ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 126-2
ลำนำสตรียอดเซียน – ตอนที่ 126-2 ผู้ฝึกตนแห่งตระกูลอวี๋
หลังจากเขาออกไป หัวหน้าตระกูลอวี๋ถอนใจและหันมาหาโม่เทียนเกอ “สหายนักพรตโม่ ได้โปรดอย่าถือสาเขาเลย อารมณ์ของศิษย์น้องโจวเป็นแบบนี้เสมอล่ะ ไม่ใช่ว่าเขามีจิตใจชั่วร้ายอะไรหรอก”
โม่เทียนเกอหัวเราะหึ นางเคยเจอคนแบบนี้มามาก แต่ไม่มีใครที่ทำตัวดูถูกผู้อื่นอย่างเห็นได้ชัดเหมือนกับศิษย์น้องโจวผู้นี้ ตัวอย่างเช่น เว่ยจยาซือ ที่เพียงแค่ดูหยิ่งยโสแต่นางไม่มีทางจะมองคนอื่นด้วยสายตาเช่นนั้นหรือวางมาดสั่งการคนอื่นๆ ไปทั่ว ศิษย์น้องโจวคนนี้… ช่างน่ารังเกียจเสียจริง
ดูจากสีหน้าโม่เทียนเกอ หัวหน้าตระกูลอวี๋ก็พอจะเข้าใจความคิดของนางได้คร่าวๆ เขารู้สึกค่อนข้างอึดอัดแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ศิษย์น้องโจวไม่ได้มาจากตระกูลอวี๋ ด้วยเห็นแก่หลานชายของเขา การพูดไม่กี่ประโยคเพื่อไกล่เกลี่ยเรื่องต่างๆ ก็มากพอแล้วสำหรับหน้าที่เขา
ทั้งสองคนยืนอยู่บนประตูหอคอยของตระกูลอวี๋ในความเงียบสงัด บางครั้งพวกเขาก็จะเห็นลำแสงแล่นผ่านไปอย่างเร็วและเห็นแสงสว่างจากการต่อสู้ด้วยพลังเวทในระยะไกลๆ
ในสองวันที่ผ่านมา พวกเขาได้ยินข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันจากผู้ฝึกตนนอกม่านพลังอยู่เสมอ สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นตอนนี้ ศิษย์ทั้งหมดของโรงเรียนตานติ่งถูกส่งออกสู่สงครามแล้ว แม้แต่ศิษย์นอกเวลาก็ไม่ได้รับการยกเว้น ในเมื่อแม้แต่ศิษย์นอกเวลายังต้องลงสนามรบ มันชัดเจนแล้วว่าสถานการณ์ของพวกเขาสิ้นหวังขนาดไหน
ส่วนหนึ่งของเกราะป้องกันขุนเขาของโรงเรียนตานติ่งได้แตกออก ทุกตระกูลผู้ฝึกตนที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนตานติ่งได้รับหมายเรียกให้ไปร่วมสู้ แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกตระกูลจะยอมทำตามนั้น บัดนี้โรงเรียนตานติ่งอยู่ในสถานการณ์ไม่ปลอดภัย มีบางตระกูลที่อยากจะแยกตัวเป็นอิสระ แต่ถึงอย่างนั้น สัตว์ปีศาจคงไม่พูดคุยสงบศึกกับมนุษย์เป็นแน่ ดังนั้นพวกเขาทำได้เพียงหวังว่าดวงของพวกเขาจะดีพอให้ไม่ต้องเผชิญกับสัตว์ปีศาจระดับสูง
ตระกูลอวี๋มีหลายเหตุผลในการเข้าร่วมสงคราม ข้อแรก ตระกูลอวี๋เป็นกลุ่มเล็ก ดังนั้นแทนที่จะเก็บแรงของพวกเขาไว้และพึ่งกลุ่มอื่นที่แข็งแกร่ง พวกเขาคิดว่าควรจะเสี่ยงโชคฝากชีวิตไว้กับโรงเรียนตานติ่ง และเดิมพันว่าโรงเรียนตานติ่งที่มีอายุกว่าหลายพันปีจะไม่ถูกล้มล้างโดยการก่อจลาจลของสัตว์ปีศาจ ข้อที่สอง จากผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังสองคนที่มีศักยภาพ คนหนึ่งได้ตายไปแล้วในจลาจล พวกเขาโมโหแต่ก็ต้องปล่อยวาง สิ่งต่างๆ คงไม่สามารถแย่ไปมากกว่านี้ได้ แต่ให้พวกเขาเลือกจะเก็บแรงเอาไว้ พวกเขาก็อาจจะไม่สามารถทำได้ตามนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจขอเดิมพันด้วยชีวิต
