ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 136-2
ลำนำสตรียอดเซียน – ตอนที่ 136-2 พูดไม่ได้
“เทียนเกอ ยินดีด้วย! ภายในช่วงเวลาอันสั้น เจ้าก็ได้รับการยอมรับให้เป็นศิษย์ทางการจากท่านปรมาจารย์! เจ้าทำให้ข้าอิจฉาแทบตาย! อ้า ไม่สิ ตอนนี้ข้าควรเรียกเจ้าว่า ‘ท่านอาจารย์ลุง’
โม่เทียนเกอเก็บของจากถ้ำของนางก่อนหน้านี้ในขณะที่คุยกับหลัวเฟิงเสวี่ย เมื่อนางได้ยินสิ่งที่หลัวเฟิงเสวี่ยพูด นางก็หัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ “ศิษย์พี่หลัว ท่านกำลังทำให้ข้าประหม่าที่เรียกข้าว่า ‘ท่านอาจารย์ลุง’ นะ”
“ประหม่าเกี่ยวกับอะไร” หลัวเฟิงเสวี่ยพูดอย่างตรงไปตรงมา “เจ้าเป็นศิษย์ทางการของท่านปรมาจารย์ ข้าก็ต้องเรียกเจ้าว่า ‘อาจารย์ลุง’ เจ้าไม่ควรเรียกข้าว่า ‘ศิษย์พี่’ อีกแล้วนะตอนนี้ ข้ารับไม่ได้ที่จะถูกเรียกแบบนั้น อีกอย่าง มันคงจะไม่ดีถ้าคนอื่นได้ยินเข้า”
“ถ้าอย่างนั้น… ตกลง เฟิงเสวี่ย”
เมื่อได้ยินที่ถูกเรียกเช่นนี้ หลัวเฟิงเสวี่ยก็ยิ้มอย่างเบิกบาน “ไม่คาดคิดเลย แค่ช่วงเวลานี้เท่านั้นที่ข้าได้ยินท่านเรียกแค่ชื่อของข้า อาจารย์ลุงโม่ ข้าคิดว่าท่านเป็นคนที่ป้องกันตัวเองมากทีเดียว…”
นางพูด “ท่านอาจารย์ลุงโม่” ด้วยน้ำเสียงที่ล้อเลียน แต่มันทำให้โม่เทียนเกอหน้าแดงด้วยความอาย สิ่งที่หลัวเฟิงเสวี่ยพูดไม่ได้ผิดเลย โม่เทียนเกอไม่ชอบที่จะสนิทกับคนอื่น ดังนั้นนางไม่เคยชอบที่จะเรียกแค่ชื่อของหลัวเฟิงเสวี่ย ในทางกลับกัน หลัวเฟิงเสวี่ยมักจะจริงใจต่อโม่เทียนเกอ ด้วยความสัตย์จริง โม่เทียนเกอมองหลัวเฟิงเสวี่ยผิดไปจริงๆ
“เฟิงเสวี่ย ข้า…”
“ลืมมันเสียเถอะ ไม่จำเป็นต้องอธิบายหรอก” หลัวเฟิงเสวี่ยยิ้มและพูด “ข้าเข้าใจ เจ้าผ่านชีวิตที่ยากลำบากมา ดังนั้นเจ้าจึงมักจะระแวงคนอื่น ถ้าเจ้าไม่ได้ถูกพากลับมาโดยท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งและได้รับการยอมรับให้เป็นศิษย์จากท่านปรมาจารย์ ข้าก็คงจะไม่ปฏิบัติกับเจ้าอย่างจริงใจแบบนี้เช่นกัน”
สิ่งที่หลัวเฟิงเสวี่ยพูดทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยและรู้สึกผิดน้อยลง ดังนั้น นางจึงยิ้มและพูด “ตกลงเฟิงเสวี่ย ในเมื่อข้าจะไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว ข้ายกสวนสมุนไพรให้เจ้า ถ้าในอนาคตมีคนใหม่ที่จะเข้ามาอยู่ที่นี่ เจ้าตัดสินใจได้เลยว่าเจ้าจะย้ายมันไปด้วยหรือไม่”
