ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 61
สำนักย่อยเขาอวิ๋นอู้แห่งสำนักจื่อซย่า
หลายวันต่อมา สำนักอวิ๋นอู้ได้เปลี่ยนชื่อเป็นสำนักย่อยเขาอวิ๋นอู้แห่งสำนักจื่อซย่าอย่างเป็นทางการ
เมื่อนางได้รับอิสรภาพคืน โม่เทียนเกอรีบลงจากเขาไปพบท่านอารองเพื่อไปตรวจสอบว่าเขาสบายดีหรือไม่และเพื่อแจ้งเขาเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น
เยี่ยเจียงเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ดังนั้นเขาจึงพูดกับนาง “เจ้าต้องตั้งใจฝึกตน เจ้าไม่ต้องทำอะไร และเจ้าเองก็ไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อยู่แล้ว ตราบใดที่เจ้าสามารถสร้างฐานแห่งพลังของเจ้าได้ มันไม่ได้สำคัญเลยว่าเจ้าจะเป็นผู้ฝึกตนในกลุ่มไหน”
ด้วยความสัตย์จริง โม่เทียนเกอไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันกับสำนักเท่าไร ในช่วงเวลาสิบปีที่ผ่านมา มีเพียงท่านอารองที่พานางท่องไปทั่ว ทุ่มเททุกอย่างให้กับนาง และเลี้ยงนางจนเติบโต สำนักอวิ๋นอู้ไม่ได้ทำอะไรเพื่อนาง และนางเองก็ไม่ได้มีความข้องเกี่ยวโดยตรงกับสำนักมากนัก ในขั้วแห่งท้องฟ้าทั้งหมด หรืออาจจะทั่วโลกแห่งการฝึกตน คนส่วนมากล้วนยอมรับความจริงในข้อนี้แทบทั้งนั้น
การเข้าถึงระดับสิบของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ตอนนี้นางสามารถเลิกกินอาหารได้แล้ว และเพราะเหตุนั้น นางจึงขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง คงความเสถียรให้กับดินแดนการฝึกตนและเรียนรู้เกี่ยวกับม่านพลัง ก่อนหน้านี้ นางไม่มีเวลาที่จะศึกษาหนังสือเกี่ยวกับฉีเหมินตุ้นจย่าที่นางได้มาจากหุบเขาหมีอู้เมื่อสองปีก่อน ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับนางที่จะสามารถศึกษามันอย่างรอบคอบ
ในช่วงเวลาที่นางเก็บตัวเองอยู่ในห้อง ผลกระทบของการที่สำนักถูกยึดครองมีเพิ่มขึ้นอย่างหนักหน่วง สำนักจื่อซย่าส่งผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหลายคนเข้ามาควบคุม ตอนนี้ไม่มีเจ้าสำนัก มีเพียงแค่หัวหน้าสำนักย่อยเขาอวิ๋นอู้เท่านั้น
ผู้ที่รับหน้าที่หัวหน้าสำนักย่อยก็เป็นใครที่ไหนไม่ได้นอกไปจากผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังจากกลุ่มเจียง ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับเจียงซั่งหังนัก ความสัมพันธ์ของเขากับกลุ่มไม่ได้ใกล้ชิดขนาดนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีความบาดหมางเกิดขึ้นระหว่างเขากับเจียงเฉิงเซียนอีก ดังนั้นจึงถือว่าดีมากแล้วที่เขาไม่ได้ถูกรังแก แล้วเขาจะได้รับการดูแลพิเศษได้อย่างไร
