ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 137-1
ลำนำสตรียอดเซียน – ตอนที่ 137-1 สตรีจับกลุ่มนินทา น่ารำคาญ!
ถ้ำเซียนของประมุขเต๋าจิ้งเหอมีชื่อว่าตำหนักซ่างชิง [1]
เมื่อโม่เทียนเกอเห็นชื่อ นางก็ค่อนข้างประหลาดใจ นางคิดว่ามันอาจจะเรียกว่าตำหนักว่านฮวา [2] หรือตำหนักไป่เซียง [3] หรืออะไรทำนองนั้นเสียอีก นางไม่ได้คาดคิดว่ามันจะมีชื่อปกติเช่นนี้
ภายในตำหนัก นอกจากประมุขเต๋าจิ้งเหอ มีเพียงแค่ตัวนางและสาวใช้สิบหกคนของเขา สาวใช้พวกนี้ทั้งหมดเป็นผู้ฝึกตนหญิงระดับการสร้างฐานแห่งพลังจากโรงเรียน เพราะรากวิญญาณของพวกนางธรรมดาและไม่ดีพอที่จะให้ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังรับเข้ามาเป็นศิษย์ พวกนางจึงสมัครใจมาเป็นสาวใช้ของปรมาจารย์ระดับจิตวิญญาณใหม่ด้วยความหวังว่าจะได้รับคำชี้แนะอะไรบางอย่างจากเขา
ประมุขเต๋าจิ้งเหอไม่ใช่คนขี้เหนียว ที่จริงสาวใช้ของเขาก็ได้รับคำแนะนำและรางวัลต่างๆ จากเขา ในตอนแรกบางทีสาวใช้พวกนี้อาจจะมาเพื่อหวังก้าวหน้าในการฝึกตน อย่างไรก็ตาม หลังจากรับใช้ชายคนหนึ่งที่หล่อเหลาและสง่างามพร้อมทั้งระดับการฝึกตนสูงมาเป็นเวลานาน พวกนางก็เริ่มจะมีความคิดเพ้อฝันโดยไม่รู้ตัว การทะเลาะเบาะแว้งและชิงดีชิงเด่นระหว่างพวกนางจึงเพิ่มมากขึ้น
ในตอนที่โม่เทียนเกออยู่ในบ่อน้ำเวินหย่าง นางก็ได้เห็นแม่นางเหมย แม่นางหลาน แม่นางจู๋ และแม่นางจู๋ทะเลาะกันมาแล้ว นางไม่ได้คิดมากกับเรื่องนั้น แต่หลังจากนางไปที่ตำหนักซ่างชิง ในที่สุดนางก็รู้ว่าการทะเลาะกันของพวกนางวันนั้นไม่มีอะไรสมควรจะต้องพูดถึงเลย
ในบรรดาสาวใช้สิบหกคน สี่คนถูกตั้งชื่อตามดอกไม้คือเหมย หลาน จู๋ จู๋ [4] สี่คนถูกตั้งชื่อตามศิลปะคือฉิน ฉี ซู ฮว่า [5] สี่คนถูกตั้งชื่อตามฤดูกาลคือชุน เซี่ย ชิว ตง [6] และอีกสี่คนชื่ออวี่ เสวี่ย เฟิง ซวง [7] แต่ละชื่อถูกเลือกมาเองโดยประมุขเต๋าจิ้งเหอซึ่งล้วนเป็นชื่อที่เชยมาก
ตามความคาดหมายที่ตั้งไว้จากชื่อพวกนี้ ความจริงที่ว่าถ้ำเซียนแห่งนี้ถูกเรียกว่าตำหนักซ่างชิงทำให้โม่เทียนเกอประหลาดใจมาก
บ้านพักหมิงซินของโม่เทียนเกออยู่ค่อนข้างใกล้กับที่ฉิน ฉี ซู ฮว่าพักอยู่ ชื่อเต็มของพวกนางคือซิ่วฉิน ชิงฉี เสียนซู และไต้ฮว่า โดยรวมแล้วชื่อพวกนางก็ถือว่าค่อนข้างสละสลวยกว่าชื่อเหมย หลาน จู๋ และจู๋ อย่างไรก็ตามวิธีที่พวกนางพูดคุยและปฏิบัติต่อกันนั้นแย่ยิ่งกว่าที่เหมย หลาน จู๋ จู๋ทะเลาะกันเสียอีก
