ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 137-2
ลำนำสตรียอดเซียน – ตอนที่ 137-2 สตรีจับกลุ่มนินทา น่ารำคาญ!
เมื่อเวลาสามเค่อแรกของยามอิ๋นหมดลงและนางเก็บน้ำค้างเสร็จ โม่เทียนเกอก็รีบกลับไปยังตำหนักซ่างชิงเพื่อดูแลพืชวิญญาณ
ครั้งนี้สาวใช้ที่ส่งต่องานให้นางคือสองคนจากสี่คน อวี่ เสวี่ย เฟิง ซวง นั่นคือเหวยอวี่และชิงเสวี่ย
สองคนนี้ตรงไปตรงมาพอๆ กัน พวกนางแค่โยนหยกบันทึกที่ประกอบด้วยข้อมูลเกี่ยวกับการแบ่งประเภทพืชวิญญาณให้นางและหันกลับไปดื้อๆ เมินนางโดยสิ้นเชิง
โม่เทียนเกอต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงถึงจะเข้าใจหมดว่าจะจัดการกับพืชวิญญาณแต่ละชนิดอย่างไร ขณะนั้นเอง สาวใช้ทั้งสองคนก็มองนางอยู่ด้านข้าง ทั้งล้อเลียนและเยาะเย้ยนาง
“ชิงเสวี่ย ปิ่นปักผมของเจ้าดีใช้ได้ มันคือเครื่องมือเวทรึ?”
“ท่านปรมาจารย์มอบให้ข้าเมื่อไม่กี่วันก่อน ท่านปรมาจารย์บอกว่าผิวของข้าขาว เพราะอย่างนั้นข้าจะดูสวยมากกับปิ่นปักผมหิมะเขียวอันนี้ ถ้าข้าเจอเข้ากับการต่อสู้ด้วยพลังเวท ข้าสามารถใช้มันปกป้องตัวเองได้”
“ข้าได้รางวัลมาเหมือนกัน ดูเชือกผูกผมนี่สิ! ท่านปรมาจารย์บอกว่าหญิงสาวต้องดูสวยเพื่อจะได้น่ามองและน่าพึงใจ การใส่ชุดเครื่องแบบโรงเรียนสีหม่นและไม่มีปิ่นปักผมหรือเครื่องประดับผมอยู่บนหัวเรา… ช่างไร้รสนิยม!”
“ใครจะไม่เห็นด้วย? ครั้งสุดท้ายเมื่อเราไปที่เขาเทียนหัว ท่านปรมาจารย์ก็ได้มอบเสื้อผ้าให้ศิษย์พี่จ้านแห่งยอดเขาจิตสันโดษทันทีหลังจากที่เขาเห็นนางไม่ใช่หรือ? ในฐานะสาวใช้ เรามีหน้าที่รับใช้ท่านปรมาจารย์เสมอ ดังนั้นเราต้องแต่งตัวให้สวยยิ่งกว่าคนอื่นๆ”
“แต่นี่มันแปลกจริงๆ ไม่ใช่ว่าท่านปรมาจารย์ไม่เคยรับศิษย์ผู้หญิงมาก่อนเสียหน่อย อาจารย์ลุงซู่ซินก็เป็นคนสวยโดดเด่น… ทำไมจู่ๆ ตอนนี้เขาถึงรับคนไม่น่าจดจำเข้ามานะ”
“โอ๊ย ทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าคนนั้นจะสามารถแต่งองค์ทรงเครื่องได้หรือไม่ ลองคิดดูสิ ด้วยหน้าตาแบบนั้นของนาง ท่านปรมาจารย์จะทำอะไรได้อีก”
“เจ้าพูดถูก” สาวใช้ทั้งสองคนปิดปากหัวเราะคิกคัก
