ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 66
ฆ่า
โม่เทียนเกอสะบัดแขนเสื้อ วางสิ่งของต่างๆ ลงบนพื้น หลังจากนั้นนางหยิบยาครอบจักรวาลออกมากรอกเข้าไปในปากตัวเองหลายเม็ด
หลังจากที่นางทานเสร็จ เงาหลายเงาปรากฏขึ้นทางกลุ่มหมอกพิษ
ชุดคลุมสีม่วง
โม่เทียนเกอกำกระบี่ป่าขจีของนางในทันที ข้างๆ นาง มู่หรงจื่ออดทนกับความเจ็บปวดและพยายามที่จะยืนขึ้นอย่างยากลำบาก
พวกเขามีทั้งหมดสามคนและต่างเป็นผู้ฝึกตนระดับสิบของการหลอมรวมพลังวิญญาณ หัวหน้ากลุ่มเป็นผู้ฝึกตนวัยกลางคน ในขณะที่อีกสองคนเป็นชายวัยยี่สิบกว่ากับชายชราอีกคนอายุดูราวๆ ห้าสิบหรือหกสิบ ช่วงอายุของพวกเขาเป็นรูปแบบของคนสามรุ่น วัยชรา วัยกลางคน และวัยหนุ่ม
ทั้งสามคนดูยากที่จะต่อกรด้วย ในเมื่อชายวัยกลางคนเป็นหัวหน้ากลุ่ม มีความเป็นไปได้ที่เขาน่าจะเป็นคนที่มีสถานะสูงสุด หรือมีความสามารถสูงที่สุดในกลุ่มนั้น สำหรับชายหนุ่ม จากที่พิจารณาดูว่าเขาสามารถเข้าถึงระดับสิบได้แม้อายุยังน้อย เขาน่าจะเป็นคนที่มีความสามารถและทักษะพอตัวทีเดียว สำหรับชายชรา ไม่จำเป็นต้องคิดวิเคราะห์ให้มาก ในฐานะคนที่มีประสบการณ์มามาก เขาน่าจะเป็นคนที่เจ้าเล่ห์มากที่สุดในกลุ่ม
โม่เทียนเกอกับมู่หรงจื่อมองหน้ากัน ทั้งสองคนต่างมีรอยยิ้มที่บูดเบี้ยวบนใบหน้าทั้งคู่ พวกเขาเพิ่งผ่านการต่อสู้ที่ยากลำบากมา โดยไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มคนแบบนี้อีก
ทั้งสามคนหยุดอยู่ไม่ไกลนักและเริ่มพินิจพิเคราะห์พวกเขาอย่างระมัดระวัง
โม่เทียนเกอและมู่หรงจื่อแกล้งทำเป็นไม่สะทกสะท้านและต่างถือกระบี่บินของตัวเองไว้ในมือ
ผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง ชายหนุ่มจึงหมดความอดทนและถามออกมา “ศิษย์พี่ พวกเรากำลังรออะไรกัน”
ชายชราขมวดคิ้วพร้อมพูดด้วยกิริยานิ่งเฉย “ระมัดระวังตัวไว้”
พวกเขาเห็นซากจระเข้เขี้ยวเหล็กบนพื้น ถึงแม้ว่ามันจะตายแล้ว แต่จากพลังวิญญาณที่ยังคงหลงเหลือบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่ามันไม่ใช่สัตว์ปีศาจระดับที่หนึ่งแน่นอน สิ่งนี้ทำให้พวกเขาลังเลใจ ความจริงที่บอกว่าสองคนนี้สามารถฆ่าสัตว์ปีศาจระดับสองได้ แสดงว่าทั้งสองคนนี้จะต้องมีทักษะที่พิเศษมาก
อย่างไรก็ตาม คนในกลุ่มนั้นก็ไม่ใช่คนที่จะล้อเล่นด้วยได้ พวกเขาไม่ยอมที่จะปล่อยให้โอกาสแบบนี้หลุดลอยไปง่ายๆ สุดท้ายแล้ว ซากของสัตว์ปีศาจระดับสองสามารถทำให้พวกเขาได้รับยาสร้างฐานแห่งพลังแน่นอน!