นอกเหนือไปจากสมาชิกของกลุ่มเจียง ก็ไม่มีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังคนไหนสามารถจะหลบหนีไปจากหายนะที่เลวร้ายนี้ได้ ขนาดกลุ่มผู้ฝึกตนยังได้รับผลกระทบ เพราะศิษย์ของสำนักส่วนมากมาจากกลุ่มผู้ฝึกตน สำนักจื่อซย่าจึงใช้คำขู่และคำสัญญา นอกจากการเชือดไก่ให้ลิงดู ถ้าจะให้พูดถึงก็คือการฆ่าศิษย์บางคนในแต่ละวันเพื่อเปลี่ยนให้ทุกๆ วันของพวกเขามีแต่ความหวาดกลัว
ตามหลักเหตุผลแล้ว พวกเขาส่วนมากที่อาศัยอยู่ที่สวนแห่งนี้เป็นผู้ฝึกตนเดี่ยวผู้ซึ่งเข้าร่วมสำนักมาจากการรวมพลเซียน ดังนั้นจึงไม่ได้รับผลกระทบมากนักในการนี้ อย่างไรก็ตาม มีศิษย์บางคนที่ได้รับผลกระทบและถูกฆ่าตาย ซึ่งถือว่าโชคดีที่สวีจิ้งจือไม่ได้อยู่ในกลุ่มเหล่านั้น
ในภายหลัง โม่เทียนเกอได้ยินว่าหวังเชี่ยนอีแต่งงานกับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังผู้สืบทอดจากสำนักจื่อซย่าและย้ายไปอาศัยอยู่ที่นั่น ผลที่ตามมา กลุ่มหวังจึงรอดอย่างหวุดหวิดและไม่ได้รับการติดตามสืบสวนอีกต่อไป
ด้วยเหตุนี้เอง โม่เทียนเกอจึงทำได้เพียงแค่ถอนหายใจอย่างหนัก สำหรับผู้หญิง สุดท้ายแล้วร่างกายของพวกเขาก็คือสมบัติชิ้นสุดท้าย ศิษย์พี่หวังเป็นผู้หญิงที่ภูมิใจในตัวเอง ถึงแม้ว่านางมีพ่อที่เป็นผู้ฝึกตนอยู่ในระดับดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง นางก็ไม่เคยหยิ่งทะนงตัว อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วนางก็ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้
โม่เทียนเกอนึกย้อนไปช่วงเวลาที่เจอนางกับเฉินปิงที่หุบเขาหมีอู้ เมื่อพวกนางถูกคุกคามด้วยคำพูดหยาบโลนลามก ถึงแม้ว่าเฉินปิงจะโกรธจัด แต่ก็ควบคุมตัวเองกลับมาได้ ในทางกลับกัน หวังเชี่ยนอีมีแต่สบถคำสาปแช่งออกมา เมื่อนึกถึงตอนนี้ที่หวังเชี่ยนอีถูกบังคับให้แต่งงานกับลูกชายผู้สืบทอดของครอบครัวผู้มีอิทธิพล ผู้ซึ่งเป็นคนประเภทที่นางรังเกียจที่สุด จริงๆ แล้ว… ไม่มีใครสามารถควบคุมโชคชะตาได้
ระยะเวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง โม่เทียนเกอก็ได้ยินข่าวสารบางอย่างเพิ่มเติม เฉินปิงถูกบังคับให้เป็นเมียน้อยของลูกชายเจ้าสำนักหลี่ ความงามและความสามารถของศิษย์พี่เฉินปิงเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งสามกลุ่มผู้ฝึกตน ศิษย์หลายคนจากทั้งสามกลุ่มนั้นต่างชื่นชอบนาง ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจที่เฉินปิงจะตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ ความงามเป็นความโชคดี แต่ก็เป็นรากแห่งปัญหาได้หากนางไม่ได้ปลอมตัวเป็นผู้ชายและซ่อนสัดส่วนของผู้หญิงไว้ บางทีในวันนี้นางก็คงไม่มีจุดจบที่ดีเช่นกัน