โม่เทียนเกอเล็มกิ่งไม้ จับแมลง และรดน้ำต้นไม้อย่างเฉื่อยๆ จนเสร็จ จากนั้นจึงออกไปทันทีหลังจากตั้งกำแพงอาคมที่สวนสมุนไพรเรียบร้อยแล้ว
ในที่สุดท้องฟ้าก็เริ่มสว่างเพราะขณะนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงเช้าแล้ว นางออกไปทางภูเขาด้านหลังที่อยู่หลังถ้ำเซียนของประมุขเต๋าจิ้งเหอ
ใส่ชุดเครื่องแบบสำนักสีหม่น? ไม่มีปิ่นปักผมหรือเครื่องประดับผม? หน้าตาแบบนั้น? โม่เทียนเกอพ่นเสียง ‘ฮึ่ม’ ออกทางจมูก
ชุดเครื่องแบบสำหรับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังคือชุดคลุมสีน้ำเงินที่มีแขนเสื้อสีขาว ตรงส่วนไหนหรือที่ดูหม่น? ศิษย์หัวกะทิอย่างหันชิงอวี้ หลัวเฟิงเสวี่ย และเยี่ยจิ่งเหวินก็ล้วนใส่ชุดเครื่องแบบนี้ แม้แต่ศิษย์พี่เสวียนอินและคนอื่นๆ ก็ใส่ชุดเครื่องแบบเช่นนี้เหมือนกัน! ปิ่นปักผมและเครื่องประดับผม? ตอนนี้นางมัดผมเป็นมวยผมแบบชาวลัทธิเต๋า เพราะงั้นนางจะต้องการปิ่นปักผมและเครื่องประดับผมไปเพื่ออะไร? ศิษย์พี่ซู่ซินก็มีลักษณะที่เรียบง่ายและเรียบร้อยเหมือนกัน! พวกนางยังกล้าจะพูดว่านางมีหน้าตาแบบนี้ โม่เทียนเกอไม่ได้คิดว่านางสวยขนาดเทพธิดาอะไร แต่อย่างน้อยนางก็สวยกว่านางพวกนั้นทั้งหมดแล้วกัน!
นางเดินไปทางคอกสัตว์วิเศษที่ภูเขาด้านหลังด้วยความโกรธอย่างรุนแรง ครั้งนี้คนที่รอนางอยู่คือฉิน ฉี ซู ฮว่า
การเป็นผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ ประมุขเต๋าจิ้งเหอจึงมีสัตว์วิเศษอยู่มากมายเป็นปกติ คอกนี้เต็มไปด้วยสัตว์ต่างๆ ตั้งแต่ระดับสองถึงหก ตามที่ว่ากันคือมีสัตว์วิเศษในระดับสูงยิ่งกว่านี้ซึ่งเขาดูแลด้วยตัวเอง ถึงอย่างนั้นสัตว์วิเศษระดับห้าก็เทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังแล้ว พวกนางทั้งหมดอยู่แค่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ดังนั้นพวกนางจึงต้องดูแลมันด้วยกันเพื่อป้องกันการเกิดเหตุอะไรขึ้น
“อาจารย์ลุงโม่ ข้าเชื่อว่าท่านปรมาจารย์ได้ให้แผ่นจารึกกับท่านเพื่อผ่านกำแพงอาคมของคอกสัตว์วิเศษแห่งนี้แล้ว ดังนั้นเราจะให้วิธีการใช้ที่เรามีเป็นการอ้างอิง” ซิ่วฉินกล่าวขณะที่นางให้หยกบันทึกกับโม่เทียนเกอ