ยิ่งไปกว่านั้น เพราะระดับการฝึกตนของนางไม่ได้ต่างจากพวกนางมาก สาวใช้เหล่านี้จึงไม่ได้ปฏิบัติกับนางอย่างจริงใจ ถึงแม้พวกนางจะเรียกนางว่า “อาจารย์ลุง” และไม่เคยแสดงให้เห็นเจตนาว่าจะต่อต้านนาง แต่วิธีที่พวกนางพูดและประพฤติต่อนางก็ยังไม่ค่อยมีความเคารพที่นางควรจะได้รับเท่าใดนัก
ด้วยเหตุผลนั้น โม่เทียนเกอจึงวางม่านพลังห้าวิญญาณรอบถ้ำเล็กๆ ของนาง ถ้านางต้องการอะไร นางจะเรียกพวกนางมาโดยการส่งเครื่องรากเรียกขานจากภายนอกม่านพลัง ทั้งหมดทั้งมวลคือนางพยายามจะลดโอกาสที่ต้องติดต่อกับพวกนางให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพราะนางปิดกั้นสาวใช้พวกนี้ไม่ให้เข้ามาในถ้ำของนาง และอีกอย่างประมุขเต๋าจิ้งเหอก็ปล่อยให้นางดูแลตัวเอง ในที่สุดโม่เทียนเกอจึงสบโอกาสได้เข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนางเพื่อฝึกตนต่อ
ด้วยศาสตร์ซู่หนี่ว์แห่งต้นกำเนิด การฝึกตนของนางก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว นางเพียงแค่ต้องฝึกตนหกชั่วโมงเพื่อให้ได้ผลเทียบเท่ากับการฝึกตนทั้งวัน กระนั้นโม่เทียนเกอไม่ได้รีบร้อนฝึกตน ทุกๆ วันนางจะฝึกตนประมาณหกชั่วโมงและหยุดหลังจากนางได้ผลลัพธ์ตามปกติของนาง
นางรู้ดีว่าระดับการฝึกตนของนางเพิ่มขึ้นมาถึงขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังโดยการฝืน ดังนั้นทั้งอารมณ์และดินแดนของนางจึงยังไม่เสถียรดี ถ้านางใจร้อนอยากเห็นผลลัพธ์ขณะที่จิตใจของนางยังไม่นิ่งพอเมื่อเวลานั้นมาถึง นางอาจจะล้มเหลวในการก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและจะต้องเริ่มใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง เพราะฉะนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่นางจะทำสิ่งต่างๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไปในตอนนี้และวางรากฐานที่หนักแน่นให้ได้เสียก่อน
การจงใจยั้งความเร็วในการฝึกตนของนางยังส่งผลให้การพัฒนาศาสตร์หลอมจิตวิญญาณของนางช้าลงไปด้วย ทุกศาสตร์ที่สามารถใช้ได้ในการต่อสู้ด้วยพลังเวทต้องใช้วิชาฝึกจิตเป็นพื้นฐานของมัน รวมถึงศาสตร์หลอมจิตวิญญาณด้วย ตอนนี้นางอยู่เพียงแค่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง แม้ว่าทั้งจิตวิญญาณเริ่มต้นและเส้นลมปราณของนางจะแตกต่างจากพวกผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังธรรมดาทั่วไป แต่ระดับการฝึกตนของนางก็ไม่ควรถูกมองข้าม ถ้าระดับการฝึกตนของนางไม่เพียงพอจะรองรับศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ มันก็อาจจะจบลงที่การสะท้อนกลับและทำร้ายนางได้
ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงใช้เวลาประมาณห้าถึงหกชั่วยามที่นางเหลืออยู่ในหนึ่งวันเพื่อเรียนรู้ทักษะอื่นๆ
ม่านพลัง การปรุงยา การขัดเกลาเครื่องมือ การวาดเครื่องราง ศาสตร์แห่งการรักษา และการช่าง
ในหมู่ทักษะหลากหลายชนิดนับไม่ถ้วน ศาสตร์แห่งการช่างที่ว่านี้คือสิ่งหนึ่งที่พิเศษ ตามตำนานว่าไว้ ในอดีตที่ห่างไกล ตระกูลที่รู้จักกันในนามตระกูลม่อได้ปรากฏกายขึ้นในโลกมนุษย์ ผู้ก่อตั้งของตระกูลคือม่อจื๊อ [8] มีทักษะมากในงานฝีมือ เขาสามารถใช้ท่อนไม้ เหล็กและของอื่นๆ เพื่อสร้างเครื่องจักรที่ทรงพลังอย่างมาก สิ่งประดิษฐ์ของเขาแต่ละอย่างล้วนทรงพลังมากพอที่จะสู้กับศัตรูนับร้อยและปล้นเมืองได้
แน่นอนว่าในโลกแห่งการฝึกตน ทักษะประเภทนั้นไม่จำเป็นและไม่คู่ควรแก่การกล่าวถึงด้วยซ้ำ ถึงอย่างนั้นก็ตาม โลกแห่งการฝึกตนก็มีศาสตร์แห่งการช่างของตัวเอง วัตถุวิญญาณและไม้ค้ำทุกชนิดจะถูกนำมาใช้เพื่อสร้างหุ่นเชิดซึ่งสามารถรับพลังได้เหมือนกับมนุษย์ผู้ฝึกตน
โชคไม่ดีที่หลังจากโม่เทียนเกอรื้อค้นหนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับศาสตร์แห่งการช่าง นางก็รู้ว่าหุ่นเชิดพวกนี้ต้องใช้ไม้ค้ำเพื่อให้มันเคลื่อนไหวได้ ทุกวันนี้ไม้ค้ำหาได้ยากจึงไม่น่าแปลกว่าทำไมศาสตร์แห่งการช่างถึงได้สูญหายไปด้วย
ฝึกตน เพาะปลูก ฝึกทักษะอื่นๆ … วันเวลาของนางผ่านไปทีละวันเช่นนั้นเอง ขณะที่โม่เทียนเกอเก็บตัวอยู่ในถ้ำเล็กๆ ของนาง นางหมกมุ่นกับการฝึกฝนและการเรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่นางเลิกพบเจอคนอื่น
นางไม่รู้ว่าวันเวลาที่โดดเดี่ยวแต่ไม่เดียวดายพวกนี้ผ่านไปนานแค่ไหนก่อนที่ท่านอาจารย์แค่ในนามของนางจะจำนางได้ขึ้นมาในที่สุด
โม่เทียนเกอนั่งอยู่บนเก้าอี้ กำลังแสดงหน้าตาของศิษย์ที่เชื่อฟังและปล่อยให้ประมุขเต๋าจิ้งเหอพินิจพิเคราะห์นางอย่างใจเย็น
หลังจากจ้องนางมาสักพัก ในที่สุดประมุขเต๋าจิ้งเหอก็พูดขึ้นมา “แม่นางน้อย เจ้านี่ฉลาดอย่างคาดไม่ถึง แทนที่จะมุ่งมั่นฝึกตน เจ้ากลับลดจังหวะการฝึกตนของเจ้าให้ช้าลง อืม อืม เจ้านี่ฉลาดกว่าไอ้เด็กเหลือขอนั่นเสียอีก!”