รอบคอบ คิดคำนวณ และบ้าคลั่ง ปฏิกิริยาเหล่านี้แสดงออกมาทางสีหน้าของทั้งสามคน พวกเขาเกรงกลัวว่าคู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งเกินไปและสามารถเอาชนะพวกเขาได้ แต่พวกเขาก็ไม่ต้องการที่จะปล่อยรางวัลชิ้นใหญ่นี้ไป ซากของสัตว์ปีศาจระดับสองสามารถนำมาใช้ในการล้างเครื่องมือวิญญาณและเครื่องมือเวทที่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังใช้ นี่มันเป็นโชคที่ยิ่งใหญ่มาก
เมื่อทนไม่ไหว ชายหนุ่มตะโกน “ศิษย์พี่ พวกเราจะมามัวลังเลอะไรกัน จะปล่อยให้พวกมันหลุดมือไปแล้วเราไม่ได้อะไรกันเลยอย่างนั้นหรือ!”
ชายชรากล่าว “ทั้งสองคนนี้ยากที่จะต่อกรด้วย พวกเราจะทำอะไรวู่วามไม่ได้”
สุดท้าย ทั้งสองคนหันไปมองที่ชายผู้ฝึกตนวัยกลางคนที่ยืนอยู่ระหว่างพวกเขาพร้อมกัน
ชั่วขณะหนึ่ง ผู้ฝึกตนวัยกลางคนยังลังเล ฆ่าดีหรือไม่ เขาไม่มั่นใจว่าผลจะออกมาอย่างไร ปล่อยไป? เขาก็ไม่ได้ต้องการ อีกอย่างทั้งสองคนที่อยู่ด้านหน้าของเขาต่างจ้องมาที่เขาด้วยความสงบเยือกเย็นและไม่สะทกสะท้าน มันเหมือนกับว่าพวกเขาไม่ได้สนใจว่ากลุ่มของเขาจะตัดสินใจทำอะไร
ความจริงแล้ว โม่เทียนเกอและมู่หรงจื่อไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเลย ถึงแม้ว่ามู่หรงจื่อจะทานยาอนุคืนสภาพแต่บาดแผลของเขาก็ไม่ได้หายในทันที การต่อสู้ซ้ำๆ ในขณะที่เขากำลังบาดเจ็บยังทำลายเส้นลมปราณของเขาอีกด้วย เขาทำได้แค่เพียงคงสีหน้าสงบนิ่งไว้เพราะเขามีนิสัยแน่วแน่และมุ่งมั่น
พฤติกรรมของพวกเขาหลอกคู่ต่อสู้ได้อย่างดี หลังจากที่พิจารณาอยู่นาน ผู้ฝึกตนวัยกลางคนพูดออกมาอย่างไม่เต็มใจ “ไปดูที่อื่นกันเถอะ”
ภายหลังจากที่ทั้งสามคนหันกลับออกไป โม่เทียนเกอและมู่หรงงจือถอนใจด้วยความโล่งอก พวกเขาไม่มีกำลังเหลือที่จะต่อสู้กับคนพวกนั้นอีกแล้ว
อย่างไรก็ตาม ทั้งสามคนนั้นหยุดเดินอย่างไม่คาดคิด ผู้ฝึกตนวัยกลางคนพูดอย่างเยาะเย้ย “พวกเราเกือบถูกพวกนั้นหลอกแล้ว ฆ่าสัตว์ปีศาจระดับสองไปได้… ถึงพวกเขาจะไม่บาดเจ็บ แต่จะเหลือพลังวิญญาณแค่ไหนกัน!”
ทันทีหลังจากที่พูดจบ ทั้งสามคนหันกลับและแยกกันไปสามทางเพื่อล้อมโม่เทียนเกอและมู่หรงจื่อ
โม่เทียนเกอติดเครื่องรางป้องกันที่ตัวนางพร้อมปล่อยกระบี่ป่าขจีทันที มู่หรงจื่อตอบสนองด้วยความเร็วพอกัน เขาไม่ได้มีเครื่องรางอะไรเหลือแต่เขายังมีเครื่องมือวิญญาณของเขาอยู่ กระบี่เหล็กหลอมบินได้ของเขาเคลื่อนที่ไวมาก เพียงแค่กะพริบตา มันก็พุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้ทันที
ทั้งสองคนพยายามที่จะเป็นต่อทางการต่อสู้ด้วยการชิงลงมือก่อน คู่ต่อสู้ของพวกเขาไม่ทันได้ระวังตัว เมื่อเห็นว่ากระบี่ทั้งสองเล่มกำลังพุ่งตรงเขาหา ชายหนุ่มกระวนกระวายใจเล็กน้อย จากความเร็วของกระบี่ทั้งสองเล่มนั้น มันไม่ใช่อาวุธธรรมดาทั่วไปแน่ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกมากนักนอกจากหลบหลีกให้พ้นทาง
โม่เทียนเกอรีบเปลี่ยนทิศทาง เมล็ดหนามเพลิงเต็มกำมือถูกโยนออกไป ขังชายหนุ่มเอาไว้ชั่วคราว
นางอยากจะบอกมู่หรงจื่อให้ร่วมมือกับนางในการจัดการชายชราก่อน เมื่อจู่ๆ นางได้ยินเสียงร้องครวญครางเสียงดัง เมื่อนางหันกลับไปมอง ก็พบว่ามู่หรงจื่อกำลังกำที่หน้าอกของตัวเองและอาเจียนออกมาเต็มไปด้วยเลือด ในขณะที่กระบี่ของเขาเริ่มบินอย่างไม่มั่นคงอยู่กลางอากาศเหมือนกับมันกำลังจะตกลงมา นางตะโกนด้วยความหวาดกลัว “ศิษย์พี่มู่หรง!”
คู่ต่อสู้ทั้งสามรู้สึกเบิกบานใจขึ้นมาทันที ชายหนุ่มติดกับอยู่ชั่วคราวและไม่สามารถออกมาได้ แต่ชายชราและชายผู้ฝึกตนวัยกลางคนมองหน้ากัน หลังจากนั้นจึงเคลื่อนไหวพร้อมกันทันที
ผู้ฝึกตนชายกลางคนหยิบเครื่องมือวิญญาณที่ธรรมดาทั่วไปในโลกของการฝึกตนออกมา นั่นคือกระบี่บิน อย่างไรก็ตาม ชายชราหยิบกระจกเงาออกมา
โม่เทียนเกอรีบเรียกกระบี่ป่าขจีของนางกลับมา แต่มันจัดการขัดขวางได้เพียงแค่กระจกเท่านั้น มู่หรงจื่อหลบหลีกกระบี่ที่พุ่งตรงเข้าหาเขาด้วยความเร็วที่น่าตกใจอย่างยากลำบาก อย่างไรก็ตาม กระบี่บินได้นั้นก็เฉียดโดนหัวไหล่ของเขาไป ทำให้เลือดค่อยๆ ไหลซึมเป็นวงออกมาจากเสื้อคลุมของเขา
ผู้ฝึกตนชายวัยกลางคนไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือ เขารีบเหาะเพื่อไปหยิบกระบี่บินของเขาพร้อมตรงเข้าแทงไปที่มู่หรงจื่อ
โม่เทียนเกอต้องการที่จะช่วยแต่กระจกของชายชรานั้นยากที่จะต่อกรด้วย หลังจากที่นางหยุดมันได้ มันก็บินกลับไปที่มือของชายชรา เขากลับด้านมันและส่องมาทางนาง ทันใดนั้นลำแสงสีทองก็สะท้อนออกมาที่นาง ถึงแม้ว่านางจะมีเครื่องรางป้องกันอยู่บนร่างของนาง แต่นางก็ไม่กล้าที่จะหวังพึ่งมันอย่างเดียว นางจึงเรียกกระบี่ป่าขจีมาเพื่อขจัดลำแสงสีทองออกไป
ในขณะเดียวกัน ผู้ฝึกตนชายกลางคนตรงเข้าไปที่ร่างของมู่หรงจื่อ เมื่อเห็นว่ามู่หรงจื่อไม่มีแม้แต่กำลังแรงที่จะตอบโต้กลับแม้แต่น้อย เขายิ้มอย่างชั่วร้ายและแทงกระบี่บินได้ไปด้านหน้า “ฉึก!” กระบี่บินได้แทงลึกเข้าไปที่ร่างกายของมู่หรงจื่อ เลือดไหลเคลือบไปทั่วใบมีด
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาเดียวกัน ผู้ฝึกตนชายกลางคนก็ร้องออกมาด้วยเสียงอันดัง “อ๊าก!” เขาปล่อยมือออกจากกระบี่บินและกุมไปที่ท้องของเขา
กระบี่บินได้อีกเล่มหนึ่งแทงไปที่หลังของเขาทะลุที่ช่องท้อง มันคือกระบี่บินเหล็กหลอมอันแสนแหลมคมของมู่หรงจื่อ!
