ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 110
ลำนำสตรียอดเซียน – ตอนที่ 110 คำแนะนำ
หลัวเฟิงเสวี่ยยิ้มเยาะ นางเป็นคนเจ้าเล่ห์มาโดยตลอด หากต้องเจอกับมนุษย์ นางจะพูดภาษาเดียวกับพวกเขา หากต้องเจอกับภูตผี นางก็จะพูดภาษาของพวกมันเช่นกัน นางไม่เคยต้องเผชิญหน้ากับคนอื่นแบบซึ่งๆ หน้า อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้สนใจเรื่องนั้นแล้วในตอนนี้ สายตานางที่จ้องมองมีการเยาะเย้ยอย่างเห็นได้ชัดขณะที่นางพูดว่า “ศิษย์พี่รอง ด้วยสภาพปัจจุบันของท่านตอนนี้ เป็นข้าก็คงไม่สนใจท่านหรอก อย่าว่าแต่อาจารย์ลุงโส่วจิ้งเลย!”
เดิมทีเว่ยจยาซือก็เป็นผู้หญิงสวย แต่ตอนนี้นางถูกหลัวเฟิงเสวี่ยทำให้โกรธจนถึงขั้นที่ใบหน้านางบูดเบี้ยวไปหมด นางยื่นมือออกไปและธงเล็กๆ สีแดงสดก็ปรากฏขึ้นในมือนาง
หลัวเฟิงเสวี่ยไม่ได้ขยับเขยื้อนหรือแสดงให้เห็นความอ่อนแอแต่อย่างใด นางกลับก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่งแทนและพูดว่า “อย่าบอกนะว่าท่านถึงขั้นต้องการจะทำร้ายสหายศิษย์ของท่าน ศิษย์พี่รอง เลิกทำพลาดได้แล้ว!”
สีหน้าขัดแย้งในตัวเองปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเว่ยจยาซือ ถึงแม้นางจะโมโห แต่นางก็รู้สึกผิดด้วยเหมือนกันที่เอาเครื่องมือเวทของนางออกมา จนท้ายที่สุดนางจึงเก็บธงกลับเข้าไป
พอเห็นนางเช่นนั้น สีหน้าของหลัวเฟิงเสวี่ยก็อ่อนโยนลง นางพูดช้าๆ “ศิษย์พี่รอง ข้าเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์มาตั้งแต่ข้ายังเด็ก เมื่อตอนที่ข้าเป็นเด็ก ท่านและศิษย์พี่ใหญ่ก็คอยดูแลข้า เล่นกับข้า สอนข้าให้ฝึกตนอยู่เสมอ… ท่านเป็นคนที่ฉลาดและน่าเคารพ ถึงแม้ว่าเราจะไม่สนิทกันเหมือนที่เคยเป็น แต่ข้าก็ยังไม่อยากต้องเห็นท่านเดินในทางที่ผิด”
“ศิษย์พี่รอง ลองคิดดูนะ ตอนนี้อาจารย์ลุงโส่วจิ้งอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังแล้ว ด้วยความเร็วในการฝึกตนของเขา เป็นไปได้ว่าเขาจะสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขาได้ภายในอีกหนึ่งร้อยปีข้างหน้า และถ้าเขาสร้างจิตวิญญาณใหม่ได้ ศิษย์ที่อยู่แค่ระดับการสร้างฐานแห่งพลังจะทำให้เขาสนใจได้อย่างนั้นหรือ ท่านก็รู้อยู่เต็มอกว่านอกเหนือจากการฝึกตน ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งก็ไม่ชอบอะไรอย่างอื่นอีกเลย ถ้าระดับการฝึกตนของท่านไม่สามารถเทียบเท่ากับเขาได้ แล้วเขาจะสนใจท่านได้อย่างไร”
ความตกใจปรากฏบนใบหน้าของเว่ยจยาซือ ไม่นานหลังจากนั้น สายตานางก็เคลื่อนไปจับจ้องอยู่ที่ตัวโม่เทียนเกอ