อารมณ์ของโม่เทียนเกอดีขึ้นเล็กน้อย ในที่สุดก็มีกลุ่มที่ไม่ได้ทำให้นางขุ่นเคืองใจ
แต่นางไม่ได้เห็นเสียนซูที่สายตาหลุกหลิกไปมาและไต้ฮว่าที่กำลังเหลือบมองกันอยู่
ด้วยความเข้าใจที่รู้กัน สาวใช้ทั้งสี่แค่มองโม่เทียนเกอโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ
หลังจากรับหยกบันทึก โม่เทียนเกออ่านเนื้อหาให้เสร็จอย่างเร็ว สัตว์วิเศษไม่ใช่พืชวิญญาณ แค่เลี้ยงมันอย่างผิวเผินก็เพียงพอแล้ว อีกอย่างในคอกนี้ก็มีแค่สัตว์ประมาณสิบกว่าตัวเท่านั้น
เมื่อนางอ่านจบ นางเตรียมอาหารสัตว์และหญ้าแห้งทุกชนิดทันที ไม่นานหลังจากนั้นนางใช้แผ่นจารึกที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอให้นางไว้เพื่อเปิดกำแพงอาคมบนประตูสู่คอกสัตว์วิเศษ
ภายในนั้นมีสัตว์วิเศษระดับสองสามตัว ระดับสามสามตัว ระดับสี่หนึ่งตัว ระดับห้าสองตัว และระดับหกหนึ่งตัว
นางให้อาหารพวกมันเป็นลำดับเรียงตามระดับของมันและสุดท้ายก็ไปถึงที่ที่สัตว์วิเศษระดับห้าอยู่
สิ่งที่นางกำลังเผชิญอยู่คือพฤษภย่ำเวหาระดับห้าที่มีเขามโหฬารซึ่งว่ากันว่าทรงพลังมากขนาดเหยียบขึ้นฟ้าและทำให้พื้นดินแตกแยกได้ ตามที่เขียนไว้ในหยกบันทึก นางเปิดกำแพงอาคมที่อยู่ด้านนอกสุดและวางหญ้าแห้งไว้บนพื้น
ขณะที่นางกำลังจะหันหลังกลับและออกไป กำแพงอาคมด้านในอยู่ดีๆ ก็ส่องประกายวูบวาบ ทันใดนั้นเอง พฤษภย่ำเวหาส่งเสียงคำราม “มอ” ขึ้นฟ้า ขาหลังของมันตะกุยพื้นและในวินาทีถัดมามันก็พุ่งเข้าชนกำแพงอาคม
กำแพงอาคมกะพริบก่อนที่มันจะหายวับไปทั้งหมด
โม่เทียนเกอหันกลับไปและทันทีหลังจากที่นางได้ยินเสียงมออย่างดังของมัน อย่างไรก็ตาม นางเห็นมันพุ่งมาทางนางได้ครึ่งทางแล้ว นางรีบเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวของนาง ทำให้กำแพงอิฐตกลงมาข้างหน้านางและสกัดกั้นพลังเขาของมันไว้ได้
หลังจากนั้นนางยื่นมือออกไปคว้าผ้าเช็ดหน้าไหมขาวซึ่งกลับไปเป็นรูปร่างเดิมและดันตัวเองเข้าหามัน จากนั้นนางเหาะหนีไปที่ทางออกขณะที่จ้องอย่างเกรี้ยวกราดไปที่ฉิน ฉี ซู ฮว่าที่กำลังยืนอยู่ข้างคอก
สี่คนนี้ไม่เสียเวลามาเยาะเย้ยนางเพราะพวกนางวางแผนให้บทเรียนสั่งสอนนานเช่นนี้ไว้นานแล้ว!
