ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 128-1
ลำนำสตรียอดเซียน – ตอนที่ 128-1 สันเขาเฉียนเหมิน
สายลมพัดอย่างอ่อนโยนทำให้ได้ยินเสียงใบไผ่เสียดสีกันแผ่วเบา เสียงระลอกคลื่นนุ่มนวลแว่วให้ได้ยินมาจากลำธารคดเคี้ยวที่อยู่ใกล้ๆ
หากมิใช่เพราะมันเงียบจนถึงจุดที่ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงตัวตนมนุษย์คนใด ที่นี่คงจะเป็นโลกในอุดมคติที่สวยงามที่สุด
ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน โม่เทียนเกอสอดมือเข้าไว้ในแขนเสื้อพลางเดินเอื่อยๆ ไปตามลำธาร ด้านหลังนางคือสัตว์ตัวน้อยที่เหมือนกระรอก กำลังวิ่งไล่ผีเสื้อโบยบินขณะที่มันตามนางมา
นางเลี้ยงสัตว์วิเศษไฟนรกตัวน้อยนี้ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนมาเป็นเวลาสักพักแล้ว ไม่แน่ชัดว่ามันกินพืชวิญญาณชนิดใด แต่ระดับการฝึกตนของมันพัฒนาแบบก้าวกระโดด ทุกวันนี้มันกลายเป็นสัตว์ระดับสองแล้ว
บางทีอาจจะเพราะตัวนางและโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเชื่อมโยงกัน หรือบางทีอาจจะเพราะสัตว์วิเศษไฟนรกตัวนี้รู้สึกซาบซึ้งต่อนาง แต่มันใกล้ชิดนางมากทั้งๆ ที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่มีพันธะอะไรต่อกัน เกือบจะเหมือนกับว่ามันเป็นสัตว์วิเศษที่ผูกพันตามสัญญาของนาง
นางสามารถหนีจากอินทรีสองหัวระดับห้ามาได้ หลังจากใช้ความพยายามอย่างมากในตอนนั้น ครั้นเข้ามาในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน นางก็อยู่ในสภาวะใกล้ตายแล้วและอยู่ในอาการไม่รู้สึกตัวอยู่หลายเดือนติดต่อกัน ในระหว่างช่วงเวลานั้น เจ้าสัตว์วิเศษไฟนรกตัวน้อยนี้มักจะป้อนพืชวิญญาณให้กับนาง ในท้ายที่สุด หลังจากหลายเดือนผ่านไป นางก็ค่อยๆ ฟื้นกำลังกลับมาและสามารถทำสมาธิเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของนางได้ ตานเถียนและเส้นลมปราณของนางครั้งหนึ่งเคยถูกสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยผลไม้ห้าวิญญาณและสร้างร่างกายที่ฝึกด้วยห้าวิญญาณในปัจจุบันของนางมาแล้ว นางจึงแข็งแรงและฟื้นสภาพได้เร็ว ดังนั้นนางจึงผ่านอาการบาดเจ็บมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ยาโคมเขียวจากตระกูลอวี๋ที่จริงแล้วเป็นของดีที่ควรมี มันมีประโยชน์สำหรับรักษาอาการบาดเจ็บทั้งภายในและภายนอก หลังจากนางทานยา อาการบาดเจ็บทั้งหมดของนางก็รักษาหายในเวลาแค่ไม่กี่เดือน
ถึงแม้ว่าอาการบาดเจ็บของนางจะรักษาหาย กระนั้นโม่เทียนเกอก็ยังไม่อยากจะออกไป นางได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวภายนอกโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน และในตอนนี้การต่อสู้ก็ดุเดือดมาก เพราะอย่างนั้นนางจึงคิดว่านางควรจะอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเพื่อเลี่ยงมัน
เมื่อพูดถึงหลัวเฟิงเสวี่ยและคนอื่นๆ นางทำดีที่สุดสำหรับพวกเขาแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่หรือตายก็ขึ้นอยู่กับโชคของพวกเขาเอง
ดังนั้นนางจึงใช้วันเวลาของนางอยู่ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนฝึกตน ปรุงยาวิเศษ ดูแลสวนสมุนไพร และอ่านหนังสือโบราณ
เจ้าของคนก่อนของโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนใบนี้มาจากยุคอดีตอันไกลโพ้น คู่มือวิชาการฝึกตนทุกเล่มที่เขาเป็นเจ้าของนั้นเกี่ยวกับต้นกำเนิด ซึ่งเหมาะสำหรับโม่เทียนเกอมาก
ส่วนสัตว์วิเศษไฟนรกตัวน้อย ไม่ว่าเพราะเกิดการกลายพันธุ์ขึ้นหรือเพราะไฟหยางแท้อันร้อนแรงในร่างกายของมันสามารถพัฒนาได้ ไฟหยางแท้อันร้อนแรงของมันได้วิวัฒนาการไปเป็นไฟสุริยันหลังจากการก้าวหน้าครั้งใหญ่ของมัน คุณภาพไฟของมันเหนือกว่าไฟทางโลกของโรงเรียนต้านติงด้วยซ้ำไป
เพราะเหตุนี้ โม่เทียนเกอจึงเริ่มฝึกการปรุงยาอีกครั้ง เวลานั้นเหมาะเจาะพอดีเพราะนางเพิ่งได้รับสูตรยาโบราณมาจากโรงเรียนต้านติงเมื่อเร็วๆ นี้
ถึงเวลาที่นางจะได้คัดแยกสวนสมุนไพรภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนอีกด้วย
มีพืชวิญญาณนับไม่ถ้วนที่เป็นของยุคอดีตอันไกลโพ้นอยู่ที่นั่น ทับถมอยู่เป็นร้อยเป็นพันปี มันมีจำนวนมากและเติบโตใกล้ๆ กัน ครอบคลุมทุกตารางนิ้วของสวนสมุนไพร ในบางบริเวณมีพืชมากเกินไปทำให้เกิดการขาดสารอาหารและทำให้พืชเกือบจะเ**่ยวเฉา
อ้างอิงจากความทรงจำของนางเกี่ยวกับโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน โม่เทียนเกอเริ่มเก็บพืชที่ควรจะเก็บเกี่ยว ถอนพืชที่ควรถอน และคัดแยกพืชตามการแบ่งประเภท
บางทีอาจเพราะระดับการฝึกตนของเจ้าของโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนคนก่อนสูงเกินไป ทว่าโม่เทียนเกอยังไม่สามารถเอาพืชวิญญาณหลายอย่างที่นั่นมาใช้ได้ ผลก็คือนางทำได้เพียงใช้กล่องหยกเก็บมันไว้หลังจากเก็บเกี่ยวมาแล้ว เพราะอย่างนั้นนางจึงสร้างบ้านไม้ไผ่หลังเล็กอีกหลังหนึ่งท่ามกลางป่าไผ่ที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนห้องเก็บของ
พืชวิญญาณบางอย่างยังเป็นวัตถุดิบสำหรับยาวิเศษทั่วไปได้ ดังนั้นนางจึงเก็บมันมาเพื่อปรุงยาทันที
เมื่อถึงเวลาที่นางคัดแยกสวนสมุนไพรเสร็จ บ้านไม้ไผ่หลังเล็กก็เต็มไปด้วยพืชวิญญาณ วัชพืชมากมายกองอยู่บนพื้นหน้าบ้าน
เกรงว่าพืชวิญญาณบางส่วนจะเสียประสิทธิภาพทางยาของมันไปหลังจากถูกเก็บเกี่ยวมา โม่เทียนเกอจึงต้องใช้ทั้งหมดเพื่อปรุงยาวิเศษ พืชบางอย่างอายุหลายพันปีด้วยซ้ำ นี่ทำให้วิชาการปรุงยาของนางพัฒนาขึ้นเร็วแบบก้าวกระโดดอย่างไม่น่าเชื่อ
คิดย้อนไปถึงเรื่องนี้ โม่เทียนเกอก็ยิ้มอย่างขมขื่น หากคนอื่นรู้ว่าพืชวิญญาณพวกนี้ซึ่งมีค่าและหายากมากในโลกภายนอกถูกนางใช้ไปเพื่อฝึกการปรุงยา พวกเขาคงตบตีนางถึงตายแน่นอน
ที่จริงแล้วนางก็อยากจะนำมันออกไปข้างนอกและแลกเปลี่ยนเป็นศิลาวิญญาณ แต่นางก็ไม่กล้าออกไปเพราะสภาพปัจจุบันในโลกภายนอกนั้นวุ่นวายเกินไป
เวลาหลายเดือนผ่านไป แต่การสู้รบภายนอกยังคงดำเนินต่อไปอย่างเต็มกำลัง
