ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 138-1
ลำนำสตรียอดเซียน – ตอนที่ 138-1 ปัญหาที่ต่อเนี่องกับวันที่วุ่นวาย
ระหว่างกลุ่มสาวใช้ นอกจากซิ่วฉินผู้ซึ่งอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ที่เหลือล้วนอยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังทั้งนั้น ความฉลาดในการเรียนรู้นั้นอยู่ระดับกลางๆ และพวกนางก็ไม่ได้มีผู้อุปถัมภ์คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ความจริงพวกนางนับได้ว่าโชคดีแล้วที่สามารถผ่านเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังได้ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าพวกนางจะได้รับคำชี้แนะจากผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ ก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถผ่านเข้าสู่ขั้นกลางได้
พวกนางคงอยู่ข้างปรมาจารย์ระดับจิตวิญญาณใหม่และคอยรับใช้เขาอยู่เป็นเวลานาน พวกนางได้เห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มามากมาย ดังนั้นความหยิ่งทะนงของพวกนางจึงมากเกินไป ตอนนี้โม่เทียนเกอเหยียดหยามพวงนางเป็นอย่างมาก คงเป็นเรื่องปกติที่พวกนางจะโกรธจัด
เมื่อถึงเวลาที่ซิ่วฉินพูดจบ ชิงฉีได้หยิบเครื่องมือเวทของนางออกมาเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่เสียนซูและไต้ฮว่าทั้งคู่ต่างขึ้นไปยืนบนเครื่องมือเวทบินได้และกำลังเข้าสู่ตำแหน่งต่อสู้
โม่เทียนเกอเลิกคิ้ว ด้วยการจัดตำแหน่งของพวกนาง ดูเหมือนว่าจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับต่อสู้ด้วยพลังเวทบ้าง ดังนั้นพวกนางก็ไม่ได้โง่เง่าเท่าไหร่นัก แต่ถ้าพวกนางไม่ใช่คนโง่แล้วจะทำไมละ ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังสี่คน ล้วนเป็นผู้ฝึกตนหญิงที่ไม่เคยมีประสบการณ์ต่อสู้ด้วยพลังเวทมาก่อน ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นกังวลเลย
ถึงแม้ว่าทั้งสี่คนจะยืนประจำตำแหน่งแล้ว พวกนางก็ไม่ได้โจมตีในทันที มันเหมือนกับว่าพวกนางรอให้นางเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
โม่เทียนเกอยิ้มเยาะ และยกมือทั้งสองของตัวเองขึ้น เมื่อกระสวยอัปสราพุ่งตรงเข้าหาซิ่วฉิน โม่เทียนเกอก็ก้าวขึ้นไปบนผ้าเช็ดหน้าไหมขาวและบินออกไปจากจุดที่นางอยู่ในพริบตา
เมื่อเห็นว่าโม่เทียนเกอลงมือ ฉิน ฉี ซู และฮว่าต่างหยิบเครื่องมือเวทของตัวเองออกมา บ้างก็เป็นตะกร้าดอกไม้ในขณะที่คนอื่นเป็นเชือกผูกผม พูดสั้นๆ ก็คือของเหล่านั้นทั้งหมดล้วนเป็นของสวยงามที่ผู้หญิงมักจะชอบทั้งนั้น
โม่เทียนเกอไม่ได้คิดอะไรมากนัก แต่นางก็มีความเคยชินที่ดี คือไม่ว่าคู่ต่อสู้ของนางจะเป็นใคร นางจะปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความระมัดระวังเมื่อเริ่มต่อสู้กัน