ปฏิกิริยาของโม่เทียนเกอเปลี่ยนไปในทันที นางยังคงได้ยินคู่ต่อสู้ของนางตะโกน “ศิษย์พี่จาง!”
มู่หรงจื่อได้จัดการผู้ฝึกตนชายกลางคนไปพร้อมกับเขา แต่แทนที่จะโกรธ คู่ต่อสู้อีกสองคนที่เหลือกลับตื่นตระหนก เพียงเสี้ยวนาที หนึ่งคนถูกกักขัง อีกหนึ่งคนเกือบถูกฆ่าตาย
ชายชรารีบตัดสินใจ เขาเก็บกระจกของเขาและหนีไป บางทีความขี้ขลาดของเขานี่แหละที่ยังคงทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้จนถึงตอนนี้
แทนที่จะไล่ตามชายชราไป โม่เทียนเกอขว้างกระบี่บินได้ของนางไปด้านหน้าเพื่อจัดการกับชายผู้ฝึกตนวัยกลางคนแล้วจึงหันกลับไปที่ชายหนุ่ม ผู้ซึ่งแสดงสีหน้าได้อย่างน่าเกลียดเมื่อเห็นว่าชายชราหนีไป เขารีบใช้มีดด้ามใหญ่ในมือฟันหนามเพลิงพร้อมมุ่งตรงมาที่โม่เทียนเกอ
โม่เทียนเกอยังไม่เคยพบเจอกับคู่ต่อสู้ที่ใช้เครื่องมือวิญญาณในการตัดสิ่งของเหมือนกับที่พวกทหารทำในโลกของมนุษย์มาก่อน ดังนั้นปฏิกิริยาโต้ตอบของนางจึงค่อนข้างช้า โชคดีที่นางมีเครื่องรางป้องกันติดไว้บนร่างกาย นางถอยไปขณะที่เรียกกระบี่ป่าขจีกลับมาเพื่อสกัดกั้นการโจมตีของเขา ความจริงแล้ว นางต้องการที่จะโจมตีกลับ แต่เป็นเพราะว่านางไม่ได้มีพลังวิญญาณเหลือมากนัก นางไม่มีทางเลือกนอกจากล่าถอย
เมื่อเห็นว่านางไม่กล้าที่จะต่อสู้กลับ คู่ต่อสู้ของนางดูพึงพอใจและดำเนินการสู้ต่อ
อย่างไม่คาดคิด โม่เทียนเกอยิ้ม ธงม่านพลังปรากฏออกมาที่มือของนาง นางโบกธงเบาๆ เกิดเป็นเสียงปะทุดังไปรอบๆ ชายหนุ่ม แผ่นม่านพลังและธงม่านพลังที่นางซ่อนไว้เริ่มทำงาน
ชายหนุ่มหน้าซีดด้วยความหวาดกลัว ในทันที เขาถูกทำให้สับสนด้วยภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าเขา ลมพัดทรายสีเหลืองทองไปทุกที่ราวกับเป็นทะเลทรายสักแห่งหนึ่งไกลออกไปทางทิศตะวันตก
นี่เป็นม่านพลังที่โม่เทียนเกอรีบวางไว้ไม่นานมานี้ ความจริงแล้วนางไม่มั่นใจว่านางจะใช้มันได้ โชคดีที่ชายหนุ่มคนนี้ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้และถูกหลอกล่อให้เข้าไปในม่านพลัง ตอนนี้ที่เขาเข้าไปอยู่ในม่านพลังแล้ว เขาจึงตกอยู่ภายใต้การควบคุมของนาง
ด้วยการโบกธงอีกครั้ง สถานการณ์ภายในม่านพลังก็เปลี่ยนไป คาถาทั้งห้าธาตุโจมตีหาชายหนุ่มอย่างไม่หยุดยั้ง เขาใช้มีดของเขาเพื่อยับยั้ง แต่เขาก็พบว่าคาถาเหล่านั้นหายไปทันทีเมื่อสัมผัสเขา เมื่อพบว่านี่เป็นเพียงแค่ภาพลวงตา เขาจึงโกรธมากจนสบถคำสาปแช่งออกมา
โม่เทียนเกอกลืนยาครอบจักรวาลลงไปเพิ่ม ก่อนที่นางจะหยิบเครื่องรางออกมาอีกชุดหนึ่งพร้อมกับควบคุมกระบี่ป่าขจี นางใช้ทั้งหมดพร้อมกันในการโจมตีชายหนุ่มที่ติดอยู่ภายในม่านพลัง
