ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 133-1
ลำนำสตรียอดเซียน – ตอนที่ 133-1 ศิษย์คนสุดท้าย
โม่เทียนเกอถอนพลังวิญญาณและควบคุมลมปราณ ตอนนี้เมื่อนางฝึกตนเสร็จสิ้น โม่เทียนเกอค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ
จิตสัมผัสของคนเกิดมาจากจิตวิญญาณเริ่มต้นของคนนั้น ถ้าคนผู้นั้นไม่ได้จงใจฝึกจิตวิญญาณเริ่มต้นของตัวเอง มันจะเพียงแค่แข็งแกร่งขึ้นอย่างช้าๆ ตามความก้าวหน้าของการฝึกตน คนที่มีระดับการฝึกตนสูงมักจะมีจิตสัมผัสที่มีอำนาจเป็นธรรมดา ถ้าระดับการฝึกตนของคนนั้นไปถึงดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังหรือดินแดนจิตวิญญาณใหม่ จิตสัมผัสของพวกเขาจะสามารถใช้ทำร้ายให้คนอื่นบาดเจ็บได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ความบาดเจ็บประเภทนี้ที่จริงแล้วไม่ได้เกิดขึ้นโดยจิตสัมผัสเพียงอย่างเดียวแต่ยังมีแรงกดดันของพลังวิญญาณด้วย เพราะฉะนั้นแม้ว่าการโจมตีเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพมากกับผู้ฝึกตนที่มีระดับการฝึกตนต่ำกว่า แต่ก็ไม่ได้มีผลมากนักกับผู้ฝึกตนที่อยู่ในดินแดนเดียวกัน
ถึงอย่างนั้น ระดับแรกของศาสตร์หลอมจิตวิญญาณก็สามารถทำให้โม่เทียนเกอทำร้ายผู้ฝึกตนในดินแดนเดียวกับนางถึงตายได้แล้ว ระดับสองของมันจะยิ่งทำให้นางมีพลังกดดันเหนือผู้ฝึกตนดินแดนเดียวกันกับนาง ถ้าเป็นเช่นนั้น ในการต่อสู้ด้วยพลังเวท นางสามารถใช้มันเพื่อกดดันคู่ต่อสู้ได้ระยะหนึ่ง ต่อให้คู่ต่อสู้ของนางเก่งกาจมาก แต่พวกเขาก็ไม่สามารถจะใช้พละกำลังได้อย่างเต็มแรงแน่
หลังจากได้เจอกับพลังอันน่าเกรงขามของศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ ลำดับความสำคัญในการฝึกตนของโม่เทียนเกอจึงเปลี่ยนไปเป็นพัฒนาศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ ในเมื่อร่างกายของนางเปลี่ยนเป็นร่างที่ฝึกด้วยห้าวิญญาณ เส้นลมปราณของนางจึงทนทานขึ้นและพลังวิญญาณของนางก็มั่นคง นางจะไม่มีทางถูกมารครอบงำ ความก้าวหน้าในการฝึกวิชานี้ของนางยังเร็วกว่าคนอื่นอีกหลายเท่า คงจะน่าเสียดายถ้านางมีเวลาว่างแต่ไม่ใช้ไปกับการฝึก
ในช่วงสองปีที่นางอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน นางเสร็จสิ้นจากระดับแรกของศาสตร์นี้โดยสมบูรณ์และสามารถใช้จิตสัมผัสของนางเพื่อโจมตีได้แล้วในตอนนี้ บัดนี้นางกำลังเริ่มเรียนรู้ระดับที่สอง ถ้านางบรรลุระดับที่สอง นางก็จะสามารถใช้แรงกดดันกับจิตสัมผัสของคนอื่นได้โดยตรง ซึ่งทำให้นางได้เปรียบกว่าในการต่อสู้ด้วยพลังเวท ในขณะเดียวกัน ระดับสองของศาสตร์หลอมจิตวิญญาณนี้ยังช่วยให้นางต้านทานแรงกดดันของพลังวิญญาณจากผู้ฝึกตนระดับสูงได้อีกด้วย
โชคร้ายที่คนจากสำนักกู่เจี้ยนน่าจะมาถึงในอีกไม่ช้า นางเพิ่งจะเริ่มฝึกระดับสองของศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ ดังนั้นมันคงยังไม่มีผลกระทบที่เห็นเด่นชัดอะไรในการต่อสู้นี้
ทันทีที่ความคิดนี้แล่นผ่านเข้ามาในจิตใจ จู่ๆ โม่เทียนเกอก็รู้สึกถึงแรงกดดันของพลังวิญญาณที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งท้องฟ้าเหนือสันเขาเฉียนเหมิน
ทั้งร่างของนางสั่นไปด้วยความหวาดหวั่น นี่ต้องเป็นผู้ฝึกตนขั้นกลางของระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังเป็นอย่างน้อย คนของสำนักกู่เจี้ยนมาถึงแล้วหรือ?
หลังจากเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาว นางหลบออกไปจากห้องและบินไปสู่ท้องฟ้า
ภายนอก นางเห็นผู้ฝึกตนสายกระบี่วัยกลางคนที่กำลังโกรธอยู่ในชุดเครื่องแบบสำนักกู่เจี้ยนยืนอยู่เหนือประตูศูนย์สันเขาเฉียนเหมิน แบกกระบี่ไว้ที่หลังของเขา ในขณะเดียวกัน นางยังเห็นศิษย์พี่ค่วงจู๋เหาะไปทางประตูด้วยก้อนเมฆขาว
เมื่อเห็นเช่นนี้ โม่เทียนเกอรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวของนางตามไป
นอกจากเยี่ยจิ่งเหวินและจ้านไป๋ ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังคนอื่นจากโรงเรียนเสวียนชิงก็กำลังเข้าไปหาค่วงจู๋
ส่วนผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ของเจ็ดกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาเพียงแค่รอและดูอยู่ห่างๆ
ค่วงจู๋หยุดอยู่หน้าประตูศูนย์สันเขาเฉียนเหมินและประสานมือ “ท่านอาจารย์เต๋าหลิวเฟิงมาตั้งไกล ข้าขออภัยด้วยที่ไม่ได้ทำความเคารพท่านให้เร็วกว่านี้”
ด้วยความเดือดดาลที่อดกลั้นไว้ อาจารย์เต๋าหลิวเฟิงพูดว่า “เจ้าคือค่วงจู๋รึ”
ถึงแม้ว่าเขาจะเผชิญหน้ากับคำถามที่น่าอึดอัดและโกรธแค้นของอาจารย์เต๋าหลิวเฟิง แต่ค่วงจู๋ก็ยังคงใจเย็นและพูดว่า “ข้าเองขอรับ”
“ถ้าเช่นนั้น เรียกพวกผู้สมรู้ร่วมคิดของเจ้าที่รวมหัวกันฆ่าผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังเจ็ดคนของสำนักกู่เจี้ยนของข้าออกมาซะ!”
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏบนใบหน้าค่วงจู๋ ดูเหมือนว่าเจ้าสำนักของสำนักกู่เจี้ยน อาจารย์เต๋าหลิวเฟิงจะมาเพื่อจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เขาจึงพูดว่า “ไม่มีเรื่องอย่างการสมคบคิดวางแผนฆ่าที่ศูนย์สันเขาเฉียนเหมินหรอกขอรับ ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าท่านเจ้าสำนักตู้พูดถึงใครที่ว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของข้า?”