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ที่จริงแล้วโม่เทียนเกอชื่นชมหัวหน้าตระกูลอวี๋ผู้นี้ หัวหน้าตระกูลอวี๋ต้องมีนิสัยที่ใช้ได้เลยทีเดียวถึงได้ทำตัวกล้าหาญเด็ดเดี่ยวถึงเพียงนี้
จากที่ได้ยินมา โรงเรียนตานติ่งส่งเครื่องรางเรียกขานจำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อขอความช่วยเหลือออกไปอีกครั้ง คาดว่าความช่วยเหลือจะมาถึงในอีกครึ่งเดือนถึงหนึ่งเดือน ผู้คนไม่อยากจะเสียสละชีวิตของตัวเอง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รีบมาเร็วเกินไป อย่างไรก็ตาม พวกเขาจะไม่มาช้าเกินไปเช่นกันเพราะเกรงว่าโรงเรียนตานติ่งจะถูกล้มล้างและส่งผลให้มาตรฐานการปรุงยาในคุนอู๋ทั้งหมดตกต่ำลง มีแนวโน้มว่าพวกเขาคงจะรออยู่จนกระทั่งช่วงวิกฤติถึงค่อยมา
คนทั้งสองมองดูอยู่เงียบๆ จนกระทั่งหัวหน้าตระกูลอวี๋พูดขึ้นมากะทันหัน “ในอีกหลายวันข้างหน้านี้ก็จะปีใหม่แล้ว”
โม่เทียนเกอรู้สึกตกใจ ผู้ฝึกตนไม่ค่อยสนใจเรื่องนับเวลา โดยปกติแล้วพวกเขาจะไม่สนใจกับธรรมเนียมของโลกมนุษย์เช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นในสำนักอวิ๋นอู้หรือโรงเรียนเสวียนชิงและแม้แต่เมื่อนางยังอยู่กับท่านอารอง นางก็ไม่ได้ฉลองปีใหม่ ปีใหม่แค่เป็นการบอกว่านางได้แก่ขึ้นอีกหนึ่งปี สำหรับหัวหน้าตระกูลอวี๋ที่จู่ๆ ก็พูดถึงขึ้นมาเช่นนี้หมายความว่าคนในตระกูลของเขาให้ความสำคัญกับธรรมเนียมพวกนี้
หัวหน้าตระกูลอวี๋จ้องไปที่ไฟลุกโชนสักที่หนึ่งในระยะไกลๆ และหัวเราะหึอย่างเสียใจ “ในวันปีใหม่เมื่อปีที่แล้ว หลานชายอีกคนของข้าเพิ่งอายุแค่สามสิบปี แต่เขาก็ก้าวเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังได้ ในตอนนั้นเรายังคิดว่าอนาคตของตระกูลอวี๋คงสดใส เราคิดว่าเราอาจจะได้มีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังด้วยซ้ำ ข้าไม่เคยคาดคิดเลยว่าพอถึงปีใหม่ปีนี้ หลายชายคนนั้นของข้าจะต้องมาตายจากไปเสียแล้ว…”
หัวหน้าตระกูลอวี๋ไม่ได้พูดอะไรอีก ทว่าโม่เทียนเกอยังคงสัมผัสได้ถึงความเศร้าในคำพูดของเขา สำหรับตระกูลผู้ฝึกตน การไม่มีผู้สืบทอดที่มีคุณสมบัติเหมาะสมอาจจะเป็นสิ่งที่น่าเศร้าที่สุด ตระกูลเยี่ยได้ผ่านประสบการณ์เดียวกันมาเมื่อสมัยก่อน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังที่มีความสามารถอันน่าทึ่ง แต่พวกเขาก็ต้องหลบหนีไปจากเขาชิงเหมิงอย่างน่าผิดหวังเพราะพวกเขาไม่มีผู้สืบทอด
หัวหน้าตระกูลอวี๋ขยี้ตาก่อนที่เขาจะหันมาหานาง เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “สหายนักพรตโม่อย่าตำหนิข้าเลย เมื่อคนเราอายุมากขึ้นความคิดก็เริ่มฟุ้งซ่านน่ะ”
โม่เทียนเกอส่ายหน้า “ไม่เป็นไร…”
ทั้งสองคนจมลงสู่ความเงียบอีกครั้ง หลังจากผ่านไปสักพัก หัวหน้าตระกูลอวี๋ถามว่า “สหายนักพรตโม่ดูค่อนข้างอ่อนวัย แต่ท่านดูไม่เหมือนใช้วิชาคงรูป ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าท่านอายุเท่าไรรึ”
