ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 121
ลำนำสตรียอดเซียน – ตอนที่ 121 พลังวิญญาณของปีศาจ
โม่เทียนเกอยืนอยู่บนยอดเขา กำลังจ้องมองไปที่ป่าหนาทึบเบื้องล่างหน้าผาพร้อมกับใบหน้าที่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
เรื่องนี้ค่อนข้างจะเป็นปัญหา วันที่พวกนางมาถึง ตระกูลอวี๋ได้บอกแล้วว่ามีสัตว์ปีศาจอยู่ใกล้ๆ หลายวันต่อมา สัตว์ตัวนั้นสู้กับตระกูลอวี๋และเกือบจะทำลายม่านพลังป้องกันของพวกเขาได้ คาดว่ามันคงจะกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งภายในรอบหลายวันนี้แน่
ตั้งแต่นั้นมา นางและหลัวเฟิงเสวี่ยต้องอยู่กับตระกูลอวี๋ คอยเตรียมการสำหรับการต่อสู้ในอนาคต ขณะที่หันชิงอวี้และเว่ยจยาซือแลกเปลี่ยนข่าวสารกับตระกูลอวี๋เพื่อสืบสวนถึงสถานการณ์สัตว์ปีศาจ
สัตว์ปีศาจกลุ่มนี้ดูเหมือนกำลังเคลื่อนไหวตามความคาดหมายของตระกูลอวี๋ เหมือนกำลังเฝ้าสังเกตอาณาเขตของตระกูลอวี๋แต่ยังรักษาระยะห่างเอาไว้ บางครั้งก็ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังจะเข้ามาจู่โจม และบางครั้งก็ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังจะล่าถอยกลับไป
ตระกูลอวี๋มีมนุษย์ธรรมดาและผู้ฝึกตนระดับต่ำอยู่มากเกินไป หันชิงอวี้คิดว่าพวกเขาไม่ควรเป็นฝ่ายจู่โจมก่อนเพื่อเลี่ยงการแตกกลุ่มและถูกเอาชนะ พวกเขาไม่อยากให้พวกคนที่รับหน้าที่จู่โจมต้องขาดกองหนุนในขณะที่ทำให้พวกคนที่รับหน้าที่ดูแลเรื่องต่างๆ อยู่ที่บ้านต้องขาดกำลังที่เพียงพอ
ในทางตรงกันข้าม เว่ยจยาซือคิดว่าสัตว์ปีศาจระดับต่ำคงไม่มีสติปัญญาเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม หันชิงอวี้กล่าวว่าปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าต้องมาเสียใจทีหลัง
จุดประสงค์ดั้งเดิมของพวกนางคือเพื่อปกป้อง ถึงแม้ว่ามันจะดีกว่าถ้าพวกนางสามารถฆ่าทำลายล้างสัตว์ปีศาจพวกนั้นได้ แต่ความปลอดภัยของตระกูลอวี๋ยังคงสำคัญกว่า
ถึงอย่างนั้นก็ตาม สัตว์ปีศาจพวกนั้นไม่ได้จู่โจมในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา
โม่เทียนเกอปรับแก้ม่านพลังป้องกันของตระกูลอวี๋เสร็จเรียบร้อยแล้ว นางไม่คิดว่าสัตว์ปีศาจพวกนั้นจะบุกฝ่าเข้ามาได้ อย่างไรก็ตาม ปัญหาตอนนี้คือสัตว์ปีศาจพวกนั้นกำลังเฝ้ามองอยู่ใกล้ๆ แต่พวกนางอยู่ห่างออกไป ความรู้สึกนี้ช่างสุดทนเสียจริง อีกอย่าง พวกนางมาเพราะถูกสั่งให้มาช่วย แล้วพวกนางจะถูกรั้งตัวให้อยู่ที่นั่นต่อไปได้อย่างไร
วันนี้เป็นตาของนางในการลาดตระเวน ขณะที่นางยืนอยู่บนยอดเขานี้ นางสัมผัสได้ถึงตัวตนของพวกสัตว์ปีศาจอีกครั้ง แรงเคลื่อนไหวไม่แรงเท่าไรนักแต่ก็หนาแน่นมาก ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันดูเหมือนจะเข้ามาใกล้นาง หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะ นางคว้าเครื่องรางเรียกขานออกมา ท่องอะไรบางอย่างแล้วจึงโบกมือ เครื่องรางนั้นลอยลงไปสู่สนามของตระกูลอวี๋