โม่เทียนเกอตกใจอย่างรุนแรง เหตุการณ์นี้ทำให้เจ้าสำนักของสำนักกู่เจี้ยนถึงกับต้องมาด้วยตัวเอง! ดูเหมือนว่าไม่มีทางที่เรื่องนี้จะตกลงกันได้อย่างสันติแน่
อาจารย์เต๋าหลิวเฟิงโกรธจัด “สำนักกู่เจี้ยนของข้ามีผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังทั้งหมดเจ็ดคนในศูนย์สันเขาเฉียนเหมิน ศิษย์สำนักข้าเห็นกับตาตัวเองว่าผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังห้าคนรวมทั้งวั่นหงอันได้เข้าไปในโถงหลักและตายอยู่ข้างในนั้น ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังอีกสองคนอยู่ที่ไหนก็ยังไม่มีใครรู้ ขอโทษเถอะผู้จัดการกวง แต่เจ้าจะอธิบายเรื่องนี้ให้กับสำนักกู่เจี้ยนของข้าฟังอย่างไร?”
ด้วยสีหน้าสง่างามและสงบนิ่งดังเช่นก่อนหน้านี้ ค่วงจู๋กล่าว “คาดว่าศิษย์สำนักกู่เจี้ยนของท่านไม่ได้รายงานเรื่องนี้ทั้งหมดให้ท่านฟังสินะขอรับ มิเช่นนั้นข้าคงไม่ต้องอธิบายกันอีก”
ทันทีหลังจากนั้น ค่วงจู๋ชี้ไปที่โถงหลักที่ราบเป็นหน้ากลอง “เดิมทีนั่นคือโถงหลัก ข้าขออนุญาตถามท่านอาจารย์เต๋าหลิวเฟิง ท่านพอจะเดาได้หรือไม่ขอรับว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่?”
พลังวิญญาณที่กลั่นออกมาจากเลือดในม่านพลังอสูรพันร่างยังคงตกค้างอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงสามถึงห้าเดือนหลังจากวางม่านพลังนั้น เพราะเหตุนั้น เมื่ออาจารย์เต๋าหลิวเฟิงมองบริเวณนี้ผ่านๆ ด้วยจิตสัมผัสของเขา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
รอยยิ้มบนใบหน้าของค่วงจู๋จางลงขณะที่เขาถาม “ถ้าไม่ใช่เพราะเครื่องมือเวทของข้าโชคดีสามารถป้องกันการว่างม่านพลังอสูรพันร่างสำเร็จได้ ถ้าไม่ใช่เพราะศิษย์น้องของข้าเก่งในด้านม่านพลังและใช้ม่านพลังเพื่อสร้างปีศาจภาพหลอนมาฆ่าคนบงการ วั่นหงอัน ที่อยู่ในม่านพลังนั้น ท่านเจ้าสำนักตู้คงจะไม่มีโอกาสตามตัวข้ามาเพื่อให้รับผิดชอบอาชญากรรมครั้งนี้แน่ ไม่ต้องพูดถึงการเอาศพของศิษย์สำนักกู่เจี้ยนที่ตายกลับไปเลยด้วยซ้ำ”
ก่อนที่อาจารย์เต๋าหลิวเฟิงจะตอบ ค่วงจู๋ก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “ถ้าข้าจำไม่ผิด พวกศิษย์ที่ปล่อยม่านพลังอสูรพันร่างนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นศิษย์เกเรของสำนักกู่เจี้ยน ท่านเจ้าสำนักตู้ ศิษย์เกเรของเจ็ดกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ในศูนย์ของพันธมิตรคุนอู๋ควรจะถูกส่งไปอยู่ที่ไหนหรือในเวลาวุ่นวายจากสงครามเช่นนี้?”