“เข้าใจแล้ว! ในเมื่อตอนนี้เจ้าเป็นศิษย์ทางการของท่านปรมาจารย์ ข้าก็จะขอพูดตรงๆ พืชวิญญาณที่พวกเราซื้อมาจากโรงเรียนต้านติงยังคงอยู่กับข้า ข้าขอพวกมันทั้งหมด เจ้าไม่ปฏิเสธใช่หรือไม่”
โม่เทียนเกอระเบิดหัวเราะออกมา “แน่นอน! ตอนนี้ข้าเป็นศิษย์พี่แล้ว ดังนั้นแน่นอนเลยข้าไม่สามารถเถียงศิษย์น้องของข้าได้หรอก”
“ฮ่า! เจ้าปรับตัวเข้ากับตัวตนใหม่ของเจ้าได้ค่อนข้างเร็วทีเดียว ตอนนี้เจ้าโอ้อวดตัวตนของเจ้าในฐานะศิษย์พี่ต่อหน้าข้าทีเดียว ฮึ่ม! อย่างไรก็ตาม ข้าจะขอรับผลประโยชน์ที่นี่ตอนนี้ ข้าจะได้ไม่ต้องสู้กับเจ้าต่อไปเกี่ยวกับการเปลี่ยนสถานะนี้”
หลังจากพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายหลัวเฟิงเสวี่ยก็พาโม่เทียนเกอให้เข้าไปพบอาจารย์เต๋าเสวียนอิน
ช่วงการต่อสู้สองปีที่ผ่านมา ทั้งหลัวเฟิงเสวี่ยและเว่ยจยาซือได้รับบาดเจ็บ อาการบาดเจ็บของเว่ยจยาซือนั้นสาหัส ดังนั้นนางยังคงอยู่ในช่วงการพักฟื้น อาการของหลัวเฟิงเสวี่ยดีขึ้นมากแล้วตอนนี้ นางได้ครอบครองยาวิเศษและรางวัลจากทางโรงเรียน สำหรับหันชิงอวี้เพราะนางบาดเจ็บก่อนหน้านี้มานานแล้วตอนนี้นางจึงปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเพื่อพักฟื้นอยู่ ดังนั้นเมื่อโม่เทียนเกอกลับไป นางจึงพบแค่หลัวเฟิงเสวี่ย
เมื่อพวกนางไปถึงถ้ำเซียนของอาจารย์เต๋าเสวียนอิน ศิษย์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูรีบตรงเข้ามาหาพวกนางเพื่อทักทาย “คาราวะท่านอาจารย์ลุงโม่ และศิษย์พี่หลัว”
โม่เทียนเกอแปลกใจและตกใจอย่างมาก นี่ข่าวที่นางได้รับการยอมรับให้เป็นศิษย์ทางการได้แพร่ไปทั่วยอดเขาวสันต์กระจ่างแล้วหรือ?
หลัวเฟิงเสวี่ยกระซิบเงียบๆ กับนาง “หลังจากที่ท่านปรมาจารย์กลับมา เขาบอกว่าเจ้ากล้าหาญมากพอในการต่อสู้กับสัตว์ปีศาจระดับห้าด้วยตัวคนเดียวในสงครามครั้งนี้ และช่วยเพิ่มชื่อเสียงให้กับยอดเขาวสันต์กระจ่าง ดังนั้นเขาจึงเปิดเผยด้วยตัวของเขาเองว่าได้รับเจ้าเข้าเป็นศิษย์ทางการ”
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่แปลกใจเลยที่ศิษย์เฝ้าประตูเปลี่ยนวิธีการเรียกนาง
เมื่อพวกนางเข้าไปที่ห้องโถง อาจารย์เต๋าเสวียนอินกำลังหลับตาทำสมาธิอยู่ หลัวเฟิงเสวี่ยเรียก “ท่านอาจารย์!”