โม่เทียนเกอเงียบ การถามอายุของคนอื่นนั้นไม่ค่อยทำกันในหมูุ่ผู้ฝึกตน แต่หัวหน้าตระกูลอวี๋คนนี้ค่อนข้างอายุมากแล้ว คงไม่เป็นปัญหาหากนางจะปฏิบัติกับเขาแบบผู้อาวุโส นางครุ่นคิดสักพักก่อนจะตอบว่า “เมื่อปีนี้สิ้นสุดลง ข้าก็จะอายุยี่สิบห้าปี”
“ยี่สิบห้า!!!” หัวหน้าตระกูลอวี๋อุทานด้วยความตกใจ “สหายนักพรตโม่ ท่านอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้วแต่ที่จริงท่านเพิ่งอายุยี่สิบห้าน่ะหรือ”
โม่เทียนเกอพยักหน้า แม้ว่าคนอื่นอาจจะประหลาดใจที่ได้รู้อายุนาง แต่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังขั้นกลางก็ไม่ใช่อะไรพิเศษ ดังนั้นนางจึงคิดว่าไม่เสียหายที่จะบอกความจริงกับเขา
หัวหน้าตระกูลอวี๋ถอนใจอย่างจริงใจ “ไม่น่าแปลกใจที่ศิษย์พี่หลิงชมท่านว่ายังอายุน้อยและมีแวว ข้าคิดว่าหลานชายของข้าโดดเด่นมากแล้วในหมู่ศิษย์หัวกะทิของกลุ่มการฝึกตนใหญ่ๆ … แต่เมื่อเทียบกับสหายนักพรตโม่ เขาไม่คู่ควรกับการพูดถึงด้วยซ้ำ”
โม่เทียนเกอยิ้มแต่ไม่ได้มีความลำพองในรอยยิ้มของนาง “หัวหน้าตระกูลอวี๋ชมข้าเกินไป ที่จริงแล้วยังผ่านมาไม่นานตั้งแต่ข้าสร้างฐานแห่งพลังสำเร็จ มันเป็นเพราะความเอาใจใส่พิเศษจากผู้อาวุโสของข้า ข้าจึงสามารถได้รับชะตาลิขิตบางอย่างและก้าวเข้าสู่ขั้นกลางได้ นี่ทำให้ข้ารู้สึกค่อนข้างละอายใจที่ถูกชมเช่นนี้”
“เอ๋~!” หัวหน้าตระกูลอวี๋พูดอย่างจริงจัง “ชะตาลิขิตก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของจุดแข็งของท่านได้ สหายนักพรตโม่ไม่ต้องถ่อมตนขนาดนี้หรอก ถ้าเป็นพวกทายาทที่ไร้ค่าของข้า ต่อให้พวกเขาได้รับชะตาลิขิตมากมาย ข้าก็เกรงว่าพวกเขายังไม่สามารถจะเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังได้อย่างท่านอยู่ดี”
เมื่อเจอกับคำยกยอของหัวหน้าตระกูลอวี๋ โม่เทียนเกอเพียงแค่ประสานมือพร้อมด้วยรอยยิ้มน้อยๆ หัวหน้าตระกูลอวี๋พูดเช่นนั้นเพราะเขาไม่รู้เลยว่าชะตาลิขิตของนางยิ่งใหญ่เพียงใด หลังจากได้รับศาสตร์แห่งต้นกำเนิด รากวิญญาณที่เคยเป็นภัยของนางก็กลายเป็นของขวัญจากสวรรค์ทันที นางยังได้รับการชี้แนะจากเทพผู้ฝึกตน ซึ่งหมายความว่าเส้นทางการฝึกตนของนางสั้นกว่าสหายไปอีกสิบถึงยี่สิบปี นอกจากนี้ ด้วยร่างกายที่ฝึกด้วยห้าวิญญาณ เวลาที่จำเป็นต้องใช้ฝึกวิชาเทพก็ถูกลดลงครึ่งหนึ่ง และสุดท้ายยังมีโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนอีก ถึงแม้ว่านางยังไม่มีโอกาสได้ใช้แหล่งทรัพยากรที่ใหญ่ที่สุดและมีค่าที่สุดของมัน แต่ม่านพลังที่นางใช้อยู่ตอนนี้ก็เกิดขึ้นได้เพราะโลกนั้นเช่นกัน
หากไม่ได้รับชะตาลิขิตเหล่านี้ นางคงมีมุมมองเช่นเดียวกับหัวหน้าตระกูลอวี๋แน่ ที่คิดว่าชะตาลิขิตไม่ใช่อะไรนอกไปจากความช่วยเหลือภายนอก อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ครอบครองชะตาลิขิตเหล่านั้น สุดท้ายนางก็ตระหนักว่าพวกมันไม่ใช่สิ่งที่จะดูถูกได้เลย