การปล่อยม่านพลังอสูรพันร่างจำเป็นต้องใช้สื่อกลางเลือดสามคนเป็นอย่างต่ำ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหลังจากปล่อยม่านพลังอสูรพันร่างแล้วผู้ควบคุมม่านพลังโชคดีพอที่จะมีชีวิตรอดมาได้ เขาก็ยังจะกลายเป็นมารผู้ฝึกตนอยู่ดีและระดับการฝึกตนของเขาจะลดลงอย่างมาก ม่านพลังนี้เป็นม่านพลังที่จะจบลงด้วยการทำลายล้างทั้งสองฝ่าย ถึงอย่างนั้น ค่วงจู๋ก็หลีกเลี่ยงการพูดถึงว่าทำไมศิษย์สำนักกู่เจี้ยนถึงใช้ม่านพลังอสูรพันร่างตั้งแต่แรก ความขัดแย้งชี้ไปที่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการใช้ม่านพลังอสูรพันร่างนี้โดยตรง
แม้ว่าอาจารย์เต๋าหลิวเฟิงจะยังมีคำติเตียนอีกมากมายที่ต้องการพูด แต่ค่วงจู๋ได้ทำให้ศิษย์สำนักกู่เจี้ยนที่ตายไปเป็นปรปักษ์กับทุกคนที่ศูนย์สันเขาเฉียนเหมินแล้ว อาจารย์เต๋าหลิวเฟิงจึงไม่สามารถทำอะไรที่จะทำให้เขาต้องลำบากได้
พวกเขาเห็นใบหน้าของอาจารย์เต๋าหลิวเฟิงเป็นสีแดงก่ำ จากนั้นเปลี่ยนเป็นซีดและซีดจนเขียวในที่สุด เขาพูดอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าฆ่าศิษย์สำนักกู่เจี้ยนทั้งหมดที่มีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ เจตนาของเจ้าก็เพื่อปิดปากพวกเขา! ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าใช้วิธีเลวทรามอะไรในการล่อให้ศิษย์สำนักกู่เจี้ยนของข้าต้องใช้ม่านพลังอสูรพันร่าง แต่ไม่ว่ากรณีใด เทพคนนี้ก็จะไม่หลงเชื่อคำโกหกของเจ้า! ในเมื่อเรื่องนี้ไม่ชัดเจน เราต้องตามหาความจริงที่เห็นกันชัดๆ!”
เมื่อเขาพูดเช่นนั้น ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังของโรงเรียนเสวียนชิงทุกคนเรียกเครื่องมือเวทของตัวเองออกมา มีเพียงค่วงจู๋ที่ยังสงบนิ่งเหมือนเดิม “ที่จริงแล้วเป็นศิษย์ของท่านเจ้าสำนักตู้ต่างหากที่ฝ่าฝืนกฎ หรือว่าบางทีท่านเจ้าสำนักตู้อาจจะวางแผนทำลายล้างศิษย์ทุกคนของเจ็ดกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สันเขาเฉียนเหมินให้สิ้นซากไปหมดเลยงั้นหรือ?”
อาจารย์เต๋าหลิวเฟิงกำลังจะอธิบายแต่ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงดังสนั่นราวฟ้าร้องตามมาด้วยแรงกดดันของพลังวิญญาณที่น่ากลัวแผ่ซ่านออกมาจากที่ไกล “ท่านเจ้าสำนักตู้อาจจะต้องฆ่าท่านประมุขท่านนี้ไปด้วยเสียเลย!”
ศิษย์โรงเรียนเสวียนชิงที่ก่อนหน้านี้ดูประหม่ากลายเป็นลิงโลดกันขึ้นมาทันที ศิษย์บางคนถึงกับตะโกนออกมาดังๆ “ท่านปรมาจารย์จิ้งเหอมาแล้ว!”