ไม่นานนัก ลำแสงก็ฉายขึ้นมาจากตระกูลอวี๋ เว่ยจยาซือเหาะขึ้นมาบนกระบี่บิน ถามอย่างนิ่งเฉย “มีอะไรหรือ”
เว่ยจยาซือไม่เคยมีทัศนคติที่ดีต่อนาง โม่เทียนเกอชินกับมันนานแล้วและนางก็ไม่ได้รู้สึกว่าจำเป็นต้องพัฒนาความสัมพันธ์ของนางกับเว่ยจยาซือให้ดีขึ้นเช่นกัน ดังนั้นนางจึงพูดอย่างแผ่วเบา “ศิษย์พี่เว่ย ดูทางทิศนั้นสิ พวกมันโผล่มาอีกแล้ว”
เว่ยจยาซือหันเหสายตาไปมอง นางจ้องอยู่สักพักก่อนที่นางจะหลับตาและขยายจิตสัมผัสของนางออกไป หลังจากผ่านไปนาน ในที่สุดนางก็ลืมตา สีหน้านางเคร่งเครียด
“ท่านคิดว่าอย่างไรบ้างศิษย์พี่เว่ย”
สืบเนื่องจากจิตสัมผัสของโม่เทียนเกอ มีสัตว์ปีศาจอย่างน้อยห้าถึงหกตัวที่อยู่ในระดับสองและสาม
เว่ยจยาซือนิ่วหน้าและกล่าวว่า “ไปดูกัน” แทนที่จะลงจากกระบี่บินของนาง นางเปลี่ยนมันเป็นลำแสง บินตรงไปยังจุดที่มีพลังวิญญาณของปีศาจออกมาทันที
พอเห็นเช่นนี้ โม่เทียนเกอส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ เรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวออกมา ก้าวขึ้นไปบนนั้นและไล่ตามเว่ยจยาซือไป
โม่เทียนเกอเหาะลงจากเขาและเข้าไปในป่า ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวของนางเป็นของที่จงมู่หลิงมอบให้ มันทั้งเป็นอาวุธป้องกันตัวและอาวุธวิเศษบินได้ นางยังไม่ได้ทดลองหน้าที่ป้องกันตัวของมันแต่ความสามารถในการบินของมันนั้นดีเยี่ยมอย่างแท้จริง มันไม่จำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณมาก อีกทั้งยังรวดเร็วและมั่นคง จากประสบการณ์ของนาง หากนางพยายามจะหนีด้วยของสิ่งนี้ บางทีอาจจะมีเพียงผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถตามนางทันได้
นอกจากนี้ เป็นเวลาสักพักแล้วตั้งแต่ที่นางเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง นางได้ใช้เวลาขัดเกลาเครื่องมือเวทและอาวุธวิเศษของนาง โดยเฉพาะหลังจากที่พวกนางออกสู่สนามรบ ท่ามกลางของเหล่านั้นคือไม้หลบลี้หนีหล้าที่แม้แต่จงมู่หลิงยังชื่นชมว่าเป็นของที่ดี ต่อให้นางต้องเจอกับอะไร นางก็สามารถหนีได้เป็นพันลี้ในเวลาชั่วพริบตา นางไม่ตกอยู่ในอันตรายแน่
แต่ ณ ขณะนี้ สีหน้าเว่ยจยาซือดูน่าเกลียดเอามากๆ เครื่องมือเวทบินได้ของนางเป็นเพียงกระบี่บิน แม้ว่ามันจะถูกมอบให้โดยท่านอาจารย์ของนางและยังดีกว่ากระบี่บินทั่วไปมากนัก แต่มันก็ไม่มีอะไรพิเศษ หลังจากเข้าไปในป่า มันก็ได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิประเทศและสภาพแวดล้อม และความเร็วในการบินของมันลดลงอย่างมาก ในทางกลับกัน โม่เทียนเกอนั้นเหาะอย่างมั่นคงตลอดทางและว่องไวมาก