โม่เทียนเกอใช้พืชวิญญาณที่เก็บมาทั้งหมดเพื่อปรุงยาวิเศษชุดแรก นางมีวัตถุดิบส่วนใหญ่ในการปรุงยาคงพลังวิญญาณ ยาคงรูป และยาอายุวัฒนะ นางยังปรุงยาฟ้ากระจ่างบางส่วนอีกด้วย ที่จริงแล้วยารวมวิญญาณซึ่งอาจมีประโยชน์กับนางในตอนนี้เป็นยาที่นางมีปัญหาด้วย อาจเพราะช่องว่างระหว่างดินแดนของนางกับของเจ้าของโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนคนก่อนนั้นห่างกันเกินไป ทำให้พืชวิญญาณที่จำเป็นต้องใช้ปรุงยารวมวิญญาณที่นั่นค่อนข้างจะขาดแคลน ดังนั้นนางจึงปรุงได้เพียงไม่กี่ขวดเท่านั้น
หลังจากปรุงยาวิเศษ นางมองขวดที่อยู่บนพื้นและยิ้มเยาะตัวเอง ยาวิเศษพวกนี้สามารถทำให้นางร่ำรวยมหาศาลได้ภายนอกนั่น แต่ในเมื่อนางติดอยู่ข้างในนี้ มันจึงไม่ได้มีประโยชน์เท่าไรนัก
ยาคงพลังวิญญาณใช้ในการรักษาพลังวิญญาณ ซึ่งนางยังไม่ได้ต้องการมันในตอนนี้ ยาฟ้ากระจ่างเป็นยาที่ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังจำเป็นต้องใช้เพื่อฝึกตน ซึ่งนางก็ยังไม่จำเป็นต้องใช้มันในตอนนี้ ส่วนยาคงรูปและยาอายุวัฒนะ นางใช้ไปแค่อย่างละหนึ่งเม็ด
พูดถึงยาคงรูป อาจเป็นเพราะวิชาการฝึกตนที่นางฝึกช่วยสงวนความอ่อนเยาว์ของนางอยู่แล้ว ยาจึงดูเหมือนไม่ได้มีผลอะไร
ยาอายุวัฒนะ ในทางกลับกัน ทำให้นางรู้สึกถึงสัมผัสร้อนรุ่มไปทั้งร่างหลังจากนางทานเข้าไป ชั่วขณะหนึ่งสั้นๆ นางไม่สามารถควบคุมพลังวิญญาณในร่างกายนางได้และจำต้องปรับลมปราณ จนเมื่อพลังวิญญาณในร่างกายนางสงบลง ทันใดนั้นนางก็รู้สึกถึงความรู้สึกมหัศจรรย์ที่ยากจะอธิบาย ราวกับว่า… ราวกับว่าอายุขัยของนางนั้นไม่มีขีดจำกัด
อายุขัยของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังอยู่ที่ประมาณสามร้อยถึงสี่ร้อยปี ขณะนี้นางอายุเพียงแค่ยี่สิบห้าปี ดังนั้นอย่างน้อยที่สุดนางก็จะมีชีวิตอยู๋ได้อีกสามร้อยปี ถ้ายาอายุวัฒนะเพิ่มอายุขัยของนางอีกห้าร้อยปี นั่นก็จะหมายความว่านางยังมีอีกแปดร้อยปีเหลืออยู่ในอายุขัยของนาง!
นางมีความสุขมากกับเรื่องนี้ ในแปดร้อยปี ไม่ว่านางจะแย่แค่ไหน นางก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้แน่นอน ใช่ไหม หากนางโชคดี แม้แต่การเข้าสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ก็ไม่น่าเป็นปัญหา
เมื่อนางปรุงยาวิเศษทั้งหมดนั้นเสร็จ วิชาการปรุงยาในปัจจุบันของโม่เทียนเกอก็ได้พัฒนาเหนือวิชาการปรุงยาของนางก่อนหน้านี้ไปไกลแล้ว อัตราความสำเร็จของนางในการปรุงยาวิเศษอย่างยาอายุวัฒนะคือหนึ่งในสองส่วน ต่อให้นางเปรียบเทียบกับอาจารย์ปรุงยา นางก็ไม่ได้แย่กว่ามากนัก
โชคไม่ดีที่ไม่ได้มีสูตรยามากมายในหมู่หนังสือโบราณที่นั่น พวกที่มีอยู่ก็ไม่สามารถอ่านเข้าใจได้เนื่องจากดินแดนปัจจุบันของนาง ดังนั้นความก้าวหน้าในการปรุงยาของนางจึงต้องหยุดอยู่แค่นี้ก่อนสำหรับช่วงนี้