กระสวยอัปสราเปลี่ยนเป็นลำแสงสีทองเพื่อกักขังซิ่วฉิน ผู้ที่ยกคทาหยกหรูอี้ขึ้นมาในทันที คทาหยกหรูอี้ส่องแสงสว่างวาบและป้องกันการโจมตีของโม่เทียนเกอ ในขณะที่อีกสามคนเริ่มเคลื่อนไหวด้วยการโจมตีโม่เทียนเกอทีละคน ทีละคน
โม่เทียนเกอไม่แม้แต่จะชำเลืองมองพวกนาง นางเพียงแค่โบกมือเพื่อเรียกกระสวยอัปสรากลับคืนและในวินาทีถัดมานางก็เคลื่อนไหวจากจุดเดิม
เมื่อนางเริ่มโจมตี โม่เทียนเกอได้มีความคิดบางอย่างภายในใจ ทั้งสี่คนนี้มีเครื่องมือเวทที่ค่อนข้างดี แต่พวกนางไม่ได้มีประสบการณ์ในการต่อสู้มากนัก ที่น่าจะเป็นไปได้คือในเมื่อพวกนางมักอยู่เคียงข้างประมุขแห่งเต๋าจิ้งเหอ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องต่อสู้ ยิ่งไปกว่านั้นในเมื่อผู้ฝึกตนหญิงส่วนมากไม่ชอบการต่อสู้ ความรู้เกี่ยวกับการต่อสู้ด้วยพลังเวทก็คงมาจากการอธิบายของประมุขแห่งเต๋าจิ้งเหอ
นี่คงทำให้สิ่งต่างๆ ง่ายขึ้นมากสำหรับโม่เทียนเกอ ตั้งแต่ที่นางมาที่คุนอู๋ นางได้ผ่านประสบการณ์การต่อสู้ที่ร้ายแรงจำนวนมาก ในตอนแรก นางเพียงแค่ติดตามท่านอาที่สอง แต่นางก็ได้มีการต่อสู้ของตัวเองในภายหลัง ทั้งสี่คนนี้ไม่สามารถจินตนาการถึงสถานการณ์อันตรายอย่างที่นางเคยเผชิญได้เลย สิ่งที่สำคัญที่สุดในการต่อสู้ด้วยพลังเวทไม่ใช่ระดับการฝึกตนหรือเครื่องมือเวท ในช่วงแห่งความเป็นความตายสิ่งที่สำคัญที่สุดคือสัญชาตญาณช่วงเวลาสุดท้ายและนี่เป็นสิ่งที่มาจากการสะสมประสบการณ์ คู่ต่อสู้ที่ไม่มีประสบการณ์การต่อสู้นั้นจัดการได้ง่ายที่สุด เพราะต่อให้พวกเขาจะรู้ว่าต้องทำอะไรตรงจุดนั้น พวกเขาก็ไม่สามารถทำให้สำเร็จได้
หลังจากปล่อยการโจมตีระยะหนึ่งเพื่อทดสอบพวกนาง โม่เทียนเกอจึงหยิบตะเกียงเสน่ห์ออกมา ถ้าผู้ฝึกตนที่มีประสบการณ์ได้เคยเห็นกับตาแล้วว่าพฤษภย่ำเวหามีปฏิกิริยาอย่างไรหลังจากที่นางหยิบตะเกียงนี้ออกมา พวกเขาจะต้องรู้ได้ทันทีว่ามันเป็นเครื่องมือเวทที่ส่งผลต่อสภาวะทางจิตและพวกเขาจะไม่เป็นอะไรหากเว้นระยะห่างออกจากมัน นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลว่าทำไมอาวุธเวทประเภทนี้จึงไม่ค่อยถูกใช้ในการต่อสู้กับผู้ฝึกตนผู้ที่เก่งกาจในการต่อสู้ด้วยพลังเวท อย่างไรก็ตามทั้งสี่คนนี้ไม่ได้รู้ถึงอะไรเลย พวกนางยังคงจดจ่ออยู่กับเครื่องมือเวทของตัวเอง
ตะเกียงเสน่ห์ลอยขึ้นและเปล่งแสงสว่างวาบออกมา โม่เทียนเกอรวบรวมพลังทางจิตวิญญาณของนางและส่งไปยังตะเกียง เพื่อชี้นำให้แสงส่องลงไปยังผู้คนเบื้องล่างอย่างช้าๆ
ฉิน ฉี ซู ฮว่ารู้สึกโดยทันทีว่าการมองเห็นของพวกนางมืดลง ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้าหายไปจากสายตา ทำให้พวกนางตื่นตระหนกในทันที
ทันใดนั้น แสงสีทองก็ปรากฏอยู่บนหัวเสียนซูและในพริบตามันก็ปกคลุมนางทั้งร่าง
“อ่า!”
เมื่อได้ยินเสียงร้องของสหายสนิท อีกสามคนที่เหลือต่างตื่นกลัว ซิ่วฉินผู้ที่ประหม่ามากกว่าคนอื่นตะโกน “นี่ท่านกล้าฆ่าพวกข้าเชียวหรือ!”