ไอ้เด็กเหลือขอ? กลไกในสมองของโม่เทียนเกอทำงาน เขาหมายถึงใครกัน
หลังจากพูดอย่างนั้น ประมุขเต๋าจิ้งเหอก็เอนหลังนอนอีกครั้ง “ในเมื่อเจ้าจงใจลดความเร็วในการฝึกตนของเจ้า เจ้าคงขี้เกียจทุกวันเลยสิท่า ใช่ไหม”
“…” ข้าไม่ได้ขี้เกียจ! ไม่เลยแม้แต่น้อย! โม่เทียนเกอไม่กล้าพอจะพูดออกไปดังๆ นางเพียงแค่พยักหน้าและจ้องเขาอย่างระมัดระวัง
ประมุขเต๋าจิ้งเหอดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจ ที่จริงเขาไม่ได้มองนางด้วยซ้ำ เขาปอกองุ่นต่อไปโดยใช้พลังวิญญาณของเขา “งั้นอาจารย์ให้อะไรเจ้าไปทำสักสองสามอย่างดีไหม”
นี่ถือเป็นงานหรือ โม่เทียนเกอจ้องเขาอย่างระมัดระวังยิ่งกว่าเดิม
ประมุขเต๋าจิ้งเหอเหลือบมองนางและหัวเราะเบาๆ จากนั้นเขาพูดอย่างเป็นมิตร “ศิษย์เอ๋ย อาจารย์ทำเช่นนี้ก็เพื่อประโยชน์ของเจ้า ลองดูตัวเองสิ เจ้ายังมีเวลาอีกหลายปีข้างหน้า มัวเก็บตัวอยู่แต่ในถ้ำตลอดเวลามันดูไม่ค่อยดีนะ เจ้าว่าไหม”
“ท่านอาจารย์” โม่เทียนเกอพูดหลังจากไตร่ตรองมาแล้ว “ศิษย์รู้สึกว่าชีวิตตอนนี้ก็ดีมากอยู่แล้ว ศิษย์ชอบที่จะอยู่แบบนี้เจ้าค่ะ”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอเลิกคิ้ว “ส่วนไหนของการอยู่แบบนี้ที่ดีรึ เจ้าไม่ต้องอายหรอก อาจารย์ได้วางแผนทุกอย่างแทนเจ้ามาดีแล้ว! ตามการคำนวณของข้า เวลาที่เจ้าใช้ฝึกตนต้องไม่เกินห้าชั่วยามในทุกวันใช่ไหม ในวันหนึ่งมีสิบสองชั่วยาม ดังนั้นเวลามากกว่าครึ่งก็ยังไม่ได้ใช้ อีกอย่างเจ้าไม่จำเป็นต้องนอนด้วยซ้ำไป แล้วเจ้าจะขี้เกียจไปเพื่ออะไร เพราะอย่างนั้นอาจารย์หาทางแก้ปัญหาให้เจ้าแล้ว ข้าจะให้เจ้าทำงานบางอย่าง!”
“…”
พอเห็นว่าโม่เทียนเกอไม่ได้คัดค้าน ประมุขเต๋าจิ้งเหอหัวเราะคิกคักทันที “นั่นล่ะที่ข้าถือว่าเชื่อฟัง! ข้ามีเหตุผลอะไรต้องทำร้ายเจ้ารึ ข้าจะบอกให้นะ นอกจากการฝึกตน สิ่งอื่นก็สำคัญเช่นกัน อาจารย์จะไม่ทำร้ายเจ้าแน่นอน…”
โม่เทียนเกอถอนหายใจยาว “ท่านอาจารย์ ถ้าท่านต้องการให้ข้าทำอะไร โปรดพูดมาเถอะเจ้าค่ะ”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอเอาหยกบันทึกออกมาทันที เขากล่าว “เจ้าแค่ต้องปฏิบัติตามสิ่งที่เขียนอยู่ในนี้ทุกวัน ทำให้เสร็จในเวลาที่กำหนดแล้วก็จบกัน”
โม่เทียนเกอใส่จิตสัมผัสลงไปในหยกบันทึกด้วยความสงสัย ไม่นานหลังจากนางทำเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม นางแทบกระอักเลือดออกมาตรงนั้น
ยามอิ๋น เก็บน้ำค้าง
ยามเหม่า ดูแลพืชวิญญาณ
ยามเฉิน ดูแลสัตว์วิเศษ
ยามซื่อถึงยามอู่ ให้โอวาท เทศนา
จากเวลาว่างเจ็ดชั่วยามที่นางมี ห้าชั่วยามถูกใช้ไปจนหมดกับการแบ่งงานของเขา ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนใหญ่ในนั้นคือสิ่งที่มักจะทำโดยสาวใช้ของเขา!
อาจารย์ท่านนี้กำลังพยายามทำอะไรกัน เขาต้องการให้เรายุ่งทุกวันอย่างนั้นหรือ
“ท่านอาจารย์” สีหน้าของนางหม่นหมองลงเล็กน้อย “พวกนี้… ไม่มากเกินไปหน่อยหรือเจ้าคะ”
“มาก?” ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูด “ย้อนไปสมัยนั้น สิ่งที่เสวียนอิน ชิงหย่วน และไอ้เด็กพวกนั้นต้องทำเมื่อพวกเขาเข้ามาเป็นศิษย์ของข้าตอนแรกนั้นยิ่งกว่านี้เสียอีก สิ่งที่เจ้ากำลังจะทำเทียบไม่ได้เลยกับพวกเขา!”