โชคดีที่มู่หรงเยียนไม่ได้ตามรอยพวกนางไป เฉินปิงเสียสละตัวเองเพื่อช่วยนางไว้
หลายวันต่อมา โม่เทียนเกอได้รับเครื่องรางเรียกขานจากมู่หรงเยียน หลังจากที่นางผ่านช่วงเวลาที่โชคร้ายมาได้ นางได้ระบายถึงความไม่พอใจและความตั้งใจของนางที่จะขยันฝึกตน นอกเหนือจากการส่งเครื่องรางเรียกขานกลับไปพร้อมคำอวยพร โม่เทียนเกอก็ทำอะไรนอกเหนือไปจากนั้นไม่ได้แล้ว
หลายเดือนผ่านไป พายุที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากการผนวกรวมกันของทั้งสองกลุ่มค่อยๆ สงบลง
เมื่อโม่เทียนเกอออกมาจากห้องของนาง นางก็เห็นว่าสหายสามคนกำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น นางรู้สึกแปลกใจอย่างช่วยไม่ได้พร้อมพูดว่า “พวกท่านทำอะไรกัน”
หลิ่วอีเตากวักมือเรียกนาง “ศิษย์น้องเยี่ย มานี่สิ มาปรึกษาร่วมกันหน่อย”
ด้วยคำถามที่เต็มไปหมด นางเดินเข้าไปหาพวกเขาและหาที่นั่งของตัวเอง นางไม่เชื่อว่าไม่ได้มีปัญหาเกิดขึ้น หลิ่วอีเตาและสวีจิ้งจือมารวมกันตรงนี้ก็หาใช่เรื่องแปลก ทั้งสองคนมีนิสัยที่เปิดเผยอยู่แล้ว ดังนั้นการรวมตัวและพูดคุยถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเขา อย่างไรก็ตาม ฉินซีไม่เคยออกมาจากห้องของเขานอกเหนือจากมีเรื่องจำเป็น เขาจะอยู่ข้างนอกก็ต่อเมื่อมีปัญหาหรือหัวข้อที่พวกเขากำลังคุยกันเป็นเรื่องที่เขาสนใจ
หลิ่วอีเตาถามอย่างตื่นเต้น “ศิษย์น้องเยี่ยยังไม่ได้ยินเกี่ยวกับข่าวใหม่ล่าสุดใช่หรือไม่”
“ข่าวอะไร”
หลิ่วอีเตาทำให้รู้สึกว่ามีเงื่อนงำและหยุดไปชั่วระยะหนึ่งก่อนที่จะพูดต่อ “ข่าวเกี่ยวกับยาสร้างฐานแห่งพลัง”
“อา…” นางเกือบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว หลังจากเกิดการทำลายล้างของสำนัก นางก็ลืมเกี่ยวกับการแข่งขันย่อยที่ควรจะถูกจัดขึ้นเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา “เกิดอะไรขึ้นหรือ พวกเขาจะจัดการแข่งขันย่อยอีกครั้งอย่างนั้นหรือ”
หลิ่วอีเตาส่ายหน้าพร้อมกับพูดด้วยความตื่นเต้นถึงขีดสุด “ข้าได้ยินข่าวมาว่าเพื่อที่จะปลอบใจศิษย์ของสำนัก พวกเขาจะเพิ่มจำนวนยาสร้างฐานแห่งพลังที่จะมอบให้ และช่วยเหลือด้วยการเปลี่ยนวิธีในการมอบให้พวกเราด้วย”
“วิธีในการมอบคืออะไร พวกเราไม่ต้องเข้าร่วมการแข่งขันย่อยแล้วหรือ”
หลิ่วอีเตาพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว ครั้งนี้การแข่งขันย่อยถูกยกเลิกไปแล้ว”