อย่างไรก็ตาม คำตอบที่นางได้รับคือเสียงร้องที่ทุกข์ทรมานของชิงฉี ชิงฉีกำลังต่อสู้กับกระบี่บินได้และตะกร้าดอกไม้ของนางกำลังจะได้เปรียบแต่เพียงแค่ชั่วขณะที่นางกำลังพึงพอใจ เข็มบินได้หลายเล่มก็ปรากฏออกมาด้านข้างและทิ่มแทงไปที่ร่างกายของนาง
ถัดมาก็ไต้ฮว่า สิ่งที่โม่เทียนเกอใช้กับนางคือกระสวยอัปสราแต่ในครั้งนี้นางใช้มันเพื่อวางม่านพลังสี่เหลี่ยมซึ่งกักขังไต้ฮว่าไว้ด้านใน
“ท่านอาจารย์ลุงโม่!” หลังจากที่ได้ยินสหายศิษย์กรีดร้องต่อๆ กันมา ซิ่วฉินไม่สามารถช่วยได้นอกจากตะโกน “ถึงแม้ท่านจะเป็นศิษย์ของท่านปรมาจารย์ การฆ่านั้นถือว่าเป็นการฝ่าฝืน!”
หลังจากที่นางพูดเช่นนั้น ฉากดำมืดก็สว่างขึ้นทันที
โม่เทียนเกอบินขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยรอยยิ้มที่เยือกเย็นบนใบหน้า “ฝ่าฝืนงั้นรึ พวกเจ้าทั้งหลายต่างก็รู้ว่าข้าเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ แล้วทำไมถึงพยายามจะฆ่าข้า”
รอยยิ้มของโม่เทียนเกอทำให้ซิ่วฉินสั่นเทา แต่นางก็ยังคงให้คำตอบ “พวกข้าไม่ได้ต้องการที่จะฆ่าท่าน พวกข้าต้องการที่จะ…”
“ให้บทเรียนแก่ข้า ข้าพูดถูกไหม” โม่เทียนเกอสะบัดแขนเสื้อ สิ่งที่ดูเหมือนพลังทางจิตวิญาณลอยออกมาและพุ่งลงไปสู่ ชิงฉี เสียนซู และไต้ฮว่าผู้ซึ่งกำลังนอนอยู่บนพื้น แม้พวกนางจะส่งเสียงกรีดร้องออกมาเพียงแผ่วเบา แต่พวกนางก็ยังไม่ตาย
ซิ่วฉินตะโกน “ท่านอาจารย์ลุง!” มันมีทั้งความหวาดกลัวและโกรธในน้ำเสียงของนาง นางหวาดกลัวเพราะถ้ามีสิ่งใดเกิดขึ้นกับทั้งสามคน นางในฐานะผู้นำจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบอย่างแน่นอน สำหรับความโกรธ เป็นเพราะโม่เทียนเกอดูเหมือนจะไม่ได้สนใจความจริงที่ว่าพวกนางเป็นสาวใช้ของท่านปรมาจารย์เลยแม้แต่น้อย!
โม่เทียนเกอไม่สะทกสะท้าน นางเพียงแค่ชำเลืองมองอย่างรังเกียจที่ซิ่วฉินหลังจากนั้นจึงหันกลับและเดินกลับเข้าไปในคอกสัตว์วิเศษ “ข้าไม่สามารถทำตัวสะดีดสะดิ้ง แต่เจ้าก็ไม่สามารถต่อสู้ได้! ถ้าทั้งหมดที่พวกเจ้ามีคือทักษะเพียงน้อยนิดเช่นนี้ อย่ามาทำอุจาดตาต่อหน้าข้า!”