ในจิตใจของเว่ยจยาซือ เป็นเวลามากกว่าแปดสิบปีแล้วตั้งแต่ที่นางเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ถึงแม้ว่าตอนนี้นางกำลังติดอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง แต่ความเข้าใจในพลังวิญญาณและวิชาฝึกตนของนางไม่ธรรมดาเลย แต่กระนั้น โม่เทียนเกอกลับเอาชนะนางได้! แม้ว่านางจะเหนือกว่าแค่ในด้านเครื่องมือเวทก็เถอะ เว่ยจยาซือก็ยังคิดว่ามันทนไม่ได้อยู่ดี
ภายในป่าเป็นเขตแดนของสัตว์ปีศาจ นานมาแล้ว มีเพียงสัตว์ปีศาจระดับหนึ่งเท่านั้นที่อาศัยอยู่ที่นี่ แต่ตอนนี้บางครั้งก็จะมีทั้งสัตว์ปีศาจระดับสองและสามปรากฏตัวขึ้น น่าประหลาดใจที่พวกนางไม่เห็นสัตว์ปีศาจแม้แต่ตัวเดียวในทางขามา ไม่มีแม้แต่ตัวที่อยู่ระดับต่ำด้วยซ้ำ
“เอ๋ ศิษย์พี่เว่ย!” ทันใดนั้นโม่เทียนเกอก็หยุดและร้องเรียก
เว่ยจยาซือรู้สึกค่อนข้างไม่พอใจ ตะโกนอย่างหัวเสีย “มีอะไร”
“พลังวิญญาณของปีศาจหายไปแล้ว”
เว่ยจยาซือตกตะลึง แต่ไม่ช้าก็รีบแผ่จิตสัมผัสของนางออกไป ความปรารถนาที่จะแข่งขันเพิ่มมากขึ้นในจิตใจนาง ตอนนี้ที่นางต้องถูกโม่เทียนเกอเตือนเรื่องเช่นนี้ นางยิ่งรู้สึกโกรธและขายหน้ายิ่งขึ้น
“ถึงมันจะหายไป เราก็ยังต้องไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น”
เมื่อได้ยินคำพูดเจ้ากี้เจ้าการเช่นนี้ โม่เทียนเกอแอบส่ายหัวอยู่ลับๆ นางตามหลังเว่ยจยาซือ มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางเดิมของพวกนาง
นางรู้มาจากหลัวเฟิงเสวี่ยว่าทำไมเว่ยจยาซือถึงเกลียดนาง แต่นางก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองทำอะไรผิด ขณะที่นางครุ่นคิด นางก็รู้สึกค่อนข้างผิดหวังในตัวเว่ยจยาซือ ศิษย์พี่เว่ยคนนี้หมกมุ่นกับความรู้สึกของนางมากจนไม่สามารถแยกแยะเหตุผลได้ ถึงแม้หลัวเฟิงเสวี่ยจะพูดกับนางแล้ว แต่คงยังยากสำหรับเว่ยจยาซืออยู่ดีที่จะพัฒนาได้ในอนาคต นี่คือข้อเสียของอารมณ์ความรู้สึก
ขณะที่โม่เทียนเกอจมอยู่ในความคิดของตัวเอง ทั้งสองคนมาถึงจุดหมายในที่สุด
ขณะที่นางตามหลังเว่ยจยาซือไปช้าๆ โม่เทียนเกอเอากระสวยอัปสราของนางออกมาเงียบๆ ลงจากผ้าเช็ดหน้าไหมขาวและกำของทั้งสองสิ่งไว้ในมือ นางเหยียบอย่างแผ่วเบาไปบนกิ่งไม้แห้งขณะที่นางก้าวไปข้างหน้า
ทันใดนั้น นางก้าวผิดไปหนึ่งก้าว รู้สึกว่าตัวกำลังลอยก่อนนางจะตกลงมาแล้วกลิ้งไปทางด้านข้าง
ขณะเดียวกันนั้นเอง เว่ยจยาซือกระโดดขึ้นสูงกลางอากาศ
สายฟ้าฟาดลงตรงจุดที่พวกนางยืนอยู่ก่อนหน้านี้
โม่เทียนเกอและเว่ยจยาซือเหลือบมองหน้ากันและเห็นความตกใจในสายตาของอีกฝ่าย
ด้วยเวทมนตร์ที่น่าสะพรึงเช่นนั้นและความสามารถในการซ่อนตัวตนของศัตรู ทั้งสองคนไม่สามารถจะหาตำแหน่งที่คาถาถูกเสกออกมาได้เลย ศัตรูของพวกนางไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ไม่เหมือนกับสัตว์ปีศาจระดับสองและสามทั่วไป