โม่เทียนเกอไม่เข้าใจ นางรู้ว่าสายตาเว่ยจยาซือหมายความว่าเว่ยจยาซือกลัวนางได้ยินเรื่องพวกนี้ แต่นางก็ได้ยินเรื่องส่วนใหญ่ไปแล้วนี่ ยังมีอะไรอีกที่นางไม่ควรได้ยินอย่างนั้นหรือ
ขณะที่โม่เทียนเกอกำลังคิดอยู่กับตัวเอง หลัวเฟิงเสวี่ยเข้าใจความหมายที่เว่ยจยาซือจะสื่อได้ นางหันมาหาโม่เทียนเกอและพูดว่า “เทียนเกอ เราอยู่ไกลจากผาลั่วเยี่ยนนัก อาจจะมีสัตว์ปีศาจอยู่ในบริเวณใกล้ๆ ก็เป็นได้ เจ้าช่วยออกไปเฝ้าระวังพวกมันให้หน่อยได้หรือไม่”
โม่เทียนเกอเข้าใจนัยของนางได้ในทันที ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนนั้นลึกซึ้งกว่าความสัมพันธ์ที่มีกับนาง บางทีอาจจะมีเรื่องบางอย่างที่ไม่ควรจะพูดอย่างเปิดเผยต่อหน้านาง ดังนั้นนางจึงพยักหน้าและบอกว่า “ท่านทั้งสองคุยกันได้เลย เดี๋ยวข้าจะไปช่วยดูรอบๆ ให้เอง”
“อืม” หลัวเฟิงเสวี่ยเพียงแค่ตอบสั้นๆ แต่ดวงตานางแสดงให้เห็นว่านางรู้สึกขอบคุณ
โม่เทียนเกอยิ้มให้ หันกลับและเดินออกไป
เมื่อนางเห็นเงาของโม่เทียนเกอค่อยๆ ไกลออกไป หลัวเฟิงเสวี่ยโบกมือทำให้เกิดเกราะฉนวนกันเสียงที่ล้อมอยู่รอบตัวนางและเว่ยจยาซือ
“ศิษย์พี่ หากมีอะไรอย่างอื่นจะพูดอีก ก็พูดมาได้เลยตอนนี้ บางทีอาจจะมีอะไรบางอย่างที่ท่านเข้าใจผิดอยู่…”
เว่ยจยาซือยืนอยู่ในจุดที่โม่เทียนเกอยืนอยู่ก่อนหน้านี้ สายตานางดูเหมือนจะมีความรู้สึกที่ผสมปนเปกันอยู่ ขณะนั้นนางหลุบตาลงและพูดด้วยเสียงต่ำๆ “เฟิงเสวี่ย ในเมื่อเจ้ารู้อยู่แล้ว ข้าก็จะไม่ปิดบังเจ้า ในตอนแรกข้าไม่กล้าที่จะหวังสูงเกินไป แต่ตั้งแต่ที่นางมา–”
“… ศิษย์พี่ ท่านจะบอกว่าอาจารย์ลุงโส่วจิ้งปฏิบัติกับเทียนเกอต่างกับคนอื่นเช่นนั้นหรือ”
เว่ยจยาซือพยักหน้า จากนั้นนางพูดพร้อมกับรอยยิ้มขมขื่น “ข้ารู้ว่าเจ้ามักจะดูถูกข้าในเรื่องนี้เสมอ ข้าจะยอมปล่อยให้คนอื่นดูถูกข้าได้อย่างไร แต่เจ้าไม่เคยตกหลุมรักใคร เจ้าไม่เข้าใจหรอก…”
“ศิษย์พี่ ก่อนหน้านี้ข้าดูถูกเหยียดหยามเรื่องนี้ก็จริง ดังนั้นโปรดอภัยให้ข้าด้วย ถึงแม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจความรู้สึกรักใคร่ แต่ข้าก็รู้ว่าเราไม่ใช่มนุษย์ผู้หญิงทั่วไป เราไม่ควรจะทำตัวเช่นเดียวกับพวกมนุษย์ ในโลกแห่งการฝึกตน สิ่งเดียวที่สำคัญก็คือระดับการฝึกตนของเรา บางทีอาจารย์ลุงโส่วจิ้งไม่เคยสนใจชายตามองหญิงผู้ใดมานานแสนนานก็เพราะยังไม่มีหญิงคนไหนที่ควรค่ามากพอ ศิษย์พี่ ท่านไม่ได้ชอบอาจารย์ลุงโส่วจิ้งเพราะเขาแตกต่างจากศิษย์ผู้ชายธรรมดาหรอกหรือ”
เว่ยจยาซือนิ่งเงียบไม่ตอบ หลัวเฟิงเสวี่ยพูดอย่างตรงไปตรงมาแต่เว่ยจยาซือกลับปฏิเสธอะไรไม่ได้สักอย่าง ไม่ต้องพูดถึงหน้าตาและตัวตนของอาจารย์ลุงโส่วจิ้งเลย ทั้งหมดนี้สุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงแค่เรื่องผิวเผินภายนอก แต่ถ้าเช่นนั้นเหตุใดนางถึงตกหลุมรักเขาเล่า