“ข้า…” ก็ได้! ศิษย์มีพันธะที่ต้องคอยรับใช้ท่านอาจารย์ อย่างไรก็ตาม อาจารย์ก็มีพันธะที่ต้องสอนศิษย์ของพวกเขา อาจารย์ท่านนี้ไม่เคยสอนอะไรนาง แล้วจะเอาอะไรมาเป็นหลักว่านางต้องทำตามหน้าที่ในฐานะศิษย์ด้วยละ
เมื่อเขาเห็นว่านางยังนิ่งเงียบ ประมุขเต๋าจิ้งเหอร้อนรุ่มด้วยความโกรธ “มีศิษย์คนอื่นแบบเจ้าอีกไหม? ข้าแค่บอกให้เจ้าทำไม่กี่อย่างแต่เจ้ากลับไม่เต็มใจ! ปีนั้นเสวียนอินและคนอื่น…”
“ตกลงๆ” โม่เทียนเกอพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าจะทำทุกอย่างตามที่ท่านอาจารย์บอก”
“ต้องมีทัศนคติแบบนี้สิ…”
นางเตรียมตัวเตรียมใจเพื่อรับมือกับงานกองโตที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอสั่งให้นางทำ อันที่จริงการไม่ทำตามคำสั่งนั้นตัดไปได้เลย นางกล้าจะขัดคำสั่งของผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่งั้นหรือ
ทว่าบางสิ่งที่จะทำให้นางหดหู่ยิ่งกว่าเดิมได้รออยู่แล้ว
นางอารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว แต่สาวใช้พวกนั้นที่ถูกนางแย่งงานได้แสดงความไม่พอใจให้นางรู้อย่างไม่ลังเล
“เอ้านี่!” สาวใช้คนที่ก่อนหน้านี้รับหน้าที่เก็บน้ำค้างโยนขวดหยกสำหรับใส่น้ำค้างและแท่งหยกสำหรับกลั่นน้ำค้างมาให้นาง ด้วยสีหน้าเฉยเมยและค่อนข้างดูหมิ่น นางพูดว่า “ท่านปรมาจารย์ชอบน้ำค้างที่ควบแน่นในระหว่างสี่สิบห้านาทีแรกของยามขาล [9] ถ้าเวลาไม่พอดีแม้แต่วินาทีเดียว เขาจะไม่ต้องการน้ำค้างนั้น ยิ่งไปกว่านั้น มันต้องมาจากพืชวิญญาณที่สะอาดและหอม ถ้าน้ำค้างมีกลิ่นแปลกๆ ท่านปรมาจารย์จะโมโหแน่นอน เดี๋ยวท่านก็รู้เอง”
โม่เทียนเกอรับอุปกรณ์จากนั้นหันกลับและเดินหนีไปทันทีเพราะนางขี้เกียจเกินกว่าจะขอบคุณสาวใช้คนนั้น
แต่นางก็ยังได้ยินสาวใช้สองคนข้างหลังนางพูดคุยกันเสียงดัง
“หมิงเซี่ย เจ้าจะทำอะไรต่อไปล่ะในเมื่อตอนนี้งานของเจ้าถูกคนอื่นทำแทนแล้ว”
สาวใช้คนที่คุยกับโม่เทียนเกอก่อนหน้านี้พูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “ท่านปรมาจารย์สั่งแล้ว ข้าจะทำอะไรได้เล่า ถ้าข้าไม่มีอะไรทำงั้นข้าก็จะไม่ทำอะไร ที่จริงแล้วข้าจะได้มีเวลาฝึกตนมากขึ้น ข้าสับสนมาก นางเป็นศิษย์ในขณะที่เราเป็นสาวใช้ ทำไมนางต้องมาขโมยงานที่เรามีหน้าที่รับผิดชอบไปด้วยนะ”
“ฮึ่ม! เจ้าไม่ได้คิดหรือว่าท่านปรมาจารย์ของเราเป็นคนแบบไหน ไม่ว่าดีหรือร้ายเขาก็เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลาง แม้แต่ผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังที่คุกเข่าและขอร้องเขายังไม่ถูกรับเข้ามาเป็นศิษย์ของเขา ไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังที่ไม่สำคัญอะไรเลย! ตอนนี้ถ้านางมีสถานะเป็นศิษย์เขาแล้วจะทำไมล่ะ นางก็ยังถูกปฏิบัติเหมือนกับพวกเราอยู่ดี…”
“เจ้าพูดถูก ข้าได้ยินว่าท่านปรมาจารย์รับนางเป็นศิษย์ของเขาก็เพียงเพราะมีความขัดแย้งกันกับกลุ่มการฝึกตนอื่น ก็แค่วิธีจัดการชั่วคราวเท่านั้น ใครบางคน… ไม่ควรหลงผิดไปว่านางได้ขึ้นไปถึงฟากฟ้าขึ้นมาจริงๆ!”