ทั้งสองคนระวังตัวขณะที่พวกนางยืนหลังชนกันและเรียกเครื่องมือเวทของตัวเองออกมา
โม่เทียนเกอเอาผ้าเช็ดหน้าไหมขาวและกระสวยอัปสราออกมา อันหนึ่งสำหรับการป้องกันตัวและอีกอันสำหรับการโจมตี เว่ยจยาซือคว้าเครื่องรางวิญญาณหลายอันและแหวนสีเงินวงเล็กออกมา ถึงแม้ว่าธงวิญญาณน้ำของนางจะถูกทำลายไปแล้ว แต่ท้ายที่สุดแล้วนางก็เป็นศิษย์ภายในชั้นสูงของท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอิน นางจะขาดแคลนของได้อย่างไร แหวนอธิษฐานวงนี้ก็เป็นเครื่องมือเวทที่ค่อนข้างทรงพลังเช่นกัน
ทั้งสองคนแผ่จิตสัมผัสของตัวเองขยายไปเพื่อสำรวจสภาพแวดล้อมรอบตัว ไม่นานนัก ทั้งคู่ก็ขยับตัวอย่างฉับพลันในเวลาเดียวกัน เว่ยจยาซือขว้างแหวนอธิษฐานของนางออกไปชนปะทะเข้ากับสายฟ้า ขณะที่โม่เทียนเกอโยนผ้าเช็ดหน้าไหมขาวของนางซึ่งเปลี่ยนรูปร่างกลางอากาศเป็นก้อนอิฐที่ตกลงตรงหน้านางทันที สร้างเป็นกำแพงขึ้นมาขวางสายฟ้าฟาดอีกครั้งหนึ่ง
ความแตกต่างระหว่างพวกนางก็คือเว่ยจยาซือถูกโจมตีถอยไปหนึ่งก้าวขณะที่โม่เทียนเกอยังคงอยู่กับที่
เว่ยจยาซือเหลือบมองโม่เทียนเกออีกครั้งพร้อมกับความประหลาดใจที่ปรากฏขึ้นในสายตานาง นางเห็นได้ว่าโม่เทียนเกอมีทั้งเครื่องมือเวทและอาวุธวิเศษ ด้วยวิธีที่เครื่องมือเวทของโม่เทียนเกอทำงาน อาวุธวิเศษของโม่เทียนเกอจึงต้องดีกว่าของนางแน่ แค่เว่ยจยาซือไม่เคยคาดคิดว่ามันจะมีความสามารถแบบนี้ ตามการคาดการณ์ของนาง สายฟ้าพวกนั้นต้องมีพลังมากกว่าพลังเวทของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังแน่นอน ทั้งที่ของของนางทรงพลัง แต่นางก็ยังถูกโจมตีให้ต้องถอยไปหนึ่งก้าว อย่างไรก็ตาม ไม่น่าเชื่อว่าโม่เทียนเกอนั้นกลับไม่ต้องลำบากอะไรมากมายเลย!
ไม่กี่วันก่อน เมื่อโม่เทียนเกอกลับมาหลังจากหายตัวไปหลายวัน พวกเขาได้รู้ว่าโม่เทียนเกอผู้ที่เพิ่งเข้าสู่ขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังได้ก้าวเข้าสู่ขั้นกลางภายในเวลาแค่ไม่นาน เรื่องนี้ทำให้พวกคนที่รู้จักนางต่างสงสัย กระนั้นก็ตาม ท่านอาจารย์ของพวกเขาตัดสินว่าห้ามให้พวกเขาตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงไม่มีใครถามอะไรต่อไปอีก ถึงอย่างนั้น ทุกคนก็รู้ว่านางต้องได้เจอเข้ากับชะตาลิขิตบางอย่างแน่ สิ่งนี้กระตุ้นให้เว่ยจยาซือยิ่งขยันกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม การศึกษาเกี่ยวกับการต่อสู้ด้วยพลังเวทของเว่ยจยาซือค่อนข้างลึกซึ้ง ดังนั้นนางจึงไม่เคยคาดคิดว่าไม่เพียงแต่โม่เทียนเกอจะก้าวเข้าสู่ดินแดนถัดไปได้ แต่โม่เทียนเกอยังแข็งแกร่งกว่านางในการต่อสู้ด้วยพลังเวทอีกด้วย