นางคิดย้อนกลับไปอย่างถี่ถ้วน ในตอนแรกเริ่ม เมื่อนางสังเกตว่าอาจารย์ลุงท่านนี้ไม่ได้แก่กว่านางมากนัก แต่กระนั้นเขากลับสามารถชำระล้างจิตใจ หักห้ามความปรารถนา และฝึกตนอย่างขยันขันแข็ง นางจึงแอบชื่นชมเขาอยู่ลับๆ ในภายหลัง ครั้นเห็นว่าวิธีการของเขาที่จริงแล้วแตกต่างจากศิษย์อย่างนางและเห็นว่าการฝึกตนของเขาพัฒนาจากดินแดนหนึ่งไปสู่ดินแดนถัดไปโดยเร็วได้อย่างไร นางก็ค่อยๆ ตกหลุมรักเขาทีละนิด หากระดับการฝึกตนของเขาไม่ได้สูง แล้วนางจะรู้สึกอย่างไรกับเขากัน
ขณะที่นางคิดถึงเรื่องนี้ นางรู้สึกขนลุกเย็นเยือกไปถึงกระดูกสันหลัง นางมักจะยกยอตนเองเสมอ แต่ตอนนี้ในที่สุดนางก็รู้ตัวว่าที่จริงแล้วนางก็เป็นเหมือนกับผู้หญิงพวกนั้น!
“ศิษย์พี่รอง!”
เว่ยจยาซือฟื้นคืนจากภวังค์ความคิดของตัวเอง นางส่ายหน้าเบาๆ และพูดว่า “ข้าไม่เป็นไร”
หลัวเฟิงเสวี่ยมองนางด้วยความเป็นห่วงและถามว่า “ท่านกำลังคิดอะไรอยู่”
ชั่วขณะหนึ่งเว่ยจยาซือไม่สามารถคิดหาคำตอบได้ นางลังเลอยู่นานก่อนจะตอบว่า “เฟิงเสวี่ย หรือว่าบางทีเจ้าอาจจะคิดว่าข้าก็ไม่เอาไหนเหมือนอย่างศิษย์ผู้หญิงพวกนั้น เพราะอาจารย์ลุงยังหนุ่มแต่ก็มีระดับการฝึกตนสูง ข้าก็เลย…”
“นั่นมันไม่เป็นไรเลย” หลัวเฟิงเสวี่ยหัวเราะและพูดว่า “ท่าทางและพฤติกรรมของอาจารย์ลุงโส่วจิ้งแตกต่างจากพวกศิษย์พี่ผู้ชายคนอื่นๆ ของเราจริงๆ ล่ะ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะหลงเสน่ห์เขา ศิษย์พี่ ท่านก็รู้อยู่ว่าข้าไม่ได้ชื่นชอบการฝึกตนมากนัก ข้าสนใจในอำนาจอิทธิพลของโรงเรียนมากกว่า ข้าเป็นเพียงแค่คนธรรมดา ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงมองเรื่องต่างๆ ได้อย่างแจ่มแจ้ง”
“เจ้า… เป็นคนฉลาดในหมู่พวกเรา” จากนั้นเว่ยจยาซือมองไปในทิศทางที่โม่เทียนเกอมุ่งหน้าไปและถามอย่างแผ่วเบา “เฟิงเสวี่ย นางกับเจ้าสนิทกันมาตลอด เจ้าคิดว่าจริงๆ แล้วอาจารย์ลุง…”
ก่อนที่นางจะพูดจบ หลัวเฟิงเสวี่ยก็ส่ายหน้าอยู่ก่อนแล้วและพูดว่า “ศิษย์พี่รอง ท่านไม่ควรจะระแวงมากเกินไป ข้าไม่คิดว่าอาจารย์ลุงโส่วจิ้งจะมีความรู้สึกพิเศษอะไรกับเทียนเกอ”
“แต่ถ้าอย่างนั้นทำไมอาจารย์ลุงถึงอยากจะเก็บตัวตนของเขาไว้เป็นความลับกับนางด้วยล่ะ”
“…” หลัวเฟิงเสวี่ยเองก็ดูสับสนเช่นกัน “ข้าคิดว่า… อาจารย์ลุงโส่วจิ้งต้องมีเหตุผลส่วนตัวของเขาแน่ๆ ถ้าเขามีเจตนาอะไรบางอย่างต่อเทียนเกอจริง ทำไมเขาถึงยอมให้เทียนเกอมาฝึกตนกับพวกเราล่ะ ข้าเคยเห็นสมบัติที่นางมี ที่จริงแล้วมีของบางอย่างเป็นของอาจารย์ลุง… อย่างไรก็ตาม แม้ว่าวิชาการปรุงยาของอาจารย์ลุงโส่วจิ้งจะยอดเยี่ยม แต่ข้าก็ยังไม่เคยเห็นยาวิเศษของเขาในที่พักของเทียนเกอเลยแม้แต่เม็ดเดียว เงินส่วนแบ่งของศิษย์ที่นางได้รับก็เหมือนกับของพวกเรา ความแตกต่างเดียวคือของที่ท่านปรมาจารย์ให้นาง”
