ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 130-2
ลำนำสตรียอดเซียน – ตอนที่ 130-2 การต่อสู้ระหว่างสองก๊ก
“เทียนเกอ อย่างแรกบอกข้ามาก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ข้าจำได้ว่าเจ้าเพิ่งสร้างฐานแห่งพลังงานได้เมื่อสามปีก่อน แล้วเจ้าเข้าสู่ขั้นกลางเมื่อสองปีที่แล้วได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น เกิดอะไรขึ้นตอนที่เจ้าหายตัวไป”
“อืม… สองปีที่แล้ว ข้าบังเอิญพบชะตาลิขิตบางอย่าง ดังนั้นข้าจึงสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นกลางได้ทันที พวกศิษย์พี่ของข้าที่อยู่ผาลั่วเยี่ยนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าเลยคิดว่าท่านจะรู้ด้วย…”
“ในตอนนั้นข้าออกไปกับท่านอาจารย์ เมื่อข้ากลับมาทีหลัง เจ้าก็ออกไปกับท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินเสียแล้ว ไม่ว่ากรณีใด ชะตาลิขิตที่เจ้าพบเจอสามารถทำให้เจ้าเข้าสู่ขั้นกลางได้ทันทีงั้นรึ!? นั่นไม่ใช่ชะตาลิขิตธรรมดาแน่นอน!”
โม่เทียนเกอยิ้มแต่ไม่ได้อธิบายต่อ จากนั้นนางพูดว่า “สองปีก่อน ข้าถูกสัตว์ปีศาจระดับห้าไล่ตาม โชคดีที่ข้าบังเอิญมีเครื่องมือเวทที่ช่วยหนีอยู่กับตัว มันทำให้ข้าหนีมาได้โดยที่ยังมีชีวิตอยู่ครบ ตอนหลัง เพราะว่าข้าบาดเจ็บ จึงไม่กล้าออกมา ต้องตามหาสถานที่ลับเพื่อรักษาตัว เพียงไม่กี่วันหลังจากอาการบาดเจ็บข้ารักษาหายดีข้าถึงกล้าออกมา”
“เข้าใจล่ะ… ในเมื่อเจ้าใช้เวลาสองปีเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ อาการของเจ้าน่าจะรุนแรงน่าดูเลย ใช่ไหม”
โม่เทียนเกอกล่าว “ไม่ได้แย่ขนาดนั้น ข้าหมดสติไปอยู่หลายเดือนในตอนนั้น แต่โชคดีที่ข้าไม่เจออันตรายใดๆ พี่ใหญ่เยี่ย ทำไมท่านถึงอยูที่นี่ล่ะ”
รอยยิ้มขมขื่นปรากฏบนใบหน้าเยี่ยจิ่งเหวิน เขากล่าว “การต่อสู้ในสองปีที่ผ่านมานี้มันวิบัติเหลือเกิน เพราะโรงเรียนของเรามีคำสั่งให้ปิดผนึกภูเขาได้เร็ว ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังงานวิญญาณของเราจึงไม่ได้รับอันตราย อิทธิพลของสงครามนี้ที่มีต่อพวกเขาไม่ได้มากมายเท่าไรนัก อย่างไรก็ตาม เราเสียศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานไปถึงหนึ่งในสามไม่มากก็น้อย เรื่องนี้สั่นคลอนรากฐานของโรงเรียนเรา”
หนึ่งในสามคือศิษย์เจ็ดสิบถึงแปดสิบคนเป็นอย่างต่ำ ด้วยศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังงานมากมายต้องตายไป โรงเรียนจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยร้อยปีเพื่อฟื้นฟูกำลังกลับมา เมื่อพิจารณาถึงกลุ่มการฝึกตนกลุ่มอื่น สามารถพูดได้ว่าความเสียหายที่ทุกกลุ่มการฝึกตนในคุนอู๋ต้องประสบนั้นคือหายนะย่อยยับ
