ระดับการฝึกตนของพวกเขาอาจถอยกลับไป
ในเวลาว่างของเขา ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าประตูของถ้ำนี้จะเปิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่ฉินซีก็มักจะมายืนที่นี่เสมอ เขามองขึ้นไปและจ้องหมู่เมฆข้างบน พลังวิญญาณเหนือตัวเขาควบรวมจนกลายเป็นสะพานสายรุ้งและมีนกวิญญาณกระพือปีกบินอยู่กลางอากาศ มันสวยงามราวกับสรวงสวรรค์
ทันใดนั้น สะพานสายรุ้งก็เคลื่อนไหวก่อนจะหายไปในอากาศในเวลาแค่ชั่วพริบตา และพร้อมกับการหายไปของสะพานนั้น นกวิญญาณก็บินจากไป ไม่เหลือร่องรอยไว้ให้เห็นแม้แต่น้อย เหมือนกับว่าฉากที่เห็นเมื่อครู่นี้ไม่ได้เป็นอะไรนอกไปจากจินตนาการที่เขาสร้างขึ้นมาเท่านั้น
เขานิ่วหน้า จากนั้นหันกลับไปและตรึงสายตาอยู่ที่ประตูหิน
พลังวิญญาณภายในถ้ำกระจายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน แค่เพียงสิบห้านาที มันก็กระจายไปจนหมด
เกือบจะไม่มีศิษย์คนไหนเลยในยอดเขาวสันต์กระจ่างที่ตระหนักว่าภาพที่คงอยู่มามากกว่าหนึ่งปีได้หายไปอย่างเงียบๆ
ในที่สุดประตูหินก็เปิดออก เผยให้เห็นคนผู้หนึ่งที่กำลังเดินออกมาจากถ้ำช้าๆ พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้านาง