ตามตำนานว่าไว้ ผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่มีความถนัดตามธรรมชาติย่ำแย่ได้รับชะตาลิขิตที่ยิ่งใหญ่เมื่อหลายปีก่อนในคุนอู๋ เพราะเหตุนั้น เขาสามารถจะฝึกตนจนกระทั่งเขาเข้าถึงดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่และได้ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ครอบคลุมไปทั่วทั้งขั้วท้องฟ้า ตอนนี้ดูเหมือนว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นจริงก็ได้
หัวหน้าตระกูลอวี๋กล่าว “สหายนักพรตโม่ ข้าขอทราบได้ไหมว่าอาจารย์เต๋าที่โรงเรียนเสวียนชิงคนใดที่ท่านและพวกศิษย์พี่ของท่านศึกษาอยู่ด้วย”
เมื่อพวกนางมาถึง พวกนางเพียงพูดว่าได้รับคำสั่งมาจากท่านอาจารย์ให้ยอมรับการจัดการของโรงเรียนตานติ่งและจึงถูกส่งออกมาที่ตระกูลอวี๋เพื่อช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม พวกนางไม่ได้เอ่ยถึงชื่อของท่านอาจารย์ เมื่อพิจารณาถึงสถานะของหัวหน้าตระกูลอวี๋ เขาอาจจะไม่เหมาะที่จะรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้
แต่ก็ไม่ใช่ว่าเรื่องนี้จะเป็นความลับที่ไม่อาจเปิดเผยได้อะไร ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงพูดว่า “ศิษย์พี่ทั้งหมดของข้าเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ลุงเสวียนอิน ข้าเองก็กำลังศึกษาอยู่ภายใต้การแนะแนวของท่านอาจารย์ลุงเสวียนอิน ดังนั้นเราทั้งหมดจึงมีอาจารย์ท่านเดียวกัน”
“เข้าใจล่ะ…” เรื่องที่ว่าทำไมโม่เทียนเกอถึงเป็นคนเดียวที่พูดถึงอาจารย์เต๋าเสวียนอินว่า “อาจารย์ลุง” หัวหน้าตระกูลอวี๋ไม่ได้ไต่ถามต่อไปอีก ท้ายที่สุดแล้วเรื่องแบบนี้ก็มักจะเป็นความลับ
ทั้งสองคนยังคงพูดคุยกันต่อไป เมื่อเห็นว่าระดับการฝึกตนของโม่เทียนเกอสูงถึงขนาดนี้แล้วแม้อายุของนางยังน้อยและนางก็ตั้งใจจริงในการดูแลคนอื่น หัวหน้าตระกูลอวี๋จึงมีความประทับใจที่ดีต่อนาง โม่เทียนเกอก็ปฏิบัติกับเขาด้วยใจกรุณา ไม่ผิดที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีเพราะมันอาจมีประโยชน์ขึ้นมาในอนาคตก็เป็นได้
ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน ทันใดนั้นก็มีคนมารายงานความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในอาการของผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังหนุ่มจากตระกูลอวี๋ ด้วยรู้สึกท่วมท้นไปด้วยความกังวล หัวหน้าตระกูลอวี๋จึงรีบเร่งไปดูเขาทันที
เดิมทีโม่เทียนเกอไม่ได้กังวลกับเรื่องนี้ แต่หันชิงอวี้บังเอิญรับหน้าที่ตรวจตราอยู่บนประตูหอคอยแทนและแอบสั่งให้โม่เทียนเกอไปสังเกตการณ์มา