เว่ยจยาซือเงียบมาสักพักแล้วเมื่อนางได้ยินหลัวเฟิงเสวี่ยพูดอีกครั้ง “ศิษย์พี่รอง ท่านไม่ควรสงสัยเทียนเกอนะ ตั้งแต่ที่นางเข้ามาที่นี่ข้าก็อยู่กับนางตลอด ข้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับนาง ข้าจะพูดตรงๆ กับท่าน ที่จริงแล้วเทียนเกอกับอาจารย์ลุงโส่วจิ้งเป็นคนประเภทเดียวกัน นางมีความตั้งใจแน่วแน่และฝึกตนอย่างเต็มที่เสมอ ในตอนนี้นางไม่ได้มีความคิดเช่นนั้นกับเขาหรอก อย่างไรก็ตาม หากท่านยังทำเช่นนี้ต่อไป มั่นใจได้เลยว่าท่านจะต้องพ่ายแพ้นางแน่ในอนาคต และข้าก็เกรงว่าในภายภาคหน้าอาจารย์ลุงโส่วจิ้งจะมองเทียนเกอแตกต่างไปจริงๆ”
เว่ยจยาซือดูตกใจและเสียใจขณะที่นางจ้องมองหลัวเฟิงเสวี่ย
หลัวเฟิงเสวี่ยยิ้มอย่างเหน็บแนมก่อนที่นางจะถอนหายใจ นางกล่าว “ศิษย์พี่รอง อย่าคิดว่าข้าพูดเช่นนี้เพื่อขู่ให้ท่านกลัว เป็นเวลานานมาแล้วตั้งแต่เทียนเกอมาที่นี่และข้าเป็นคนที่ใกล้ชิดกับนางที่สุด ข้าอาจจะไม่มีทักษะด้านอื่น แต่ข้าตัดสินนิสัยของคนได้แม่นยำเสมอ ด้วยนิสัยของเทียนเกอแล้วนั้น การเข้าถึงขั้นสูงสุดของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังจะต้องเกิดขึ้นได้แน่ไม่ช้าก็เร็ว ตอนนี้นางเป็นศิษย์ลงนามของท่านปรมาจารย์ ตราบใดที่ท่านปรมาจารย์ให้ความใส่ใจนางมากอีกสักหน่อย นางจะต้องกังวลว่าจะไม่สามารถสร้างขุมพลังของนางได้อย่างนั้นหรือ”
“ส่วนอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง ความสามารถของเขาโดดเด่นเหนือกว่าคนอื่น ในโรงเรียนเสวียนชิง ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังคนเดียวที่อายุใกล้เคียงกับเขาคืออาจารย์ลุงหลิงซี แต่อาจารย์ลุงหลิงซีเป็นผู้ชาย ถ้าอาจารย์ลุงโส่วจิ้งสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขาได้จริงภายในหนึ่งร้อยปีข้างหน้านี้และวางแผนที่จะทำการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ เขาจะไปหาผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ที่เหมาะสมจากที่ไหนมาเป็นคู่ของเขากันเล่า เช่นนั้นเขาก็คงจะไม่เหลือทางเลือกอื่นนอกจากต้องเลือกจากผู้ฝึกตนหญิงในระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ยิ่งไปกว่านั้น เขาต้องเลือกคนที่มีศักยภาพที่จะสร้างจิตวิญญาณใหม่ของนางได้ นั่นหมายความว่าเขาจะเลือกเพียงผู้ฝึกตนหญิงที่ไม่แก่เกินไป… ศิษย์พี่รอง ถ้าท่านไม่ก่อขุมพลังของท่านในเร็วๆ นี้ ท่านจะไม่มีหวังแน่!”