แต่ตอนนี้นางไม่มีเวลามาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะพฤษภย่ำเวหากำลังไล่ตามนางอยู่ มันวิ่งคุ้มคลั่งแต่เขาของมันนั้นมุ่งตรงมาหานาง
ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวแสดงศักยภาพความเร็วขั้นสูงสุดของมัน หลังจากใช้มันเพื่อหนีจากการโจมตีของสัตว์ปีศาจระดับห้าเมื่อนานมาแล้ว การควบคุมมันก็ยิ่งแม่นยำและราบรื่น ดังนั้นตอนนี้นางจึงไม่ได้รู้สึกกระวนกระวายแม้แต่น้อย
พลังของพฤษภย่ำเวหาอยู่ในพละกำลังแบบสัตว์ป่าของมัน แต่ความเร็วของมันไม่ได้ดีนัก เพราะนางควบคุมผ้าเช็ดหน้าไหมขาวของนางอย่างเต็มที่ การหลบหลีกมันจึงไม่ได้ยากเย็น อย่างไรก็ตาม การจับและเอามันกลับเข้าไปในกำแพงอาคมคงจะไม่ง่ายเท่าใดนัก แน่นอนว่านางสามารถล่อวัวตัวนี้ไปทางด้านหน้าและขอให้ประมุขเต๋าจิ้งเหอช่วยชีวิตนาง แต่นั่นก็จะทำให้นางดูไร้ความสามารถไม่ใช่รึ
โม่เทียนเกอถอยอย่างเร็ว ทันใดนั้นตะเกียงก็ปรากฏขึ้นในมือนาง
ตะเกียงนั้นลอยขึ้นสูงเหนือหัวและส่องแสงสว่างจ้า โม่เทียนเกอส่งพลังวิญญาณเข้าไปในนั้น ทำให้แสงของมันส่องไปที่ตัวของพฤษภย่ำเวหา
ทันทีที่พฤษภย่ำเวหาเริ่มช้าลง โม่เทียนเกอขว้างแผ่นม่านพลังและศิลาวิญญาณออกไป
ม่านพลังหลงทิศ!
ตะเกียงเสน่ห์ที่นางไม่เคยใช้มาก่อนรวมกับม่านพลังหลงทิศ ในชั่วพริบตาพฤษภย่ำเวหาก็ถูกมนตร์สะกด พลังวิญญาณของมันแข็งแรงอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะอย่างนั้นตะเกียงเสน่ห์และม่านพลังหลงทิศจึงทำได้เพียงสกัดกั้นมันไว้แค่ครู่เดียวสั้นๆ อย่างไรก็ตาม ครู่เดียวสั้นๆ ก็เป็นเวลาที่เพียงพอแล้วสำหรับโม่เทียนเกอ
สัตว์วิเศษก็มีจิตสัมผัสเช่นกัน ภายในม่านพลังหลงทิศ สัตว์วิเศษจะใช้จิตสัมผัสของมันตามสัญชาตญาณเพื่อมองสำรวจสภาพรอบๆ ตัว นี่จะเป็นโอกาสของโม่เทียนเกอ!
นางใช้ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณเพื่อควบคุมจิตสัมผัสของนางและลงมืออย่างไม่ปรานี
พฤษภย่ำเวหาร้องมอเสียงดังและกระโดดขึ้นกะทันหัน
ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวแสดงกำลังของมันอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้แทนที่จะปกป้องนาง กำแพงอิฐกลับกระแทกเข้าใส่พฤษภย่ำเวหา
พอเห็นพฤษภย่ำเวหาล้มลง โม่เทียนเกอถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาได้ในที่สุด นางไม่มีเครื่องมือเวทอันไหนที่มีพลังโจมตีมากพออยู่ในครอบครอง มีเพียงผ้าเช็ดหน้าไหมขาวเท่านั้นซึ่งเป็นอาวุธเวทที่สามารถทำให้พฤษภย่ำเวหาบาดเจ็บได้ เมื่อรวมกับการโจมตีแบบเฉพาะตัวและปุบปับของศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ สุดท้ายนางก็สามารถทำให้พฤษภย่ำเวหาหยุดนิ่งได้ชั่วคราว
หลังจากเอาพฤษภย่ำเวหากลับไปเข้าที่เดิมของมันในคอกสัตว์วิเศษ โม่เทียนเกอเปิดกำแพงอาคมและเดินออกมาจากคอก นางมองอย่างเยือกเย็นไปที่ฉิน ฉี ซู ฮว่าผู้ที่ยืนดูจากฝั่งข้างมาตั้งแต่ต้น
นางเห็นอย่างชัดเจนว่าเมื่อพฤษภย่ำเวหาพุ่งออกมา รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทั้งสี่คนนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกนางเตรียมแผนเล่นงานนาง! ถ้าไม่ใช่เพราะนางมีศาสตร์หลอมจิตวิญญาณและสมบัติหลายอย่าง ถ้าไม่ใช่เพราะที่นี่มีกำแพงอาคมที่จำกัดพลังของพฤษภย่ำเวหาตัวนั้น บางทีนางอาจจะตายไปครึ่งหนึ่งแล้วก็ได้!