“นี่ เจ้าไม่ควรพูดแบบนั้นนะ! ศิษย์สุดท้ายแล้วก็คือศิษย์ เราเป็นแค่สาวใช้ ถ้าเราทำให้นางไม่พอใจ ท่านปรมาจารย์อาจจะไม่อยากให้คำชี้แนะกับพวกเราอีกแล้วก็ได้ อีกอย่าง ท่านปรมาจารย์บอกว่านางจะมาให้โอวาทกับพวกเราวันนี้ไม่ใช่หรือ”
“ใช่ เราไม่ควรไปสาย…”
โม่เทียนเกอกัดฟัน แสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ยินหรือเห็นอะไร
การซุบซิบนินทาจะสำคัญอะไร มันไม่ได้ทำให้นางเสียแม้แต่เนื้อก้อนหนึ่งด้วยซ้ำ! แต่บางสิ่งที่พวกนางพูดทำให้นางประหลาดใจเข้าจริงๆ อาจารย์คนนั้นของนางให้โอวาทกับสาวใช้ของเขาอย่างไม่น่าเชื่อทั้งๆ ที่เขาไม่ให้คำชี้แนะนางแม้แต่นิดเดียวและถึงขนาดยอมเลิกพิธีการบูชาของอาจารย์กับศิษย์อีกด้วย!
——
[1] ซ่างชิง (上清) หมายถึงสวรรค์/ท้องฟ้า แต่ยังหมายถึงหลิงเป่าเทียนจุนหรือเหนือวิสุทธิ์ หนึ่งในตรีวิสุทธิเทพ (三清) ในศาสนาเต๋าอีกด้วย
[2] ว่านฮวา (万花) ว่าน หมายถึงหนึ่งหมื่น ฮวา หมายถึงดอกไม้ ตำหนักว่านฮวาจึงหมายถึงตำหนักหมื่นบุปผา
[3] ไป่เซียง (百香) ไป่หมายถึงหนึ่งร้อย และเซียงหมายถึงกลิ่นหอม ดังนั้นตำหนักไป่เซียงจึงหมายถึงตำหนักแห่งกลิ่นหอมนับร้อย
[4] เหมย (梅) , หลาน (兰) , จู๋ (竹) , จู๋ (菊) คือ ดอกเหมย ดอกกล้วยไม้ ดอกไผ่ และดอกเก๊กฮวย
[5] ฉิน (琴) , ฉี (棋) , ซู (书) , ฮว่า (画) คือ พิณ โกะ ตัวอักษร ภาพวาด
[6] ชุน (春) , เซี่ย (夏) , ชิว (秋) , ตง (冬) คือ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว
[7] อวี่ (雨) , เสวี่ย (雪) , เฟิง (风) , ซวง (霜) คือ ฝน หิมะ ลม น้ำค้างแข็ง
[8] ม่อจื๊อ (墨子) คือนักปราชญ์ชาวจีนในยุคปรัชญาเมธีร้อยสำนัก (ต้นยุครณรัฐ) เขาตั้งสถาบันแห่งลัทธิม่อจื๊อที่เป็นปฏิปักษ์อย่างแรงกับลัทธิขงจื๊อและลัทธิเต๋า ปรัชญาของเขาเน้นการยับยั้งชั่งใจ ประเมินตนเอง และความชอบธรรมมากกว่าทำตามพิธีกรรม