หลัวเฟิงเสวี่ยพูดจบ เว่ยจยาซือก็เข้าใจแล้วว่านางได้เลือกเดินบนเส้นทางที่ผิดไป หากไม่มีระดับการฝึกตนที่สูง อาจารย์ลุงโส่วจิ้งคงไม่มีทางสนใจนาง หากไม่สามารถก่อขุมพลังได้ นางก็คงถูกทิ้งไปเพียงเท่านั้น ช่างน่าเศร้าที่หลายปีมานี้นางลืมเรื่องระดับการฝึกตนของนางซึ่งที่จริงแล้วควรจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด นางกลับละเลยสิ่งสำคัญและมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องไร้สาระ
“เฟิงเสวี่ย ขอบคุณเจ้า” ราวกับว่านางเพิ่งรู้แจ้ง ทันใดนั้นเว่ยจยาซือก็รู้สึกว่าทั้งร่างของนางผ่อนคลาย ตลอดหลายปีมานี้นางแบกรับความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ตลอดแต่ไม่เคยกล้าให้คนอื่นรับรู้ นางไม่สามารถเมินเฉย ไม่สามารถโยนมันทิ้ง และก็ไม่สามารถแยกจากกับมันได้ แม้แต่ความภาคภูมิใจและความหยิ่งยโสของตัวเองก็ยังสูญหายไปกับการไล่ตามที่เหน็ดเหนื่อยนี้ อย่างไรก็ตาม นางกลับลืมที่มาของความภาคภูมิใจและความหยิ่งยโสของตัวเอง หากไม่มีระดับการฝึกตนสูง แล้วนางจะทะนงตนได้จากอะไรกัน นางอยากให้คนอื่นมองนางแตกต่างไปได้จากตรงไหนกัน
เมื่อได้ยินคำพูดของเว่ยจยาซือ หลัวเฟิงเสวี่ยก็ถอนใจอย่างโล่งอกในที่สุด เส้นประสาทที่ตึงเครียดของนางคลายลง พวกนางอยู่ห่างจากผาลั่วเยี่ยนมาไกลและในป่าก็มีสัตว์ปีศาจอยู่มาก นางรู้สึกกังวลใจเป็นที่สุด!
“แต่…” เว่ยจยาซือลังเล “ตอนนี้อาจารย์ลุงโส่วจิ้งหายตัวไป ที่ข้ามาไม่ใช่เพราะข้าหวังลมๆ แล้งๆ แต่ข้าเป็นกังวลจริงๆ …”
“ศิษย์พี่รอง!” หลัวเฟิงเสวี่ยพูดอย่างร้อนรน “เทียนเกอจะต้องเหนือกว่าท่านแน่ถ้าท่านยังทำตัวเช่นนี้อีก เทียนเกอเองก็กังวลเหมือนกัน แต่นางรู้ความสามารถของตัวเองและรอคอยข่าวจากอาจารย์ลุงชิงหยวนด้วยความเต็มใจ ถ้านางทำตัวเหมือนกันกับท่าน นั่นจะไม่ยิ่งสร้างปัญหาให้ท่านอาจารย์มากขึ้นหรือ”
เว่ยจยาซือนิ่วหน้าทันทีและพูดว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ไหนเจ้าบอกว่าเทียนเกอไม่…”
ถึงแม้นางจะรู้ตัวว่าเผลอพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดไป แต่หลัวเฟิงเสวี่ยก็พูดต่ออย่างใจเย็น “นางคิดถึงศิษย์พี่ฉิน แต่ศิษย์พี่ ท่านไม่ควรจะคิดมากเกินไป เทียนเกอคิดกับเขาเพียงแค่สหาย”
“อย่างนั้นรึ–” จู่ๆ เว่ยจยาซือหยุดพูดกลางคันและคว้าทั้งกระบี่บินและเครื่องมือเวทของนางออกมาในทันใด
“ศิษย์พี่รอง!” หลัวเฟิงเสวี่ยอุทานด้วยความกลัว
เว่ยจยาซือไม่ได้พูดอะไร สีหน้าของนางเย็นชาและเจตนาฆ่าปรากฏขึ้นในสายตานาง กระบี่บินและธงเคลื่อนออกไปพร้อมกัน
หลัวเฟิงเสวี่ยลนลานคว้าเครื่องมือเวทของนางออกมา แต่ชั่วขณะต่อมาจู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงอย่างดัง นางหันกลับไปและต้องอึ้งกับสิ่งที่เห็น
เว่ยจยาซือควบคุมกระบี่บินของนางพร้อมกับพึมพำร่ายคาถา ในไม่ช้า พลังวิญญาณของนางพุ่งเข้าสู่ธงอันนั้นทำให้มันขยายขนาดใหญ่ขึ้นในทันที สายฟ้าแลบแปลบไปทั่วท้องฟ้า
“เฟิงเสวี่ย!” เว่ยจยาซือตะโกน “เจ้ามัวมึนงงอะไรอยู่! มีสัตว์ปีศาจอยู่ที่นี่!”