“ศิษย์หัวกะทิอย่างเราตามท่านอาจารย์ของเรานับตั้งแต่ช่วงที่สงครามนี้เริ่มขึ้น ภายหลัง เพราะภาระหน้าที่และวิกฤติการณ์ทั้งหลาย เราจึงกระจัดกระจายกันไปตามเขตต่างๆ สาเหตุที่ข้ามาอยู่ที่เขาเทียนหัวก็เพราะหลังจากการต่อสู้เมื่อสองปีก่อน ข้าถูกส่งมาช่วยโรงเรียนต้านติงแต่ยังไม่มีโอกาสได้กลับไป”
ขณะที่ทั้งสองคนคุยเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างจลาจลของสัตว์ปีศาจ โม่เทียนเกอได้เรียนรู้ว่าโรงเรียนเสวียนชิงสูญเสียผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังไปสามคน ประมุขผู้อาวุโสสูงสุดของโรงเรียนโกรธมากและส่งผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่สองคนจากห้าคนของพวกเขาลงสู่สนามรบ ดังนั้นสถานการณ์ในแถบรอบๆ โรงเรียนเสวียนชิงจึงถูกคุมไว้ได้
หลังจากสามปีแห่งสงคราม การก่อจลาจลของสัตว์ปีศาจก็เริ่มจะสงบลง ไม่มีสัตว์ปีศาจนับไม่ถ้วนที่พร้อมจะช่วยเหลือสหายของมันซ่อนอยู่ในป่าอีกต่อไป กลุ่มการฝึกตนทั้งใหญ่และเล็กในคุนอู๋สูญเสียพละกำลังกันไปไม่มากก็น้อย เยี่ยจิ่งเหวินบอกว่าขนาดของสงครามนั้นใหญ่เกินกว่าสงครามครั้งก่อนๆ ทั้งหมดไปแล้ว และคาดว่าจะไม่มีสงครามกับสัตว์ปีศาจครั้งอื่นไปอีกร้อยปี
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ โม่เทียนเกอก็แอบรู้สึกยินดีอยู่ในใจ โชคดีที่นางซ่อนตัวอยู่ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนถึงสองปี มิเช่นนั้นนางอาจจะลงเอยอย่างศิษย์พี่ทั้งสามคนนั้นก็ได้ นั่นคือได้รับบาดเจ็บมากมายจนระดับการฝึกตนของพวกนางอาจไม่สามารถพัฒนาขึ้นได้ในอีกหลายปีข้างหน้า
“เทียนเกอ เจ้าโชคดีมาก เจ้ายังอายุไม่ถึงสามสิบปีด้วยซ้ำ แต่ก็อยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้ว เจ้าทำให้พี่ใหญ่อิจฉาจริงๆ”
โม่เทียนเกอส่ายหน้า “หาใช่สิ่งใดนอกจากชะตาลิขิต”
“ชะตาลิขิตก็เป็นส่วนหนึ่งของจุดแข็ง เจ้าไม่ควรจะถ่อมตัวขนาดนี้”
“…”
ทั้งสองคนคุยกันต่อไปขณะที่พวกเขาเดินทางกลับไปที่ศูนย์สันเขาเฉียนเหมิน
ระหว่างทางพวกเขาแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกที่ได้รับมาหลังจากเข้าสู่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน และเยี่ยจิ่งเหวินยังบอกนางหลายต่อหลายเรื่องที่นางจำเป็นต้องใส่ใจ การเดินทางกลับครั้งนี้ทำให้โม่เทียนเกอได้เห็นด้านที่ช่างพูดช่างคุยของเขา บางทีอาจจะเพราะนางได้เจอเสี่ยวกู่จื่อเมื่อวาน แต่ขณะที่นางฟังเยี่ยจิ่งเหวินพูดเรื่องเดียวกันซ้ำๆ อีกหลายรอบ อดไม่ได้ที่โม่เทียนเกอจะเห็นภาพของทั้งสองคนในจิตใจนางทับซ้อนกัน ซึ่งเกือบจะทำให้นางหัวเราะออกมา
ก่อนที่ทั้งสองคนจะเข้าศูนย์สันเขาเฉียนเหมิน พวกเขาเห็นใครบางคนกำลังรีบวิ่งเข้ามา “อาจารย์ลุง!”
โม่เทียนเกอจำเขาได้แค่มองปราดเดียว เขาคือเสี่ยวกู่จื่อจากเมื่อวานนี้ เด็กคนนี้คว้าตัวพวกเขาทั้งสองคนและร้องออกมา “อาจารย์ลุง! แย่แล้ว!”
โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินมองหน้ากัน เยี่ยจิ่งเหวินยื่นมือออกไปจับตัวเขาและถามว่า “มีอะไร”
เสี่ยวกู่จื่อดึงทั้งสองคนไปด้านข้างและกระซิบว่า “ท่านมีปัญหากับผู้ฝึกตนจากสำนักกู่เจี้ยนละหรือ”
เยี่ยจิ่งเหวินพยักหน้าและเลิกคิ้ว “ทำไม ผู้ฝึกตนแซ่วั่นผู้นั้นยังกล้าเข้ามาบ่นอะไรอีกรึ”
เสี่ยวกู่จื่อดูหมดหนทางอย่างที่สุด “จะอะไรอีกล่ะ เราพอจะเดาได้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราได้ยินสิ่งที่เขาพูด แต่ผู้ฝึกตนแซ่วั่นคนนั้นยังเรียกทุกคนจากสำนักกู่เจี้ยนมาและกล่าวหาอาจารย์ลุงเยี่ยอย่างไม่ลดละว่าท่านต้องการฆ่าคนและปล้นทรัพย์สินพวกเขา เขายังพูดอีกว่าในเมื่อท่านไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้ ท่านจึงเรียกสหายศิษย์มาช่วย ศิษย์พี่ค่วงจู๋ไม่เชื่อเขาอย่างแน่นอน แต่ไอ้คนสารเลวแซ่วั่นกลับใช้สถานการณ์นี้มากดดันคนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด!”
เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่เสี่ยวกู่จื่อพูด เยี่ยจิ่งเหวินส่งเสียง “ฮึ่ม” อย่างเย็นชาและพูดว่า “โรงเรียนเสวียนชิงของเราเป็นเจ้าของสันเขาเฉียนเหมิน เมื่อพูดถึงผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงาน เราก็มีคนมากกว่าสำนักกู่เจี้ยน ทั้งๆ อย่างนี้ พวกเขายังกล้าจะทำแบบนี้อีก!”
สีหน้าของเสี่ยวกู่จื่อเต็มไปด้วยความรังเกียจขณะที่เขาพูดอย่างเห็นด้วย “ถูกต้อง! พวกเขาทำเช่นนี้ก็เพราะพวกเขาเชื่อว่าศิษย์พี่ค่วงจู๋ไม่สนใจ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้ามีอะไรแย่เกิดขึ้น ในฐานะผู้จัดการ ศิษย์พี่ค่วงจู๋จะต้องถูกกล่าวโทษแน่!”
โม่เทียนเกอยิ้มเยาะ “ข้าเกรงว่าที่พวกเขาทำเช่นนี้เพราะพวกเขามีความรู้สึกผิดน่ะสิ พวกเขากลัวว่าเราจะเผชิญหน้ากับพวกเขา ดังนั้นพวกเขาเลยชิงโวยวายก่อนเราไปหนึ่งก้าว ตอนนี้ใครผิดใครถูกไม่สำคัญ เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกตนแซ่วั่นคนนั้นกำลังดึงสำนักกู่เจี้ยนให้เข้าข้างเขาเพื่อต่อต้านโรงเรียนเสวียนชิง ทำให้เรื่องระหว่างสองกลุ่มขยายใหญ่ขึ้น และด้วยการทำเช่นนั้น คนอื่นๆ ก็จะไม่สนใจแล้วว่าเขาอยากฆ่าคนอื่นและปล้นทรัพย์พวกเขาหรือไม่”
“นี่ต้องเป็นเจตนาของเขาแน่…” เยี่ยจิ่งเหวินครุ่นคิดถึงสถานการณ์ของพวกเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันมองเสี่ยวกู่จื่อ “แล้วศิษย์พี่ค่วงจู๋ตอบว่าอย่างไร”
เสี่ยวกู่จื่อพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ศิษย์พี่ค่วงจู๋ไม่อยากจะสนใจพวกเขา แต่พวกเขาเอาแต่เอะอะโวยวายไม่หยุด…”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น คงจะดีกว่าที่เราจะจัดการอย่างตรงไปตรงมา!” เยี่ยจิ่งเหวินเหลือบมองโม่เทียนเกอ เห็นว่านางไม่ได้คัดค้าน จึงพูดต่อ “เสี่ยวกู่จื่อ กลับไปและบอกศิษย์พี่ค่วงจู๋ว่าเขาต้องไม่ปรานีในเรื่องนี้ เราต้องโหดเ**้ยม!”