ถึงอย่างนั้นก็ยังพอจะมีข่าวดีอยู่บ้าง ในที่สุดนางก็ได้ผลขั้นต้นจากการฝึกศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ ไม่เพียงแต่มันจะสามารถขัดเกลาสิ่งที่เป็นรูปธรรมได้แล้ว แต่มันยังสามารถเปลี่ยนสิ่งที่เป็นรูปธรรมนั้นให้เป็นมีดบินที่ทำร้ายคนอื่นได้โดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้อีกด้วย
นางใช้วันเวลาผ่านไปเช่นนี้อยู่อีกหลายเดือน
ครั้นสถานการณ์ภายนอกสงบลงเล็กน้อยและมีคนจำนวนน้อยต่อสู้กันอยู่ในบริเวณ ก็เป็นเวลาสองปีแล้วตั้งแต่ที่โม่เทียนเกอเข้ามาซ่อนตัวในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ในช่วงเวลาสองปีนั้น วิชาการปรุงยาของนางก้าวหน้าไปด้วยความเร็วที่ยากจะหยั่งถึงและศาสตร์หลอมจิตวิญญาณของนางก็เริ่มแสดงผลลัพธ์ขั้นต้นบ้างแล้ว เพราะฉะนั้นหลังจากสองปี ในที่สุดนางก็ตัดสินใจจะออกไปดูสถานการณ์ภายนอก
บนยอดเขาแห้งแล้งกันดาร หินกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกที่ พืชผักเ**่ยวแห้งและเฉาตาย พื้นดินบัดนี้เป็นสีแดงเข้ม
ภาพทิวทัศน์นี้คือสิ่งที่นางเห็นเป็นอย่างแรกยามที่นางออกมาจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน
นางจำได้ว่าเมื่อนางเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน บริเวณนี้ยังคงปกคลุมไปด้วยหญ้าเขียวชอุ่มและดอกไม้ป่ากลิ่นหอม นางไม่ได้คาดคิดเลยว่าในเวลาแค่สองปี มันจะกลายเป็นที่แห้งแล้งถึงเพียงนี้
หินแตกหักแสดงให้เห็นร่องรอยของเวทมนตร์ที่ถูกใช้ในบริเวณนี้ พื้นดินเป็นสีแดงเข้มเพราะแปดเปื้อนไปด้วยเลือด
โม่เทียนเกอถอนหายใจแผ่วเบา สงสัยว่าสหายเก่าของนางรอดชีวิตไปจากสงครามที่แสนขมขื่นนี้หรือไม่
นางยกแขนเสื้อและขึ้นไปบนผ้าเช็ดหน้าไหมขาว ขณะขี่ผ้าเช็ดหน้าไหมขาว นางเปลี่ยนเป็นลำแสงที่วาบผ่านอย่างเร็วเหมือนดังหงส์เหินไปทางทิศตะวันตก
ทุกสิ่งด้านล่างอยู่ในสภาพเดียวกับยอดเขาเมื่อครู่นี้ไกลเท่าที่สายตานางจะมองเห็นได้ ดอกไม้ ใบหญ้า และต้นไม้เกือบจะทั้งหมดถูกทำลาย หินบนภูเขาแตกสลาย บางส่วนถูกทำลายราบไปจนถึงพื้น ร่องรอยคราบเลือดเลอะทั่วพื้นที่ โชคดีที่นางไม่ได้เห็นศพใดๆ
ไม่มีผู้ใดอยู่แถวนั้นอย่างไม่น่าเชื่อ เห็นได้ชัดว่าสงครามจบลงไปสักพักแล้ว
ด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด โม่เทียนเกอยังคงเหาะไปทางตะวันตกต่อไป แม้ว่าจลาจลของสัตว์ปีศาจจบลงแล้ว แต่ก็ไม่มีทางที่นางจะไม่เจอคนที่ยังมีชีวิตอยู่เลยสักคนเดียว นางต้องหาใครสักคนและถามเขาเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันให้ได้
หลังจากเหาะมาประมาณสี่ชั่วโมง ในที่สุดจิตสัมผัสของโม่เทียนเกอก็รับรู้ได้ถึงตัวตนของผู้ฝึกตน ด้วยความดีใจนางเหาะไปทางบริเวณที่นางสัมผัสได้ถึงตัวตนพวกเขา แน่นอนว่าหลังจากเหาะมาพักหนึ่ง นางจึงเห็นร่องรอยของผู้ฝึกตน
เบื้องหน้านางคือซากปรักหักพัง กำแพงเมืองที่พังทลายลงมาครึ่งหนึ่ง ตำหนักที่สง่างามแต่ทรุดโทรม บ้านพังครึ่งหลังอีกมากมาย ขณะที่นางกวาดตามองรอบๆ บริเวณ โม่เทียนเกอสันนิษฐานว่าที่นี่น่าจะเป็นที่พักของตระกูลผู้ฝึกตนกลุ่มใหญ่