หลัวเฟิงเสวี่ยได้สติในที่สุด นางอดไม่ได้ที่จะรุ้สึกละอายใจ นางคิดว่าศิษย์พี่ของนางต้องการที่จะ…
เมื่อสัมผัสได้ถึงตัวตนของสัตว์ปีศาจที่กำลังเข้ามาทีละตัว หลัวเฟิงเสวี่ยถึงกับตกตะลึง สัตว์ปีศาจห้าตัวในระดับสองและสาม! ระดับสองเทียบเท่ากับขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ในขณะที่ระดับสามเทียบได้กับขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ในพวกนางทั้งสองคน คนหนึ่งอยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง และอีกคนอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ความแตกต่างในจำนวนคนของแต่ละฝั่งนั้นมากเกินไป!
เว่ยจยาซือที่กำลังยืนอยู่บนกระบี่บินหยิบสิ่งของออกมาหลายอย่างและยัดมันใส่ในมือของหลัวเฟิงเสวี่ย นางพูดอย่างร้อนรน “เร็วเข้า! ข้าจะกันมันไว้สักพัก ตามหาโม่เทียนเกอและวิ่งกลับไป!”
“ไม่! หากศิษย์พี่อยู่คนเดียว ท่านจะ…”
“ไป! เดี๋ยวนี้!” เว่ยจยาซือตะโกนบอก สายตานางชำเลืองมองไปทางสัตว์ปีศาจที่กำลังใกล้เข้ามาขณะที่นางพูดอย่างกระวนกระวายใจ “มันจะสายเกินไปถ้าเจ้าไม่ไปเดี๋ยวนี้! เจ้าเพิ่งเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังและไม่เก่งในการต่อสู้ด้วยพลังเวท การอยู่ที่นี่จะยิ่งเป็นภาระให้ข้า! เร็วสิ กลับไปและตามหาคนอื่นให้มาช่วย!”
“แต่–” พูดยังไม่ทันขาดคำ พวกนางก็สัมผัสได้ว่าสัตว์ปีศาจกำลังเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ หลัวเฟิงเสวี่ยพูดว่า “ศิษย์พี่ เราจะไปด้วยกัน!”
“ไม่ พวกมันเร็วเกินไป! ถ้าอย่างนั้นพวกเราไม่มีใครหนีได้แน่! เร็วเข้า! ทำตามที่ข้าบอก!”
เดิมทีหลัวเฟิงเสวี่ยนั้นเป็นคนเด็ดเดี่ยว ในชั่วขณะต่อมา นางกัดฟันและบอกว่า “ตกลง ศิษย์พี่ ท่านต้องอดทนไว้นะ!”
นางหันกลับและรีบวิ่งไปในทางที่โม่เทียนเกอเดินเข้าไป กระนั้นก็ตาม นางใช้ทั้งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และใช้ตามอง แต่นางก็ไม่สามารถหาร่องรอยของโม่เทียนเกอได้เลย
“เทียนเกอ!” หลัวเฟิงเสวี่ยตะโกนไปที่สภาพรอบๆ ตัวอย่างร้อนใจ “ออกมาเร็ว! ที่นี่มีสัตว์ปีศาจ!”
อย่างไรก็ตาม นางพบแต่ความเงียบสงัด ไม่มีการตอบสนองแม้แต่นิดเดียว ประหนึ่งว่าโม่เทียนเกอได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยโดยสิ้นเชิง