ด้วยความสงสัย โม่เทียนเกอจึงถามต่อ “แล้วพวกเขาจะใช้วิธีในการมอบแบบไหนกัน”
สวีจิ้งจือผู้ที่นิ่งเงียบอยู่พูดขึ้นมาอย่างถากถาง “เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเพราะมีคนตายมากเกินไปแล้ว การที่จะจัดการแข่งขันย่อยจะทำให้พวกเขาดูเป็นคนที่เย็นชาและไร้ความปรานี ดังนั้นพวกเขาจึงเปลี่ยนหลักการใหม่”
อารมณ์ของสวีจิ้งจือไม่สู้ดีนัก ถึงแม้ว่ากลุ่มสวีจะไม่ได้ติดร่างแหเข้ามาด้วย แต่พวกเขาก็อยู่ในช่วงเวลายากลำบากเช่นกัน สวีจิ้งจือนั้นมีท่านอาผู้ฝึกตนระดับดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังอยู่ท่านหนึ่งแต่เพราะท่านอาของเขาสนิทชิดเชื้อกับเจ้าสำนักฟัง ท่านอาของเขาจึงถูกบังคับให้กลับไปที่กลุ่มของเขาอย่างลับๆ โชคดีที่อาของเขารีบประกาศจุดยืนจึงทำให้ผู้อื่นไม่ได้รับผลกระทบไปด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับเฉินปิงและหวังเชี่ยนอีทำให้สวีจิ้งจือ ผู้ซึ่งเป็นเด็กของกลุ่มผู้ฝึกตนเช่นกันรู้สึกมีความเคียดแค้นอยู่ในใจ
เมื่อเห็นเขามีอารมณ์เช่นนี้ ฉินซีทำกระแอมเสียงอย่างไม่ตั้งใจก่อนพูดว่า “ศิษย์น้องสวี เจ้าใจเย็นและสงบจิตใจตัวเองสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วก่อน ตอนนี้คนที่อยู่เหนือเราคือสำนักจื่อซย่านะ”
ถึงแม้สวีจิ้งจือจะแสดงพฤติกรรมที่แข็งกระด้าง สุดท้ายแล้ว เขาก็ยังคงเชื่อฟังแล้วทำตามเสียงนั้น เข้าเขาใจถึงความจริงข้อนี้ดี แต่ตั้งแต่ที่เขายังเป็นเด็ก เขาได้อะไรต่างๆ มาอย่างง่ายดาย นอกเหนือไปจากการแข่งรวมพลเซียนแล้ว เขาไม่เคยที่จะต้องผ่านเรื่องราวความโศกเศร้าเช่นนี้ ผลที่ตามมา เขาจึงไม่สามารถเก็บซ่อนอารมณ์ของตัวเองได้
การพูดแทรกนั้นทำให้หลิ่วอีเตารู้สึกลำบากใจอย่างมาก สวีจิ้งจือกำลังอารมณ์ไม่ดีแต่เขาเองกลับรู้สึกตื่นเต้น อย่างไรก็ตาม เขารีบซ่อนอารมณ์ตัวเองและพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าสัตว์ปีศาจที่อยู่ลึกเข้าไปในอาณาเขตของเขาคุนอู๋นั้นต่างกระสับกระส่ายและกำลังจะทำให้เกิดปัญหา พวกกลุ่มเล็กๆ บริเวณที่อยู่ใกล้เคียงพวกเราเริ่มทำร้ายผู้คนอย่างต่อเนื่อง และด้วยเหตุนั้น สำนักจึงตัดสินใจที่จะให้พวกเราที่เขาอวิ๋นอู้ได้รับรางวัลตามจำนวนของสัตว์ปีศาจที่เราจับได้ในหนึ่งวัน ศิษย์ที่อยู่อันดับต้นสิบกว่าคนจะถือว่ามีคุณสมบัติที่จะได้รับยาสร้างฐานแห่งพลังไป”
“อย่างนั้นเอง…” โม่เทียนเกอพูดพร้อมขมวดคิ้ว ทางใต้สุดของเทือกเขาคุนอู๋รวมถึงป่าที่กว้างใหญ่ไพศาล พื้นที่นั้นได้รับการบอกกล่าวกันถึงเหล่าสัตว์ปีศาจระดับสูงนับไม่ถ้วน สำหรับพื้นที่บริเวณรอบๆ สำนักของพวกเขา มีเพียงสัตว์ปีศาจระดับหนึ่งและสองเท่านั้น
กลุ่มพวกระดับหนึ่งนั้นเทียบเท่าได้กับดินแดนแห่งการหลอมรวมพลังวิญญาณ ในขณะที่กลุ่มระดับสองจะเทียบเท่ากับระดับต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ตราบใดพี่พวกเขาคอยระวังตัว ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณอย่างพวกเขาสามารถจัดการสัตว์ปีศาจระดับหนึ่งได้อย่างแน่นอน สำหรับสัตว์ปีศาจระดับสองนั้น… ถึงแม้ว่าจะจัดการได้ยากกว่า แต่สัตว์ปีศาจนั้นใช้ม่านพลังและเครื่องรางไม่ได้อย่างพวกเขา พวกสัตว์ที่ใช้พลังเวทได้นั้นมีน้อยนัก ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณก็ยังสามารถฆ่าพวกมันได้ถ้าพวกเขาร่วมมือและจู่โจมพร้อมกัน ถึงแม้จะไม่สามารถฆ่าพวกมันได้ พวกเขาก็ยังมีโอกาสที่จะหนีได้อยู่ดี
กระนั้นก็ตาม เมื่อเทียบกับการจัดการแข่งขันย่อย วิธีนี้ก็ฟังดูดีทีเดียว ในการแข่งขันย่อย ถึงแม้ว่ามีคนที่แข็งแกร่งมากพอ แต่ถ้าต้องเผชิญเข้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งพอๆ กัน ฝ่ายหนึ่งจะต้องออกจากสังเวียนในฐานะผู้แพ้ ถ้านึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ก็เป็นเพียงแค่รูปแบบสิทธิพิเศษที่ใช้ปลอบใจเหล่ากลุ่มผู้ฝึกตนเท่านั้น เพราะกลุ่มผู้ฝึกตนมีกำลังคนค่อนข้างมาก พวกเขาเพียงแค่ต้องมุ่งเป้าหมายไปที่สมาชิกกลุ่มเพียงแค่หนึ่งคนเพื่อให้ได้มาซึ่งยาสร้างฐานแห่งพลังเท่านั้น
ในทางกลับกัน สำหรับศิษย์คนอื่นๆ ไม่มีใครต้องการที่จะเสียสละตัวเองเพื่อคนอื่น สุดท้ายแล้วสิ่งที่พวกเขาอาจได้รับจากการต่อสู้กับสัตว์ปีศาจอาจจัดว่าเป็นของรางวัลก็ได้
“พวกเราสามารถสู้ร่วมกันเป็นกลุ่มได้หรือไม่”
หลิ่วอีเตาส่ายหัว “งานนี้แตกต่างจากหุบเขาหมีอู้ ครั้งนี้ศิษย์ของพวกเราจะต้องแข่งกันเอง และแน่นอน ถ้าพวกเราบังเอิญเจอกันข้างใน การเดินทางร่วมกันนั้นเป็นไปได้ แต่โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นน้อยเหลือเกิน ป่าในเขาแห่งนี้กว้างใหญ่เกินไปนัก…”
โม่เทียนเกอเริ่มที่จะทำการคิดคำนวณอยู่ภายในจิตใจ กฎในครั้งนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือนางไม่ต้องกังวลวว่าจะมีคนเห็นนาง นางสามารถใช้วิธีการแบบไหนก็ได้ที่ต้องการ ส่วนข้อเสียคือนางจะต้องเพิ่มการระมัดระวังตัวให้มากขึ้นอีกเท่าหนึ่ง สุดท้ายแล้วนางก็ต้องต่อสู้กับสัตว์ปีศาจ ถ้านางไม่ระมัดระวังตัวมากพอ นางอาจจะถูกฝังอยู่ภายในกรามของเหล่าสัตว์ปีศาจก็เป็นได้