ก่อนที่เสียงตะโกนของพวกเขาจะหยุดลง พวกเขาก็เห็นรถเมฆปรากฏขึ้นจากภูเขาเบื้องหน้า รายล้อมไปด้วยผู้ฝึกตนหญิงระดับการสร้างฐานแห่งพลังแปดคนในเสื้อผ้างดงามพริ้วไหวกำลังถือโคมตำหนัก รถเมฆลอยอย่างเร็วมาทางศูนย์สันเขาเฉียนเหมิน
รูปแบบที่ช่างหลงตัวเองและขี้อวดสุดขั้วเช่นนี้เป็นของคนหนึ่งคนเดียวเท่านั้น ท่านประมุขเต๋าจิ้งเหอแห่งโรงเรียนเสวียนชิง
หลังจากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น ทั้งสองฝ่ายต่างส่งเครื่องรางกระจายเสียงพันลี้ออกไปทันที เมื่อเปรียบเทียกับระยะห่างระหว่างสันเขาเฉียนเหมินและโรงเรียนเสวียนชิง ระยะห่างของสันเขาเฉียนเหมินกับสำนักกู่เจี้ยนค่อนข้างจะไกลกว่าหน่อย ท่านประมุขเต๋าจิ้งเหอคงจะเริ่มออกเดินทางทันทีหลังจากเขาได้รับเครื่องรางเรียกขาน แต่กระนั้นเขาเพิ่งจะมาถึงเอาตอนนี้ คาดว่าเป็นเพราะความเร็วของรถเมฆควบคุมโดยผู้ฝึกตนหญิงเหล่านั้น
การมองรถเมฆรายล้อมไปด้วยกลุ่มของผู้ฝึกตนหญิงมุ่งตรงเข้ามาหาพวกเขาอย่างภาคภูมิใจ ใบหน้าที่มักจะสงบนิ่งของค่วงจู๋ดูค่อนข้างเศร้าหมองลง
ถึงอย่างนั้น รถเมฆที่แสนหรูหรานี้ก็ไม่ได้ใส่ใจกับสายตาที่จับจ้องมาสักนิด ผู้ฝึกตนหญิงแปดคนรอบๆ คงจะชินกับสถานการณ์เช่นนี้แล้ว ที่จริงแล้วพวกนางถึงกับเก็บโคมตำหนักและเอาตะกร้าดอกไม้ที่เหมือนกันออกมาจากกระเป๋าเอกภพของตัวเองด้วยซ้ำ จากนั้นภายใต้สายตาที่จับจ้องของทุกคน พวกนางเริ่มโยนกลีบดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมขึ้นไปในอากาศราวกับว่าพวกนางกำลังทำการแสดงสักอย่าง จนกระทั่งกลีบดอกไม้ปกคลุมทั่วพื้นข้างใต้ทั้งหมด รถเมฆจึงค่อยๆ ลงจอดช้าๆ
จากนั้นทุกคนจ้องมองสาวใช้สองคนดึงม่านสีทองขึ้น เผยให้เห็นชายวัยกลางคนที่ดูสูงศักดิ์อย่างมากแต่งตัวสง่างามและใส่มงกุฎสีทองกำลังนั่งอยู่ภายใน ชายคนนั้นกวาดสายตามองทุกคนที่อยู่ที่นั่นอย่างสบายๆ
ถ้าจะมีใครที่ก่อนหน้านี้คิดว่ารถเมฆนี้ฟุ้งเฟ้อเกินไป หลังจากเห็นเจ้าของรถเมฆ ตอนนี้พวกเขาคงรู้สึกว่าความฟุ้งเฟ้อนั้นไม่ได้เกินเรื่องเกินราวไปเลยแม้แต่น้อย
สุดท้ายแล้วสายตาของประมุขเต๋าจิ้งเหอก็มาหยุดอยู่ที่อาจารย์เต๋าหลิวเฟิงที่ดูจนมุม รอยยิ้มที่ดูเป็นมิตรอย่างมากปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา “สำนักกู่เจี้ยนของท่านมักจะบูชาพละกำลังการต่อสู้เหนืออย่างอื่นทั้งหมด แต่โรงเรียนเสวียนชิงของเราเป็นโรงเรียนแห่งเต๋า และขึ้นชื่อว่าโรงเรียนแห่งเต๋าก็ต้องพูดกันถึงหลักเหตุและผลเป็นธรรมดา”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ กลุ่มศิษย์โรงเรียนเสวียนชิงรู้สึกอับอายขึ้นมาทันที ลัทธิเต๋าของเราคือเต๋าที่เป็นหนึ่งเดียวกับกฎแห่งสวรรค์และคือเต๋าแห่งความสมดุล แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหลักเหตุและผล…?
อีกอย่าง ปรมาจารย์จิ้งเหอท่านนี้ก็เป็นคนที่กระหายเลือดมาโดยตลอด เขาเคยพูดถึงหลักเหตุและผลเมื่อไหร่กัน…