ชายหนุ่มนึกว่าการโจมตีที่กำลังพุ่งเข้ามาเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ป้องกันตัวเอง การโจมตีพุ่งตรงไปหาเขาพร้อมกับปลิดชีวิตของเขาอย่างสมบูรณ์
โม่เทียนเกอถอนใจอย่างโล่งอก เรียกกระบี่ป่าขจีของนางกลับคืน เมื่อนึกถึงมู่หรงจื่อ นางจึงรีบวิ่งกลับไปหาเขา
“ศิษย์พี่มู่หรง!” เมื่อโม่เทียนเกอพยุงมู่หรงจื่อขึ้นมาจากพื้น นางพบว่าลมหายใจของเขาแผ่วเบาอย่างมาก
เขาได้รับความทรมานจากบาดแผลรุนแรงมาตั้งแต่แรก อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาทั้งสองคนเผชิญหน้ากับจระเข้เขี้ยวเหล็ก พวกเขาต้องใช้ความพยายามทุกอย่างในการที่จะฆ่ามัน หลังจากนั้น พวกเขาก็เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้สามคน และเขาถูกแทงเข้าที่ท้อง ชีวิตของเขาแขวนอยู่บนเส้นด้าย ดังนั้นเมื่อฆ่าผู้ฝึกตนวัยกลางคนเสร็จ เขาก็ไม่สามารถทนต่อไปไหว
ในตอนนี้ นอกจากพลังวิญญาณของเขาจะอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัดและเส้นลมปราณของเขาถูกทำลายแล้ว ตานเถียนของเขายังถูกแทงอีก นางไม่สามารถช่วยเขาได้อีกแล้ว
มู่หรงจื่อค่อยๆ ลืมตาและพูดด้วยความยากลำบาก “ศิษย์…น้องเยี่ย…”
โม่เทียนเกอพยักหน้า “ข้าอยู่นี่”
ทันใดนั้นมู่หรงจื่อก็กระอักเลือดออกมา โม่เทียนเกอรีบพยุงเขาขึ้นพร้อมจับมือของเขาไว้เพื่อส่งผ่านพลังวิญญาณสู่ร่างกายเขา
สิ่งที่นางทำช่วยลดความเจ็บปวดของเขาได้เล็กน้อย เขายิ้มให้กับนางและพูดอย่างอ่อนแรง “ข้ารู้ ข้า… กำลังจะตาย ได้โปรดช่วย… ข้าเรื่องหนึ่งสิ”
โม่เทียนเกอพยักหน้าหนึ่งครั้ง “ศิษย์พี่มู่หรง บอกข้าได้เลย”
เขาพยายามอย่างยากลำบากในการที่จะดึงกระเป๋าเอกภพออกมาแล้วพูดว่า “คนที่มีอนาคตที่สุดในกลุ่มของเรา… คือเสี่ยวเยียน ได้โปรด… มอบสัตว์ปีศาจที่ข้าฆ่า… และกระบี่… บินได้ของข้า… ให้กับนางด้วย” เขาหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดต่อ “ที่เหลือ ขอให้เป็น… ของที่ระลึกสำหรับเจ้า” เขาพูดในขณะที่กำแขนเสื้อของโม่เทียนเกอแน่น และมีเลือดไหลออกมาจากปากของเขาเรื่อยๆ
โม่เทียนเกอถอนใจอย่างเงียบๆ เมื่อนางได้ฟังคำสั่งเสียสุดท้ายของเขา และพูดว่า “ศิษย์พี่วางใจได้ ข้าจะส่งมอบของของท่านให้กับนางแน่นอน”
มู่หรงจื่อยิ้ม แววตาของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวังและเสียใจ มือของเขาค่อยๆ คลายออก และหัวของเขาไหลไปด้านข้างขณะที่ลมหายใจค่อยๆ หยุดหายไป