อย่างไรก็ตาม มีบางอย่างแปลกเกี่ยวกับที่นี่ คือไม่มีแม้แต่ม่านพลังป้องกันอยู่เหนือพื้นที่เลยแม้แต่อันเดียว บางครั้งมีคนเข้าและออกจากตัวตึกที่ยังไม่เสียหาย แต่ดูจากเสื้อผ้า พวกเขาดูไม่เหมือนเป็นคนจากกลุ่มการฝึกตนเดียวกัน
นางครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะแล้วจึงตัดสินใจเหาะลงไป
ยามร่อนลง นางก็มองขึ้นไปและสำรวจสภาพรอบตัว ตามที่นางคาดไว้ สถานที่นี้ไม่มีแม้แต่ผู้เฝ้าประตูด้วยซ้ำ
ผู้ฝึกตนที่ดูงุ่มง่ามในชุดคลุมเปื้อนเลือดออกมาจากภายในซากปรักหักพัง
“ขอประทานโทษนะสหายนักพรต!” โม่เทียนเกอเรียก
สีหน้าของผู้ฝึกตนคนนั้นแข็งทื่อทันที หลังจากที่เขาเหลือบมองนางและรู้ว่านางเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง รอยยิ้มน้อยๆ ถึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา “ศิษย์พี่ มีอะไรให้ข้าช่วยหรือ”
โม่เทียนเกอแสดงสีหน้าอย่างเป็นมิตรและถาม “ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าสถานที่นี้คือที่ไหน”
ผู้ฝึกตนคนนั้นตกใจ เขาถามอย่างค่อนข้างกังขา “ศิษย์พี่ ท่านไม่รู้จริงๆ หรือว่าที่นี่คือที่ไหน” เขามองนางเป็นครั้งที่สองและพบว่านางใส่ชุดเครื่องแบบโรงเรียนเสวียนชิง เสื้อผ้าของนางสะอาดและนางก็ดูเกลี้ยงเกลา “หรือนี่จะเป็นครั้งแรกที่ศิษย์พี่ออกจากโรงเรียน”
นางค่อนข้างตกใจกับคำถามของเขา อย่างไรก็ตาม หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งนางก็ยิ้มโดยไม่ได้ตอบอะไร
คาดว่าเขาเดาถูก ผู้ฝึกตนคนนั้นจึงพูดว่า “ที่นี่คือสันเขาเฉียนเหมินแห่งเขาเทียนหั่ว ศิษย์พี่อาจจะไม่รู้ แต่หลังจากเกือบสามปีแห่งสงคราม บัดนี้ทั่วทุกที่เป็นแบบนี้ เพราะจำนวนมนุษย์ผู้ฝึกตนที่ตายนั้นมีสูงมาก เราจึงตั้งพันธมิตรที่นำโดยกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดกลุ่มและตั้งศูนย์ไว้ในทั่วทุกพื้นที่ที่นำไปสู่ผู้รอดชีวิต…”
“อย่างนี้นี่เอง…” ไม่น่าแปลกใจที่พวกผู้ฝึกตนที่นั่นถึงใส่เสื้อผ้าหลากหลายแบบ
โม่เทียนเกอประสานมืออีกครั้งและพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเช่นนั้น ข้าขอพบผู้จัดการของที่นี่ได้หรือไม่”
ผู้ฝึกตนคนนั้นโค้งให้นางซ้ำๆ “ศิษย์พี่ไม่ต้องสุภาพนัก ข้าไม่คู่ควร ผู้จัดการของสันเขาเฉียนเหมินบังเอิญเป็นศิษย์พี่จากโรงเรียนเสวียนชิงพอดี ศิษย์พี่เองก็เป็นศิษย์ของโรงเรียนเสวียนชิง ดังนั้นท่านสามารถไปเจอเขาได้แน่นอน ท่านแค่ต้องไปที่โถงหลัก”
“จริงหรือ” โม่เทียนเกอค่อนข้างประหลาดใจ นางคิดว่าในเมื่อที่นี่เป็นเขาเทียนหั่วของโรงเรียนต้านติง ผู้จัดการจะเป็นศิษย์จากโรงเรียนต้านติงเสียอีก
“ข้าไม่กล้าโกหกศิษย์พี่หรอกขอรับ”
โม่เทียนเกอพยักหน้าและยิ้มให้ผู้ฝึกตนคนนั้น “ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าต้องขอบคุณเจ้ามากสำหรับความช่วยเหลือ”
คนผู้นั้นพูดซ้ำๆ “ข้าไม่คู่ควรกับความขอบคุณของศิษย์พี่”