อาจารย์เต๋าเสวียนอินลืมตาขึ้น เขาหันมองมายังทั้งสองก่อนที่จะหยุดอยู่ที่โม่เทียนเกอ “เทียนเกอ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
โม่เทียนเกอก้าวไปด้านหน้าและทักทายเขาด้วยความสุภาพ “ท่านอาจารย์ลุงเสวียนอิน ข้าสบายดี อภัยให้ข้าด้วยที่ทำให้ทุกท่านต้องเป็นห่วง”
อาจารย์เต๋าเสวียนอินลูบเครายาวของเขา รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ในเมื่อเจ้าได้รับให้เป็นศิษย์ทางการจากท่านอาจารย์แล้ว เจ้าก็ไม่ต้องเรียกข้าว่า ‘อาจารย์ลุง’ อีกต่อไป เรียกข้าว่า ‘ศิษย์พี่’ คงจะเหมาะสมกว่า”
“ใช่สิ” โม่เทียนเกอแก้คำพูดของนาง “ศิษย์พี่เสวียนอิน คุณงามความดีที่ท่านสอนข้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เทียนเกอจะไม่มีวันลืม ข้าจะจากไปในวันนี้ ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่เพื่อมากล่าวขอบคุณท่าน”
“เด็กคนนี้…” อาจารย์เต๋าเสวียนอินมองนางอย่างมีเมตตา นางใช้เวลาสองปีในการสร้างฐานแห่งพลังแต่ก็หายไปสองปีเช่นกัน ถ้าให้มองตามหลักแล้ว เขาไม่ได้สอนนางไปทั้งหมดสามปี อย่างไรก็ตามพวกเขายังคงเป็นอาจารย์กับศิษย์ทุกเมื่อยกเว้นในนามเท่านั้น
“เทียนเกอ ในเมื่อเจ้าคือศิษย์ของท่านอาจารย์แล้ว เจ้าจะต้องฝึกตนให้หนักขึ้นในอนาคตข้างหน้า เจ้าจะต้องไม่นำความอับอายมาสู่ชื่อของท่านอาจารย์ เข้าใจไหม”
“ข้าจะทำตามที่ศิษย์พี่เสวียนอินได้ชี้แนะไว้อย่างแน่นอน”
“อือ พวกเรายังมีโอกาสอีกมากที่จะได้เจอกันในอนาคต ดังนั้นพวกเราไม่จำเป็นที่จะต้องเศร้าเสียใจ ไปเถอะ!”
“ตกลง”
เมื่อได้ถ่ายทอดคำขอบคุณของนางอย่างจริงจังแล้ว โม่เทียนเกอจึงถอยหลังและตามหลัวเฟิงเสวี่ยออกไป
“ตกลงเฟิงเสวี่ย ข้าจะกลับไปที่ถ้ำของข้า เจ้าไปหาข้าได้ทุกเมื่อที่เจ้ามีเวลาว่าง”
ด้วยรอยยิ้ม หลัวเฟิงเสวี่ยก้าวมาด้านหน้าเพื่อกอดนางชั่วครู่ “เข้าใจแล้ว” ถึงแม้ว่าโม่เทียนเกอจะพูดเช่นนั้น หลัวเฟิงเสวี่ยก็รู้ดีในหัวใจว่าโอกาสที่พวกนางจะได้พบกันในอนาคตข้างหน้านั้นน้อยนิดและมีอยู่ไม่ได้มากนัก ถ้ำเซียนของท่านปรมาจารย์จิ้งเหอเป็นสถานที่ที่นางสามารถไปได้บ่อยๆ งั้นหรือ
เมื่อกล่าวลากับหลัวเฟิงเสวี่ย โม่เทียนเกอจึงหันกลับ นางกำลังจะเดินต่อเมื่อนางเห็นว่ามีใครคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ห่างจากนางนักด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่
นั่นคือฉินซี
เป็นเวลามากกว่าสองปีที่พวกเขาได้เจอหน้ากันครั้งสุดท้าย ตั้งแต่ที่พวกเขาแยกจากกันที่ผาลั่วเยี่ยน ถ้าจะนับให้ถูกต้อง ในปีนั้นเมื่อพวกเขาออกมาจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของจงมู่หลิง ท่าทางของฉินซีในวันนั้นดูไม่ค่อยดีนัก ตอนนี้สายตาที่เขามองนางนั้นยากเกินกว่าที่จะอธิบายออกมาได้ มันดูเหมือนความรู้สึกระลึกถึงความหลังแต่ในเวลาเดียวกันมันก็ให้สัมผัสที่ห่างเหิน อีกอย่างเขาดูขัดแย้งและมีท่าทางเย็นชา
โม่เทียนเกอหยุดเดิน เหมือนกับสายตาที่เขาจ้องมอง ความรู้สึกของนางยากเกินที่จะบรรยายได้ นางควรทักทายเขาและถามว่าเขาเป็นอย่างไรบ้างดีไหม ชั่วขณะหนึ่งนางรู้สึกไม่ชอบใจหากนางไม่ทักทายเขา ความรู้สึกถัดมานางรู้สึกว่าไม่ต้องใส่ใจเขาก็ได้ อย่างไรก็ตาม นางก็ตัดสินใจเดินต่อไป ไปหาฉินซีด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
ในวินาทีถัดมา อย่างไรก็ตามฉินซีมองลงต่ำหันหลังกลับและเดินหนีไปโดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
นางตกตะลึง
เขา… เขาไม่ได้เดินจากไปเพราะเขาไม่เห็นนาง เขาเดินจากไปเพราะเขาไม่ต้องการคุยกับนาง!