เสี่ยวกู่จื่อกลัวกับสิ่งที่เยี่ยจิ่งเหวินพูด เขามองโม่เทียนเกอตามสัญชาตญาณ “นี่…”
โม่เทียนเกอรู้ว่าถึงแม้เยี่ยจิ่งเหวินจะทำตัวเป็นกันเองกับนาง แต่เขาเป็นคนเด็ดเดี่ยวมาก ตัวอย่างเช่น เขาฆ่าคนที่ลักพาตัวโม่เทียนเกอ หลี่อวี้ซาน หลังจากที่เพิ่งเจอกันโดยทันที ตัวนางเองก็มีความคิดเช่นเดียวกันกับเขา ดังนั้นนางจึงแค่ยิ้มให้เสี่ยวกู่จื่อ “ฝั่งพวกเขามีคนกี่คน? ระดับการฝึกตนของพวกเขาอยู่ระดับไหน”
ครั้นเห็นว่าทั้งสองคนไม่กังวลใดๆ เสี่ยวกู่จื่อก็ทำได้แค่กลืนน้ำลายก่อนจะบอกอย่างทื่อๆ “พวกเขามีกันห้าคน สองคนอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานและอีกสามคนอยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ยังมีศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังงานวิญญาณอีกหลายคน…”
“พวกเขามีแค่คนหลายคนแต่ยังกล้าจะออกตัวแรงงั้นเรอะ” โม่เทียนเกอรู้สึกค่อนข้างงุนงง “ถ้าอย่างนั้นแล้วฝั่งเราเล่า ข้ากับพี่ใหญ่เยี่ยอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ศิษย์พี่ค่วงจู๋อยู่ในขั้นท้าย ศิษย์น้องไป๋อยู่ในขั้นต้น มีผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานคนอื่นอยู่ฝ่ายเราอีกไหม”
“อืม อาจารย์ลุงอีกสองคนก็พักอยู่ที่นี่แต่พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่วันนี้” จากนั้นเสี่ยวกู่จื่อมองรอบๆ อย่างระวังตัว “อาจารย์ลุง ศิษย์พี่ค่วงจู๋และศิษย์พี่ไป๋ไม่ใช่เรื่องที่พวกท่านต้องกังวล ตอนนี้เราอ้างว่าเป็นพันธมิตรกัน แล้วเราจะอธิบายอย่างไรถ้าเราสู้กับพวกเขาขึ้นมาจริงๆ”
“อธิบาย?” เยี่ยจิ่งเหวินเยาะเย้ย “ถ้าพวกเขาทั้งหมดตาย โดยปกติแล้วเราจะต้องเป็นคนที่อธิบาย”
“นี่…” ตั้งแต่เสี่ยวกู่จื่อเข้าโรงเรียนมา เขาอยู่กับศิษย์พี่ค่วงจู๋ จั่นไป๋ และน้องสาวของเขามาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการฝึกตน ค่วงจู๋กับจั่นไป๋สนใจอยู่แค่การฝึกปรุงยาและวิชาด้านการรักษาเท่านั้น ดังนั้นทั้งตัวเขาและเสี่ยวจุ้ยจึงแทบไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้ด้วยพลังเวท แม้แต่ในระหว่างจลาจลของสัตว์ปีศาจในสองสามปีที่ผ่านมา พวกเขาก็มักจะอยู่เบื้องหลังพวกแนวหน้าเสมอ เพราะฉะนั้นเมื่อเขาได้ยินว่าเยี่ยจิ่งเหวินและโม่เทียนเกอพูดถึงการฆ่าผู้ฝึกตนคนอื่นอย่างนิ่งเฉย เขาก็กลัวจนหัวหดอย่างเลี่ยงไม่ได้
เมื่อโม่เทียนเกอสังเกตเห็นปฏิกิริยาของเขา โม่เทียนเกอก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปลูบหัวเขา “เสี่ยวกู่จื่อ ไปบอกศิษย์พี่ค่วงจู๋ ในภายหลังข้าและพี่ใหญ่เยี่ยจะแสร้งทำเป็นว่าเราเพิ่งกลับมา อะไรที่เราควรจะทำทีหลัง เจ้าค่อยมาเตือนเราอย่างลับๆ ก็ได้…”
“… ตกลง” เสี่ยวกู่จื่อกัดฟันและพูด “ในเมื่อท่านตัดสินใจแล้ว ข้าจะไปแจ้งศิษย์พี่ค่วงจู๋” ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาจำเป็นต้องทำตัวให้คุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้ไว้ไม่ช้าก็เร็ว
เยี่ยจิ่งเหวินยิ้มและพยักหน้า “เช่นนั้นเราต้องรบกวนเจ้าด้วย”
เมื่อพวกเขาเห็นเสี่ยวกู่จื่อเข้าไปในศูนย์ โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินต่างเหลือบมองกันอีกครั้ง ทั้งคู่ต่างเห็นเจตนาฆ่าอย่างชัดเจนในสายตาของอีกฝ่าย
การได้ร่วมมือกันเมื่อครู่นี้ เยี่ยจิ่งเหวินมีความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับโม่เทียนเกอคนปัจจุบัน โม่เทียนเกอคนปัจจุบันเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นกลางอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะมาจากการกระทำที่แม่นยำหรือจิตใจเด็ดเดี่ยวของนาง นางไม่ใช่เด็กหญิงตัวน้อยที่เขาช่วยชีวิตไว้เมื่อปีนั้นอีกต่อไปแล้ว เขาอดถอนหายใจอยู่ในอกด้วยว่าถวิลถึงอดีตไม่ได้ เพียงแค่สิบเจ็ดปีเท่านั้น ในปีนั้น เมื่อเขาช่วยชีวิตเด็กหญิงตัวน้อยคนนั้น ไม่เคยมีสักครั้งเลยที่เขาคิดว่าวันนี้จะมาถึงเร็วอย่างนี้ นางโตแล้ว นางโตเป็นผู้ใหญ่จนสามารถสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาได้แล้ว
“เทียนเกอ ทีหลังเจ้าต้องระวังตัวให้ดีนะ ม่านพลังดาวพันร่างของสำนักกู่เจี้ยนยากมากที่จะต่อกรด้วย เจ้าควรจะฆ่าพวกเขาก่อนที่พวกเขาจะวางม่านพลังกระบี่นั้นได้ หรือเจ้าจะรบกวนพวกเขาก็ได้ ถ้าเจ้ารอให้พวกเขาวางม่านพลังกระบี่จนเสร็จ เราไม่สามารถทำอะไรได้แน่และควรหนีโดยด่วน”
“อืม พี่ใหญ่เยี่ย ท่านเองก็ต้องระวังเช่นกัน”
หลังจากรอคอยอยู่ในความเงียบสักพักหนึ่ง พวกเขาก็ส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายด้วยสายตา ครั้นแล้วจึงเข้าไปในศูนย์พร้อมกัน
ทันทีหลังจากที่โม่เทียนเกอปล่อยจิตสัมผัสของนางออกไป มันก็ชนเข้ากับจิตสัมผัสของอีกคนหนึ่ง นางไม่รู้ว่าคือจิตสัมผัสของใคร แต่นางไม่ได้ยั่วยุมันหรือยอมอ่อนข้อให้มัน
เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในโถงหลัก ข้างในเงียบเสียง คนเจ็บถูกย้ายไปอยู่ที่อื่น พวกเขาถูกแทนที่ด้วยผู้ฝึกตนสำนักกู่เจี้ยนหลายคนที่ยืนอยู่ด้วยกันและจ้อมเขม็งอย่างชั่วร้ายมาที่ทั้งสอง เสี่ยวกู่จื่อและเสี่ยวจุ้ยอยู่ที่ด้านหลังขณะที่จั่นไป๋กำลังบังพวกเขาอยู่ ส่วนค่วงจู๋กำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะทางด้านหน้า หมกมุ่นอยู่กับการปรุงยาขี้ผึ้งอะไรสักอย่างราวกับคนอื่นๆ ไม่มีตัวตน
โม่เทียนเกอแอบมองเสี่ยวกู่จื่อ ก็เห็นว่าเด็กคนนี้กำลังจ้องไปที่ผู้ฝึกตนของสำนักกู่เจี้ยนแล้วกะพริบตา
นางกับเยี่ยจิ่งเหวินต่างมองกันอย่างมีความหมาย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้รับความเห็นชอบจากศิษย์พี่ค่วงจู๋