โม่เทียนเกอตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่นางจะสงบจิตใจดึงสติกลับมา ถึงแม้ว่ามู่หรงจื่อจะไม่ใช่สหายของนาง นางก็ยังตกอยู่ในความเศร้า นี่คือความตาย สิ่งที่มีอยู่ทั่วในโลกแห่งการฝึกตน ในเวลาเพียงชั่วพริบตา ศิษย์พี่คนที่เมื่อสักครู่ยังพูดคุยด้วยความร่าเริงและยังคงมีความมั่นใจถึงแม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้ได้กลายเป็นศพแล้ว
นางลูบใบหน้าของตัวเองอย่างสิ้นหวังเพื่อที่จะลบความเศร้าออกไป นางยืนขึ้นและเริ่มต้นเก็บกวาดพื้นที่ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป นางจะต้องสร้างฐานแห่งพลัง สร้างขุมพลังของนาง สร้างจิตวิญญาณใหม่ และค่อยๆ ก้าวไปทีละขั้น ใช้ชีวิตของนางต่อไป
ภายหลังจากเก็บกระเป๋าเอกภพและอาวุธของศพทั้งสาม นางก็จัดการเผาร่างทั้งสาม อย่างไรก็ตาม นางรวบรวมเถ้ากระดูกของมู่หรงจื่อและเก็บไว้ในกล่องหยกเล็กๆ
หลังจากนั้นนางจึงทำความสะอาดรอยเลือดออกจากร่างกาย ก่อนที่จะสำรวจสิ่งของจากกระเป๋าเอกภพทั้งสามใบ
มันเป็นเรื่องที่โชคดีมากที่ศิษย์สำนักจื่อซย่าสองคนนั้นมียาวิเศษและเครื่องรางเพราะนางใช้ของตัวเองไปจนเกือบหมดแล้ว นอกเหนือไปจากนั้น ทั้งสามคนมีซากของสัตว์ปีศาจอยู่ในกระเป๋าเอกภพด้วย ถึงแม้ว่าศิษย์สำนักจื่อซย่าสองคนจะมีพวกมันอยู่บ้าง แต่มู่หรงจื่อมีมากกว่าสิบตัวทีเดียว
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง นางรวบรวมซากสัตว์ปีศาจของทั้งสามคนและใส่ไว้ในกระเป๋าเอกภพพร้อมกับเครื่องมือวิญญาณเล็กน้อยที่มู่หรงจื่อมีอยู่ เครื่องมือวิญญาณเหล่านี้ไม่ได้เป็นประโยชน์กับนาง อีกอย่างนางก็ได้ผ่านความทุกข์ยากร่วมกับมู่หรงจื่อมาและเป็นสหายกับมู่หรงเยียน ดังนั้นนางควรจะมอบทุกอย่างไว้ให้กับมู่หรงเยียน… หากว่านางยังมีชีวิตอยู่
หลังจากนั้นไม่นาน นางจึงไปจัดการกับซากของจระเข้เขี้ยวเหล็ก ซึ่งซากของมันดีต่อการชำระล้างเครื่องมือ ดังนั้นมันจึงเป็นของที่มีคุณค่า ในขณะที่เก็บซากของจระเข้เขี้ยวเหล็ก นางยังเจอกับเข็มบินได้ของมู่หรงจื่อที่เหลือด้วย
เข็มบินได้เหล่านี้ส่องแสงระยิบระยับและโปร่งแสงจนดูเหมือนกับจะไม่ได้มีรูปทรงอะไร มันเหมาะสำหรับการซุ่มโจมตี ดังนั้นนางจึงเก็บมาและโยนไว้ในกระเป๋าเอกภพของนาง
เมื่อนางจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว และได้ทำการฟื้นคืนพลังวิญญาณของตัวเองภายในม่านพลัง โม่เทียนเกอตัดสินใจที่จะออกไปจากบ่อน้ำพุอาบพิษนี้ ในเมื่อชายชราจากสำนักจื่อซย่าหนีไป อาจจะมีคนอื่นมาที่นี่อีก มันคงจะดีกว่าสำหรับนางที่จะหาที่หลบภัยที่อื่น
เมื่อนางหันหลังกลับไปมองที่บ่อน้ำพุอาบพิษ นางก็ต้องถอนใจอย่างช่วยไม่ได้ คนที่เมื่อครู่ยังพูดคุยและยิ้มให้กันก่อนหน้านี้ได้กลายเป็นแค่เถ้าธุลีไปเสียแล้ว