ดังนั้นนางจึงตามหัวหน้าตระกูลอวี๋เข้าไปในสนามด้านในของตระกูล เมื่อนางเข้าไปในห้อง นางก็ถูกจ้องมองอย่างไม่เป็นมิตรจากศิษย์น้องโจวอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อรู้สึกค่อนข้างทำตัวไม่ถูก โม่เทียนเกอจึงแค่ยิ้ม ศิษย์น้องโจวผู้นี้อาจจะเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังที่มีรูปลักษณ์ของชายในวัยสี่สิบแต่เขาคงอายุร้อยปีเป็นอย่างต่ำ ทั้งๆ อย่างนั้น เขากลับทำตัวไม่รู้จักโตอย่างไม่น่าเชื่อ เห็นได้ชัดว่าศิษย์ของโรงเรียนตานติ่งไม่ได้มีค่าอะไรนัก
“อาซี เจ้าเป็นอย่างไร!” จากวิธีที่หัวหน้าตระกูลอวี๋เรียกเขา ดูเหมือนว่าหัวหน้าตระกูลอวี๋และผู้ฝึกตนที่บาดเจ็บจะมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างใกล้ชิดกัน
ผู้ฝึกตนวัยหนุ่มของตระกูลอวี๋กำลังนอนอยู่บนเตียงและดูสิ้นหวังเป็นที่สุด แต่เขาก็สามารถจะฝืนยิ้มขมขื่นออกมาได้และพูดว่า “ท่านลุง ข้า… ข้าขอโทษ…”
“อาซี หยุดพูดเช่นนี้!” หัวหน้าตระกูลอวี๋จับมือของผู้ฝึกตนคนนั้นไว้แน่นขณะที่เขาพูดปลอบใจต่อไป “เจ้าแค่ต้องรักษาตัวให้ดี เดี๋ยวเจ้าก็หาย เรายังมียาโคมเขียวเหลืออยู่อีกมาก…”
“ท่านลุง!” เขาตัดบทหัวหน้าตระกูลอวี๋และความเศร้าปรากฏขึ้นในสายตาเขา “ท่านลุง ข้ารู้สถานการณ์ของข้าดี บางทีบาดแผลอาจจะรักษาได้แต่… แต่ข้าอาจจะต้องทนกับการถดถอยและตกลงไปสู่ดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ…”
หัวหน้าตระกูลอวี๋ดูเสียใจที่ได้ยินเรื่องนี้อย่างเห็นได้ชัด โม่เทียนเกอเห็นว่ามือของหัวหน้าตระกูลอวี๋ที่จับมืออาซีอยู่กำลังสั่น
การตกลงไปสู่ดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ… โม่เทียนเกอเข้าใจว่าบาดแผลเขารุนแรงแค่ไหน เมื่อเป็นเรื่องการถอยลงของดินแดน คนคนนั้นอาจต้องใช้เวลาหลายปีฝึกตนใหม่เพื่อให้เข้าถึงดินแดนก่อนหน้าในกรณีที่ดีที่สุด แต่ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด มันอาจจะยากสำหรับคนนั้นที่จะก้าวหน้าไปตลอดทั้งชีวิตของพวกเขาเลยก็ได้
“ท่านลุง…” เมื่อเห็นสีหน้าของหัวหน้าตระกูลอวี๋ น้ำตาเริ่มไหลรินจากดวงตาของอาซี เขากล่าว “ข้า… ข้าขอโทษ มากกว่าห้าสิบปีที่ท่านทุ่มเทกับการเลี้ยงดูข้า แต่ข้า… ข้า…”
“ไม่” หัวหน้าตระกูลอวี๋สงบจิตสงบใจ เขาพูดหนักแน่น “อาซี วางใจเถอะ เมื่อสงครามสิ้นสุดลง ลุงจะหาทางช่วยเจ้าเอง เจ้าไม่ต้องกังวลมากไปหรอกตอนนี้ ตระกูลอวี๋ของเรายังอยู่ดี เราแค่ต้องผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้”
บางทีอาจเพราะเขาไม่อยากให้หัวหน้าตระกูลอวี๋รู้สึกใจสลายมากไปกว่านี้ อาซีเช็ดน้ำตาแล้วจึงพยักหน้า “ข้าเข้าใจ ท่านลุงวางใจเถิด ข้า… ข้ายังไม่อยากตาย”
ถึงอย่างนั้นโม่เทียนเกอก็สัมผัสได้ถึงความผิดหวังในสายตาเขาอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าเขารู้ตัวว่าเขาจะไม่ดีขึ้น
โม่เทียนเกอแอบส่ายหน้า เห็นชัดเจนว่าอาการของเขาไม่ดี เส้นลมปราณของเขาเสียหายหนักมาก ต่อให้ตานเถียนเขายังดีอยู่ แต่เขาก็จะถอยลงไปที่ขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังเป็นอย่างน้อย