เมื่อทั้งสี่คนมองนางในตอนนี้ พวกนางไม่มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าอีกต่อไป รอยยิ้มเหล่านั้นถูกแทนที่ด้วยความกลัว
จากชั่วขณะที่พฤษภย่ำเวหาทลายกำแพงอาคมออกมาจนถึงตอนที่โม่เทียนเกอล้มมันได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นแค่ในเวลาไม่กี่วินาที ทุกคนต้องประหลาดใจที่ผู้ฝึกตนขั้นกลางของการสร้างฐานแห่งพลังสามารถปราบสัตว์วิเศษระดับห้าได้! ถึงแม้ว่าเหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเพราะพลังของพฤษภย่ำเวหาถูกจำกัดไว้โดยกำแพงอาคมของที่นี่ แต่มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกนางทุกคนต้องทึ่ง!
พวกนางรู้สึกไม่พอใจจึงอยากจะยืมพลังของสัตว์ระดับห้าเพื่อสั่งสอนอาจารย์ลุงคนนี้ให้ได้บทเรียน ทั้งที่เป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังเหมือนกับพวกนาง แต่นางกลับได้รับความกรุณาจากท่านปรมาจารย์ สถานที่นี้มีกำแพงอาคมและพวกนางก็ยืนเตรียมพร้อมอยู่ด้วย ดังนั้นพวกนางจึงไม่คิดว่านางจะถึงตาย แต่นางก็อาจจะลงเอยด้วยการบาดเจ็บสาหัส พวกนางไม่กลัวทำท่านปรมาจารย์โกรธเพราะเรื่องนี้เนื่องจากท่านปรมาจารย์ไม่ชอบคนไร้ประโยชน์และไร้ความสามารถ ตราบใดที่พวกนางยังรักษาชีวิตนางไว้ได้อยู่ ท่านปรมาจารย์ก็จะไม่โทษพวกนาง
อย่างไรก็ตาม พวกนางไม่เคยคิดเลยแม้แต่ครั้งเดียวว่าภายในเวลาแค่ไม่กี่วินาที สัตว์ระดับห้าจะสามารถถูกปราบได้ง่ายดายขนาดนั้น
โม่เทียนเกอเปล่งเสียงหัวเราะอย่างเย็นชา นางถือผ้าเช็ดหน้าไหมขาวไว้ในมือข้างหนึ่งและกระสวยอัปสราในมืออีกข้าง “ในเมื่อพวกเจ้าทุกคนดูเหมือนจะยังไม่เชื่อ งั้นเราก็ควรจะสู้กันให้รู้เรื่องไป! พวกเจ้าจะเข้ามาพร้อมกันก็ได้ ข้าจะแสดงให้พวกเจ้าทุกคนเห็นว่าทำไมข้าถึงเป็นศิษย์และพวกเจ้าเป็นสาวใช้!”
ฉิน ฉี ซู และฮว่าตอนแรกยังมีความกลัวอยู่บนใบหน้าบ้าง แต่หลังจากได้ยินคำพูดของนาง พวกนางต่างมองกันขณะที่ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นในใจ ใช่ พวกนางไม่เชื่อ ความสามารถตามธรรมชาติของพวกนางอาจจะด้อยกว่านิดหน่อย แต่ระดับการฝึกตนของพวกนางไม่ได้ต่ำ พวกนางยังมีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังขั้นกลางอยู่ในกลุ่มด้วย มันเรื่องอะไรกันที่พวกนางต้องเรียกผู้ฝึกตนจากดินแดนเดียวกับตัวเองว่า “อาจารย์ลุง” และต้องแจ้งนางทุกเรื่องที่ตำหนักซ่างชิง?
“สหายศิษย์ ในเมื่ออาจารย์ลุงพูดแล้ว งั้นมาเล่นกันเถอะ!”