โม่เทียนเกอพูดอย่างตรงไปตรงมา แต่ซิ่วฉินก็ไม่กล้าปฏิเสธแม้แต่น้อย ตั้งแต่ที่นางมาเป็นสาวใช้ให้กับประมุขแห่งเต๋าจิ้งเหอ ไม่มีใครกล้าที่จะทำหยาบคายต่อนาง แม้กระทั่งอาจารย์ลุงระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังก็ยังปฏิบัติต่อนางอย่างสุภาพด้วยความเคารพที่มีต่อท่านปรมาจารย์ การดูแลด้วยความสุภาพเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกว่านางมีสถานะตัวตนอยู่ที่นี่ ตอนนี้อาจารย์ลุงโม่ท่านนี้ได้มอบบทเรียนที่แสนจะหยาบคายแก่พวกนาง นางจึงเข้าใจในท้ายที่สุดว่าสาวใช้ยังไงก็คงเป็นสาวใช้ตลอดไป
หลังจากที่ตรวจดูกำแพงอาคมต่างๆ อย่างตั้งอกตั้งใจ เติมน้ำ อาหาร และทำความสะอาดคอกของสัตว์วิเศษแต่ละคอกเสร็จ โม่เทียนเกอจึงออกมาจากคอกสัตว์วิเศษนั้น
ฉิน ฉี ซู ฮว่า ไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว คาดว่าพวกนางน่าจะได้รับบทเรียน
โม่เทียนเกอแสยะยิ้มและคิดอย่างเย้ยหยัน แน่นอนอยู่แล้วโลกนี้ไม่สามารถอ่อนข้อให้กับคนที่ว่าง่ายและอ่อนข้อ การอดทนจะมีแต่นำพาไปสู่การกลั่นแกล้ง มีเพียงแต่คนที่แข็งแกร่งมากพอที่จะกดดันคนอื่นถึงจะได้รับความเคารพ
ในสำนักอวิ๋นอู้ นางไม่มีทั้งพื้นเพ ผู้อุปถัมภ์ หรือระดับการฝึกตนสูง นางจึงไม่มีทางเลือกนอกจากการอยู่อย่างเงียบๆ และอดกลั้น แต่ในตอนนี้ที่โรงเรียนเสวียนชิงนางเป็นถึงศิษย์ภายในชั้นสูงของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่และมีความแข็งแกร่ง ทำไมนางจึงจะต้องอดทนและคอยโอนอ่อนผ่อนตามคนอื่นๆ ด้วย
นางมอบบทเรียนให้กับพวกนางในวันนี้ ดังนั้นทั้งสี่คนควรที่จะเรียนรู้จุดยืนของตัวเองแล้ว ถ้าสาวใช้เหล่านั้นคนอื่นยังคงยั่วยุนางต่อไปอีกในอนาคต นางก็จะสั่งสอนพวกนางอีก
ตั้งแต่ยามซื่อจนจลยามจื่อ นางจะต้องเทศนา เมื่อนางอ่านภารกิจต่อไป นางก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา
แน่นอนอยู่แล้ว ในฐานะผู้ฝึกตนขั้นกลางของการสร้างฐานแห่งพลัง นางมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเทศนา อย่างไรก็ตาม นางฝึกลัทธิเต๋าแห่งต้นกำเนิดซึ่งแตกต่างจากลัทธิเต๋าในปัจจุบัน นางจะสอนศิษย์แห่งโรงเรียนเสวียนชิงเรื่องนี้ได้อย่างไร ถึงแม้ว่านางจะพูดถึงมัน มันก็จะไม่เป็นประโยชน์สำหรับศิษย์เหล่านั้น จริงไหม
ด้วยความสงสัยในจิตใจ นางรีบวิ่งไปที่ตำหนักซ่างชิง
เมื่อนางเข้าไปยังห้องโถง อย่างไรก็ตามนางก็เห็น ฉิน ฉี ซู ฮว่ากำลังคุกเข่าอยู่หน้าประมุขเต๋าจิ้งเหอ ในทางกลับกัน ประมุขเต๋าจิ้งเหอดูเหมือนกำลังอารมณ์ดีและมีความสุข
นี่คือสถานการณ์บบไหนกัน? โม่เทียนเกอยังคงสับสนในขณะที่ก้าวขึ้นไปและทักทาย “ท่านอาจารย์!”
“ฮ่าๆ! ศิษย์ตัวน้อย รีบมาตรงนี้เร็ว!”