หัวใจของนางรู้สึกเหมือนถูกบีบ นางไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นเพราะนางโกรธ หรือผิดหวังกันแน่
“เทียนเกอ?”
โม่เทียนเกอหันกลับและเห็นหลัวเฟิงเสวี่ยกำลังมองนางอย่างสับสน คิดว่านางน่าจะเห็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเช่นกัน
หลังจากที่สูดหายใจลึก โม่เทียนเกอยิ้มให้หลัวเฟิงเสวี่ย “ไม่เป็นไร ข้าขอตัวกลับก่อน”
“…ตกลง” หลัวเฟิงเสวี่ยตอบอย่างไม่มั่นใจ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วนางก็ยังไม่บอกเทียนเกอเกี่ยวกับเรื่องของศิษย์พี่ชิน”
นางไม่ควรเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ในฐานะของคนนอก อีกอย่างเทียนเกอก็เป็นอาจารย์ลุงของนางในตอนนี้แล้ว
หลังจากที่กลับมาถึงถ้ำเซียนใหม่ของนาง โม่เทียนเกอนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นระยะหนึ่ง
ในถ้ำนี้ เครื่องเรือนต่างๆ รวมถึงของเล็กๆ ทั้งหมดนั่นถูกทิ้งไว้จากคนอื่น มันให้ความรู้สึกราวกับว่ามันเต็มไปด้วยอดีตที่ผ่านมาหลายปีซึ่งไม่ใช่ของนาง
เจ้าของคนก่อนหน้านี้บางทีอาจจะเหมือนนาง นั่งที่ตรงนี้ จิบชา พูดคุยกับใครบางคน หรือบางทีอาจแค่ใคร่ครวญอยู่เงียบๆ บางทีเขาอาจจะนั่งสมาธิในห้องฝึกตนและเปิดดูหนังสือเหล่านั้น ลายมือของเขายังคงอยู่บนหน้ากระดาษ ห้องปรุงยา ห้องขัดเกลา ห้องนอน… ร่องรอยของเขายังคงมีให้พบเห็นอยู่ในทุกห้อง
ท้ายที่สุด รอยยิ้มบางๆ ก็ปรากฏบนหน้าของนาง นางยืนขึ้น สูดหายใจลึกและเริ่มเก็บของต่างๆ ในห้องเหล่านั้นลงในกระเป๋าเอกภพที่ว่างเปล่า ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เก้าอี้ หรือหนังสือ ทุกอย่างล้วนไม่ใช่ของนาง ดังนั้นมันคงจะดีกว่าที่จะเอาของมาแทนที่ทั้งหมด
“อาจารย์ลุงโม่!” เสียงร้องเรียกประหลาดใจดังเข้ามา
โม่เทียนเกอหันไปมองทางที่มาของเสียง ผู้ฝึกตนหญิงสองคนกำลังยืนอยู่ที่ประตู มองนางด้วยความประหลาดใจ
“อะไรรึ มีอะไรผิดปกติหรือ” นางถามด้วยสีหน้านิ่งเฉย
“ท่านกำลังทำอะไร”
“จัดถ้ำของข้าไง”
“หา?”
โม่เทียนเกอมองพวกเขาอย่างเย็นชา “อะไร เจ้าเคยบอกว่าข้าสามารถจัดการสิ่งของเหล่านี้ได้ตามที่ต้องการไม่ใช่หรือ ผิดหรือที่ข้าไม่ได้ต้องการมัน”
“นี่…” ผู้ฝึกตนหญิงสองคนมองนาง รู้สึกหมดหนทาง พวกนางพูดเช่นนั้นจริง แต่พวกนางไม่ได้คิดว่าอาจารย์ลุงท่านนี้จะโยนทิ้งของทุกอย่างที่เป็นของอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง!