ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 65
จระเข้เขี้ยวเหล็กระดับสอง
ภายในหมอกพิษ โม่เทียนเกอและมู่หรงจื่อทำสมาธิอย่างใจเย็น สภาพแวดล้อมรอบตัวพวกเขาเงียบสงัด
ความเงียบที่นี่เป็นสิ่งที่พบได้ยากในป่าเขาแห่งนี้ ตรงกันข้ามกับความสงบที่นี่ การต่อสู้กำลังปะทุขึ้นอยู่ในบริเวณอื่นๆ แม้ว่าป่าในเขานี้จะกว้างใหญ่ แต่ผู้คนก็ยังเจอเข้ากับผู้ฝึกตนคนอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ระหว่างการเผชิญหน้ากัน ถ้าฝั่งหนึ่งคือสำนักจื่อซย่า การเผชิญหน้ากันนั้นจะต้องนำไปสู่การต่อสู้ชุลมุนแน่นอน มีทั้งคนที่ฆ่าและคนที่ถูกฆ่า
เมื่อฟ้ามืดลง ศิษย์จากทั้งสองฝ่ายก็มารวมตัวกับพวกศิษย์สหายตัวเองเพื่อยกระดับความปลอดภัยพร้อมกับระบายความขุ่นเคืองใจไปด้วย พวกเขาฆ่าคู่ต่อสู้ที่เจออยู่อย่างโดดเดี่ยวในขณะที่ปกป้องตัวเองจากการถูกฆ่าด้วยเช่นกัน
ขณะที่มู่หรงจื่อใช้เวลานี้เพื่อรักษาบาดแผลและฟื้นฟูพลังวิญญาณของเขา โม่เทียนเกอแอบตื่นตัวอยู่ลับๆ นางไม่เหมือนกับศิษย์ร่วมสำนักที่เกิดมาจากกลุ่มการฝึกตนซึ่งสั่งสมความแค้นต่อสำนักจื่อซย่า นางไม่อยากถูกดึงเข้าไปข้องเกี่ยวกับความขัดแย้งอะไรก็ตามที่พวกเขามีต่อกัน นางแค่อยากจะรอม่านพลังทางออกเปิดออกอยู่เงียบๆ และได้รับยาสร้างฐานแห่งพลังก็เท่านั้น
โม่เทียนเกอลืมตาขึ้นทันใด นางสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณกระเพื่อมอยู่ในอากาศ พอดีกับที่นางกำลังจะมองกลับไปที่น้ำพุอาบพิษด้านหลัง นางก็รู้สึกถึงลมกระโชกแรงจึงรีบผลักมู่หรงจื่อไปด้านหลัง ในขณะที่ตัวนางเองกลิ้งไปทางด้านข้างเพื่อหลบ
ความรอบคอบของนางช่วยชีวิตพวกเขาไว้ อย่างไรก็ตาม ในวินาทีต่อมา พวกเขาก็ต้องเบิกตากว้าง จ้องมองนิ่งอยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ
สัตว์ปีศาจตัวนี้มีหัวแบนราบ ฟันแหลมคม และหลังที่ปกคลุมไปด้วยหมอกที่รูปร่างเหมือนภูเขาเล็กๆ ส่วนล่างของร่างกายมันยังอยู่ในน้ำพุอาบพิษ แต่แค่ส่วนที่เผยออกมาก็ทำให้พวกเขารู้แล้วว่ามันเป็นสัตว์ปีศาจประเภทไหน
มู่หรงจื่อพึมพำ “จระเข้เขี้ยวเหล็กระดับสอง! งั้นที่นี่ก็มีสัตว์ปีศาจระดับสองอยู่จริงๆ เสียด้วย”
โม่เทียนเกอถอยไปพร้อมดึงมู่หรงจื่อไปกับนางด้วย จากนั้นนางโบกมือให้ธงม่านพลังมาปรากฏต่อหน้าพวกเขา ตำแหน่งที่พวกเขานั่งสมาธิกันอยู่คือม่านพลังชีวิตและความตายห้าธาตุที่นางวางไว้ก่อนหน้านี้ ทันทีที่จระเข้เขี้ยวเหล็กพุ่งเข้ามา มันก็เข้าสู่ม่านพลังในทันใด
“ศิษย์พี่มู่หรง นี่มันตัวอะไรกัน”
มู่หรงจื่อฟื้นความทรงจำและตอบด้วยหน้านิ่วคิ้มขมวด “นี่คือสัตว์ปีศาจระดับสอง เทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังในขั้นต้น เราไม่มีทางสู้มันได้”
พวกเขาไม่มีเวลาพูดคุยต่อเพราะจระเข้เขี้ยวเหล็กพุ่งเข้ามาข้างหน้าอย่างเร็ว ขากรรไกรของมันอ้ากว้างในขณะที่มันพยายามจะกัดพวกเขา
ทั้งสองคนรีบถอยหนี โม่เทียนเกอโบกธงม่านพลัง ทำให้แผ่นม่านพลังและธงม่านพลังอันอื่นๆ ที่นางซ่อนไว้ใต้ดินตั้งตระหง่านขึ้นมาในทันที เมื่อเป็นเช่นนั้น ม่านพลังชีวิตและความตายห้าธาตุจึงเริ่มทำงาน
จระเข้เขี้ยวเหล็กกะพริบตาเล็กๆ ของมันและดูเหมือนจะตกใจหลังจากข้าวของม่านพลังรอบตัวมันตั้งขึ้นเสียงดัง “ปับ” อย่างไรก็ตาม เพราะความสามารถในการรับรู้ของมันไม่มากพอที่จะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากสับสนอยู่พักหนึ่ง มันก็ยังคงพุ่งเข้าหาพยายามจะกลืนกินยุงตัวจิ๋วสองตัวที่อยู่ตรงหน้ามัน
แต่กระนั้นมันก็ทำไม่สำเร็จ ทันใดนั้น เถาวัลย์ขดคดเคี้ยวนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นข้างใต้ พันรอบตัวมันและทำให้มันไม่สามารถจะขยับเขยื้อนได้แม้แต่นิดเดียว
มันตวัดหางอย่างโกรธเกรี้ยว เถาวัลย์ค่อยๆ หลุดออกทีละอัน
เหงื่อเย็นเฉียบจากความกลัวปรากฏขึ้นบนหน้าของโม่เทียนเกอ “ปีศาจตัวนี้มันแข็งแกร่งเกินไป ม่านพลังของข้าไม่สามารถรั้งมันได้นานนัก”
“นี่…” มู่หรงจื่อตัวซีด “เราไม่มีเวลามากพอที่จะหนี”
โม่เทียนเกอโบกธงม่านพลังอีกครั้ง น้ำและทรายดูดปรากฏขึ้นในม่านพลังทันทีและทำให้บริเวณนั้นกลายเป็นแอ่งน้ำอย่างรวดเร็ว กักขังจระเข้เขี้ยวเหล็กไว้ได้อีกครั้ง โม่เทียนเกอกัดฟันพูด “ศิษย์พี่มู่หรง ข้าจะถ่วงเวลาเอาไว้ ท่านไปจัดการมันซะ ในเมื่อเราหนีไม่ได้เราก็ต้องสู้เท่านั้น!”
มู่หรงจื่อตอบอย่างเฉื่อยชา “เรา…”
“มันจะสายเกินไปถ้าท่านไม่โจมตีมันเดี๋ยวนี้!” โม่เทียนเกอตะโกน “เร็วเข้า! ข้าจะคิดหาวิธีป้องกันไม่ให้มันทำร้ายท่าน! ท่านต้องจู่โจมมันด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี!”
เชื่อตามที่โม่เทียนเกอตะโกนสั่ง มู่หรงจื่อกัดฟันและพูดว่า “ก็ได้ ถ้ามันสุดวิสัยจริงๆ ข้าจะเอาชีวิตเป็นเดิมพัน!”
ศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณสองคนไม่สามารถเอาชนะผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับสัตว์ปีศาจระดับสองที่ไม่มีทั้งอาวุธวิเศษหรือความสามารถในการวิเคราะห์ศึก พวกเขายังพอมีโอกาสอยู่บ้าง
มู่หรงจื่อคว้ากระบี่บินของเขาออกมาทันที ใช้วิชาตัวเบา และพุ่งเข้าปะทะกับมัน
ชั่วขณะต่อมา อย่างไรก็ตาม สีหน้าเขาแย่ลง กระบี่บินของเขาเป็นของที่ผู้อาวุโสในสำนักมอบให้ มันถูกหลอมด้วยสารสกัดจากเหล็กหายากและมีใบมีดคมกริบ
โดยปกติเขามักจะชนะอย่างง่ายดายในการต่อสู้ แต่พอปะทะเข้ากับหนังหนาของจระเข้เขี้ยวเหล็กตัวนี้ กระบี่ไม่สามารถทำร้ายอะไรมันได้เลยแม้แต่น้อย
แอ่งน้ำไม่สามารถกักจระเข้เขี้ยวเหล็กตัวนี้ได้อีกนานนัก โม่เทียนเกอโบกธงอีกครั้งก่อให้เกิดไฟลุกอยู่ภายในม่านพลัง ขณะเดียวกันนั้นเอง นางก็คว้าเมล็ดบุษบาเสน่หากำหนึ่งออกมา จากนั้นโยนไปทางจระเข้ตัวนั้น
แม้ว่าไฟจะสามารถถ่วงจระเข้ไว้ได้ แต่บุษบาเสน่หาทำได้เพียงแค่ให้มันสะบัดหางใส่เท่านั้น ด้วยพลังวิญญาณปัจจุบันของนาง นางใช้ได้แค่เมล็ดพันธุ์ที่โตทันที ถึงอย่างนั้น ของพวกนี้… ไม่ใช่สิ่งที่สัตว์ปีศาจระดับสองจะถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อเลย
เมื่อไม่เหลือทางเลือก โม่เทียนเกอเอายาบำรุงครอบจักรวาลออกมา การใช้ม่านพลังเพื่อดักจับสัตว์ปีศาจระดับสองทำให้นางเสียพลังวิญญาณเร็วเกินไป ดังนั้นนางจึงต้องกินยาเพื่อให้ยังรักษาม่านพลังอยู่ได้
อีกฝั่งหนึ่ง มู่หรงจื่อทำตัวสมกับกิตติศัพท์ของเขา เมื่อเขาตระหนักว่ากระบี่บินของเข้าไร้ประโยชน์ เขาเปลี่ยนมันเป็นอย่างอื่นทันที นั่นคือแส้ที่อาบไปด้วยแสงสีทองระยับ พอเขาฟาดแส้นี้ มันก็กลายเป็นลำแสงสีทองและส่งเสียง “แก๊ก!” ก้องกังวาน แต่หลังจากแส้ของเขาถูกเหวี่ยงออกไป สีหน้าเขาเปลี่ยนไปอีกครั้ง แส้นี้ก็ยังไม่สามารถทำอะไรหนังหนาๆ ของจระเข้ได้เลย!
หลังจากฟาดแส้อยู่หลายครั้ง ใบหน้ามู่หรงจื่อก็ซีดเผือด ไม่เพียงแต่เขาไม่สามารถทำลายการป้องกันของจระเข้เขี้ยวเหล็กได้ แต่เครื่องมือวิญญาณของเขายังพังเพราะโดนมันกัดเข้าอีกด้วย สมกับชื่อ “เขี้ยวเหล็ก” มันมีฟันที่แหลมคมอย่างมาก
โม่เทียนเกอไม่ได้ทำได้ดีไปกว่าเขานัก แม้ว่านางจะสบายกว่าหน่อยเพราะนางพึ่งพาม่านพลังของตัวเอง แต่การใช้ม่านพลังนี้เพื่อต้านทานการโจมตีจากสัตว์ปีศาจระดับสองทำให้พลังวิญญาณของนางสูญเสียไปด้วยความเร็วอันน่าตกใจ นางแทบจะสัมผัสได้เลยว่าพลังวิญญาณของตัวเองเกือบจะหมดสิ้นแล้ว เพราะอย่างนั้น นางจึงทำได้แค่กินยาบำรุงครอบจักรวาลเข้าไปอีก
เมื่อคิดว่าพลังวิญญาณของนางสูญเสียไปเร็ว นางก็ไม่กลัวกับการต้องเปลืองยาวิเศษอีกต่อไป อย่างไรเสีย ถ้านางไม่มีชีวิตรอด การมียาวิเศษมากมายก็คงไม่มีประโยชน์
“ใช้เครื่องราง! ใช้เครื่องรางโจมตีมัน!” โม่เทียนเกอตะโกนใส่มู่หรงจื่อที่กำลังอึ้ง จระเข้เขี้ยวเหล็กตัวนี้เอาชนะไม่ได้เลย ชั้นผิวหนังแข็งบนตัวของมันเทียบได้กับเกราะป้องกันและไม่สามารถจะเจาะหรือแทงได้ พวกเขาทำได้เพียงแค่ใช้เวทมนตร์ในการทะลวงผิวหนังของมันและทำให้มันบาดเจ็บ
มู่หรงจื่อได้สติกลับมาหลังจากได้ยินเสียงตะโกนของโม่เทียนเกอ จากนั้นเขาคว้าเครื่องรางกองหนึ่งออกมา ไม่สนใจจะระวังอะไรอีกแล้ว และขว้างเครื่องรางทั้งหมดไปทางจระเข้เขี้ยวเหล็ก
มีคาถาของทุกธาตุอยู่ในเครื่องรางพวกนี้ ทะเลเพลิง น้ำแข็ง ทรายดูด เถาวัลย์ และอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งหมดชนเข้าใส่หัวของจระเข้เขี้ยวเหล็กเข้าอย่างจังทีละอัน
ครั้งนี้ ในที่สุดจระเข้เขี้ยวเหล็กก็มีปฏิกิริยาอะไรบ้าง มันยกหัวขึ้น จ้องไปที่มู่หรงจื่อที่กำลังลอยตัวในอากาศด้วยดวงตาเล็กของมัน ก่อนจะอ้าปากขึ้นในที่สุด มันพ่นน้ำไปทางมู่หรงจื่อ เขาตกใจ รีบขยับไปด้านข้างเพื่อหลบ แต่เขาไม่ทันระวังและทำให้ตัวเองโดนน้ำบางส่วนกระเด็นใส่ หลังจากนั้น ร่างกายของเขาเฉื่อยลงอย่างไม่คาดคิดและร่วงลงสู่พื้น
นางใช้โอกาสจากช่วงเวลานี้ โม่เทียนเกอรีบคว้าแผ่นและธงม่านพลังที่ใช้ในการตั้งม่านพลังหลงทิศและม่านดักวิญญาณออกมา แล้ววางทั้งหมดลง
หลังจากนางโบกธงม่านพลัง เถาวัลย์เลื้อยนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นอีกครั้งภายในม่านพลังและมัดตัวของจระเข้เขี้ยวเหล็กไว้
ในที่สุดความสนใจของจระเข้เขี้ยวเหล็กจึงกลับมาที่ฝั่งนาง แต่มันก็รู้ทันทีว่าการเคลื่อนไหวพลังวิญญาณภายในร่างของมันตอนนี้เป็นไปอย่างช้ามาก ด้วยความเกรี้ยวกราด มันไม่มีเวลาจะจัดการกับแมลงวันตัวจิ๋วอีกตัวนึง แค่อยากจะฉีกเนื้อแมลงวันที่อยู่ตรงหน้ามันออกเป็นชิ้นๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อมันคลานไปข้างหน้า ก็พบว่าฉากข้างหน้าเปลี่ยนไป มันงุนงงขึ้นมาทันทีและมองไม่เห็นแมลงวันตัวจิ๋วนั้นอีกต่อไปแล้ว!
พอเห็นว่ามู่หรงจื่อยังไม่ลุกขึ้น โม่เทียนเกอร้องเรียกอย่างกังวล “ศิษย์พี่มู่หรง!”
ราวกับว่าเขาได้ยินเสียงของนาง มู่หรงจื่อหยิบยาวิเศษหลายเม็ดใส่ปากอย่างยากลำบากและพยายามจะลุกขึ้น ร่างกายของเขาบาดเจ็บอย่างแรงอยู่ก่อนแล้ว และการใช้เครื่องมือวิญญาณกับวิชาตัวเบาก็ยิ่งทำให้เขาใช้ร่างกายเกินขีดจำกัด โชคร้ายที่เขายังถูกปะทะเข้ากับน้ำที่จระเข้เขี้ยวเหล็กพ่นออกมาอีก
ที่นี่คือน้ำพุอาบพิษ ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างในบริเวณนี้จึงเป็นพิษ รวมถึงสัตว์ปีศาจที่สามารถพัฒนาไปถึงระดับสองด้วย พิษที่จระเข้เขี้ยวเหล็กมีนั้นร้ายแรงยิ่งกว่าหมอกพิษ ในไม่ช้า อาการบาดเจ็บของมู่หรงจื่อก็แย่ลงมากกว่าเดิม
เขาเมินเฉยกับทุกสิ่ง กลืนยาถอนพิษและยาที่รักษาอาการบาดเจ็บของเขาเข้าไปหลายเม็ด จากนั้นพยายามที่จะเหาะขึ้น เขายกมือ โยนเข็มบินได้อย่างดีกำมือหนึ่งใส่ตาของจระเข้เขี้ยวเหล็ก
จระเข้เขี้ยวเหล็กกะพริบตาและสะบัดหัว เข็มบินได้จำนวนหนึ่งถูกปัดออกในขณะที่บางส่วนติดอยู่กับหนังหนาบนหัวของมัน แต่ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายใดแม้แต่น้อยก่อนจะร่วงหล่นลง
มู่หรงจื่อยังไม่ยอมแพ้ เขาขว้างเข็มใส่มันเรื่อยๆ การที่ถูกขังอยู่ในม่านดักวิญญาณทำให้พลังวิญญาณของจระเข้เขี้ยวเหล็กเคลื่อนไหวได้ช้าลง ท้ายที่สุดแล้ว มันก็ไม่อาจหลบเข็มเหล่านั้นได้ ด้วยเสียงดัง “จึก” ตาของมันถูกแทงเข้าจนได้
มันผงกหัวขึ้นและร้องคำรามขึ้นฟ้าอย่างเกรี้ยวกราด
โม่เทียนเกอรู้สึกพอใจ นางกินยาครอบจักรวาลเข้าไปอีกกำหนึ่งและโบกธงม่านพลัง ทะเลเพลิงตกลงสู่ม่านพลังทำให้พื้นสั่นไหว หลังจากถูกระดมโจมตีด้วยเวทมนตร์ ร่องรอยของการถูกเผาไหม้ในที่สุดก็ปรากฏขึ้นบนผิวหนังหนาของจระเข้เขี้ยวเหล็ก
มู่หรงจื่อไม่ปล่อยโอกาสนี้หลุดลอยไป เขาคว้ากระบี่บินออกมาอีกครั้งหนึ่งและแทงเข้าไปตรงผิวหนังที่ไหม้ของจระเข้
ครั้งนี้ การจ้วงแทงอย่างรุนแรงสามารถเจาะเข้าไปยังชั้นผิวหนังด้านนอกของจระเข้เขี้ยวเหล็กได้สำเร็จและเสียบลึกเข้าไปถึงเนื้อของมัน
ด้วยความเจ็บปวด จระเข้เขี้ยวเหล็กตวัดหาง ทำต้นไม้ใหญ่ที่โตอยู่ด้านข้างน้ำพุหักโค่น จนถึงตอนนี้ มันยังไม่สามารถมองเห็นได้เลยว่าพวกแมลงวันพวกนั้นอยู่ตรงไหน ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉากที่อยู่ตรงหน้าของมันเป็นภาพน้ำพุอาบพิษที่มันอาศัยอยู่มาหลายร้อยปีโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่ามันจะคลานไปมากแค่ไหน มันก็จะคลานกลับไปยังจุดเดิมตลอด
มันส่งเสียงครวญครางดังออกมาเพราะความเจ็บปวด เลือดไหลทะลักจากตา ทั้งร่างของมันเจ็บปวดจากการถูกโจมตีด้วยเวทมนตร์ และยังมีอะไรบางอย่างเสียบทะลุเข้าตัวของมัน แต่มันก็ยังมองไม่เห็นว่าแมลงวันตัวจิ๋วสองตัวนั้นอยู่ที่ไหน และยังโดนโจมตีด้วยพลังเวทไม่หยุด จนท้ายที่สุด มันไม่สามารถทนต่อไปได้อีก หลังจากการจู่โจมครั้งสุดท้ายปะทะเข้ากับตัวมัน ตาของมันจึงปิดลง
โม่เทียนเกอสูดหายใจเข้าลึก รู้สึกว่าเท้าของตัวเองแทบไม่เหลือเรี่ยวแรง ไม่สามารถยืนต่อไปได้อีก ในที่สุดนางก็ล้มลงที่พื้น ในร่างกายไม่เหลือพลังวิญญาณอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว
สัตว์ปีศาจระดับสอง… แน่นอนว่าทรงพลังมากกว่าสัตว์ปีศาจระดับหนึ่งมากนัก นางใช้ม่านพลังชีวิตและความตายห้าธาตุฆ่าพวกลิงปีศาจพวกนั้นได้โดยไม่ต้องเผชิญอันตรายใดๆ แต่สำหรับสัตว์ปีศาจระดับสองนั้น แม้ว่าหลังจากใช้พละกำลังไปมากมายและกินยาวิเศษเข้าไปจำนวนมาก แต่นางก็ทำได้แค่ดักจับมัน ถ้าไม่ใช่เพราะนางมีมู่หรงจื่อคอยช่วย วันนี้นางคงต้องจบชีวิตแน่ๆ
มู่หรงจื่อล้มลงและนอนแน่นิ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวนาง ตอนนั้นเขาขว้างเครื่องรางทั้งหมดของตัวเองไป และเมื่อจระเข้เขี้ยวเหล็กตาย เขาก็ล้มพับลงทันที
โม่เทียนเกอรู้สึกค่อนข้างเป็นกังวล นางกลืนยาครอบจักรวาลไปอีกครั้ง หลังจากนั้น เมื่อนางฟื้นฟูพลังวิญญาณมาได้เล็กน้อยแล้ว นางใช้แรงยืนขึ้นอย่างยากลำบากและลากเท้าหนักอึ้งของตัวเองไปหามู่หรงจื่อ
“ศิษย์พี่มู่หรง! ศิษย์พี่มู่หรง!”
มู่หรงจื่อนอนไม่ไหวติงอยู่ที่พื้น ปากของเขาเปรอะไปด้วยเลือด เห็นได้ชัดว่าเขาอาเจียนออกมาเป็นเลือดเพราะบาดแผลของเขาบาดเจ็บรุนแรงเกินไป
โม่เทียนเกอกัดฟัน นางหยิบเอายาอนุคืนสภาพออกมาและใส่เข้าปากเขา ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้บาดเจ็บ แต่พลังวิญญาณของนางก็สูญเสียไปมาก ถ้ามีสัตว์ร้ายที่อันตรายตัวอื่นเข้ามาอีก นางต้องไม่สามารถรับมือไหวแน่ เพราะฉะนั้น นางต้องช่วยชีวิตเขาก่อน ท้ายที่สุดแล้ว สองคนก็ย่อมแข็งแกร่งกว่าคนเดียว
หลังจากได้รับยาอนุคืนสภาพ มู่หรงจื่อก็ค่อยๆ ได้สติขึ้นมา เมื่อเขาเห็นโม่เทียนเกอ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความลังเลและสงสัยในขณะที่เขาพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ยาที่เจ้าเพิ่งให้ข้า…”
โม่เทียนเกอยิ้มอย่างขมขื่นและบอกว่า “ข้าเตรียมไว้เพื่อการเดินทางครั้งนี้โดยเฉพาะ แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของเรา ข้าทำได้เพียงช่วยศิษย์พี่” นางไม่กล้าบอกเขาว่านางยังมียาอยู่อีกขวด แม้ว่าศิษย์พี่มู่หรงไม่ได้ดูเป็นคนเช่นนั้น และยังเป็นพี่ชายของมู่หรงเยียน แต่ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้สนิทสนมกันขนาดนั้น
มู่หรงจื่อไม่สงสัยคำพูดนางและดูซาบซึ้งใจอย่างเห็นได้ชัด เขาพูดอย่างจริงใจ “ขอบคุณศิษย์น้องเยี่ย ถ้าไม่ใช่เพราะยาที่เจ้าให้มา ข้าคงอยู่ไม่ถึงพรุ่งนี้แน่เพราะบาดแผลของข้า”
โม่เทียนเกอเพียงแค่โบกมือ “หากศิษย์พี่มู่หรงไม่อยากจะเอาเปรียบข้า ท่านแค่ต้องคืนยาให้ข้าหลังจากที่เราออกไปได้ ตอนนี้ท่านต้องฟื้นตัวก่อน มิเช่นนั้นถ้าเราบังเอิญเจอเข้ากับ…” จังหวะที่นางพูดถึงตรงนี้ นางก็ขมวดคิ้วทันที มีคนกำลังมา!