“…” โม่เทียนเกอไม่สนใจต่อรอยยิ้มตื่นเต้นที่เกินไปของประมุขเต๋าจิ้งเหอและเดินไปหาอย่างเงียบๆ
โดยไม่คำนึงถึงที่เรียกนาง ประมุขเต๋าจิ้งเหอทำเป็นเพิกเฉยนางและหันไปทางฉิน ฉี ซู ฮว่า “นางสั่งสอนเจ้าอย่างไร”
เมื่อได้ยินคำถาม โม่เทียนเกอเข้าใจในทันที กลายเป็นว่าหญิงสี่คนนี้มาเพื่อฟ้อง! แต่เมื่อเห็นท่าทางของประมุขเต๋าจิ้งเหอ คำฟ้องของพวกนางน่าจะไร้ประโยชน์
คนที่พูดคือเสียนซู นางชำเลืองมองโม่เทียนเกออย่างระมัดระวังก่อนที่จะตอบ “ท่านอาจารย์ลุงโม่สั่งสอนพวกข้าทุกคนจนหมดสติ ยกเว้นแต่ศิษย์พี่ซิ่วฉินเจ้าค่ะ”
นางไม่ได้เพิ่มเติมเนื้อเรื่อง แต่นางแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอ ท่าทางน่าสงสาร หลังจากที่นางพูดจบ นางจ้องมองโม่เทียนเกออย่างเสียใจ
โม่เทียนเกอพูดไม่ออก ข้าไม่ใช่ผู้ชาย การแสดงท่าทางแบบนี้ต่อหน้าข้านั้นจะได้ผลหรือ
โม่เทียนเกอไม่รู้เฃยว่าเสียนซูทำตัวแบบนี้จนเป็นนิสัย อาจเป็นเพราะประมุขเต๋าจิ้งเหอชอบมารยาของผู้หญิงซึ่งสาวใช้พวกนี้ชอบทำเหมือนอ่อนแอเพื่อทำให้เขาพอใจและโปรดปราน
แต่ในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่โม่เทียนเกอที่ไม่สนใจนาง แต่แม้กระทั่งประมุขเต๋าจิ้งเหอก็ไม่ได้สนใจนางด้วยเช่นกัน เขาเพียงแต่หัวเราะอย่างเสียงดังและตบไหล่โม่เทียนเกอ “ไม่เลว! นี่คือสิ่งที่ศิษย์ของฉินจิ้งเหอควรทำ! เราต้องสั่งสอนคนที่กล้าขัดขืนและพวกเขาก็จะกลายเป็นเชื่อฟัง ใช่ไหม เจ้าคิดว่าการยืดเยื้อคร่ำครวญมากเกินไปน่ารำคาญไหม”
ท่าทางของโม่เทียนเกอไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อยเมื่อนางได้ยินประมุขเต๋าจิ้งเหอชื่นชม นางกล้าที่จะสั่งสอนพวกนางเพราะนางมั่นใจว่าอาจารย์ในนามของนางผู้นี้จะไม่ทำเรื่องต่างๆ ให้ยุ่งยากกับนางเพื่อเห็นแก่สาวใช้เหล่านี้ อีกอย่างสาวใช้ก็คือสาวใช้ ในทางตรงกันข้าม นางคือศิษย์ของเขา นางไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเล่นตัวเพื่อทำให้เขาพอใจอย่างที่สาวใช้เหล่านั้นทำ ถ้านางต้องทำอะไรได้ถูกใจตามรสนิยมของเขา และระดับการฝึกตนของนางพัฒนาขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เขาก็จะปกป้องนางโดยปริยาย ด้วยนิสัยหรูหราและกระหายเลือดของท่านอาจารย์ผู้นี้ แล้วนางในฐานะศิษย์ของเขาจะอ่อนแอได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม สาวใช้เหล่านี้ก็ดูฉลาด ทำไมพวกนางถึงมาเพื่อฟ้องเรื่องที่น่าละอายนี้กัน
นางประเมินสาวใช้เหล่านี้สูงเกินไปจริงๆ
เพราะซิ่วฉินผู้ที่โม่เทียนเกอจงใจยอมอ่อนข้อให้ได้รับรู้ถึงความสามารถของโม่เทียนเกอโดยตรง นางจึงไม่กล้าจะพูดมากนัก แต่ภายใต้การปกป้องของท่านประมุขเต๋าจิ้งเหอทำให้สามคนที่เหลือยโสจองหอง พวกนางกล้ำกลืนความเจ็บปวดเหล่านี้ได้อย่างไร
กระนั้นความจริงก็ทำให้พวกนางรู้สึกผิดหวัง ไม่เพียงแต่ท่านปรมาจารย์จะไม่โทษอาจารย์ลุงโม่คนนี้แล้ว แต่เขายังดูจะพึงพอใจในเรื่องนี้ทั้งหมด!