ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 67
ตะลุมบอน
นางเข้ามาในหุบเขาเมื่อเวลายามจอเมื่อวานนี้ และบัดนี้เป็นเวลาสิบห้านาทีสุดท้ายของยามชวด แล้ว จากการคำนวณ นางจำต้องรออีกหกชั่วโมงก่อนที่จะออกจากหุบเขานี้ได้ หลายสิ่งหลายอย่างอาจจะเกิดขึ้นได้ในหกชั่วโมงนี้ และในขณะเดียวกัน จำนวนคนตายอาจมีมาก นางต้องระวังตัวให้มากขึ้น
ม่านพลังทางออกจะเปิดขึ้นในบริเวณที่อยู่ตรงใจกลางที่สุด แต่ยิ่งนางเข้าใกล้บริเวณนั้นก็ยิ่งอันตรายมากขึ้น เพราะฉะนั้น โม่เทียนเกอไตร่ตรองถึงสถานการณ์ของตัวเองอยู่นาน และตัดสินใจว่าจะใช้เวลาในการผ่านหกชั่วโมงนี้ไปกับการเดินทางไปรอบๆ บริเวณข้างเคียง และจะเข้าไปที่บริเวณจุดศูนย์กลางหลังจากม่านพลังเปิดออกแล้วเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น นางยังตัดสินใจว่าจิตสัมผัสของนางต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาเพื่อหลีกเลี่ยงทั้งคนและสัตว์ปีศาจต่างๆ
มันอาจจะค่อนข้างยากแต่ก็ปลอดภัยมากกว่าเมื่อเทียบกับการอยู่ที่น้ำพุอาบพิษ อย่างไรเสีย ซากศพของสัตว์ปีศาจระดับสองก็ช่างน่าดึงดูดนักสำหรับศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณอย่างพวกเขา เพราะอย่างนั้น ใครจะรู้ว่าชายชราคนนั้นจะเรียกพรรคพวกสำนักจื่อซย่ามาที่น้ำพุอีกหรือไม่?
ป่าในเขานี้มีน้ำตกสูงราวหนึ่งพันฟุตอยู่ทางตะวันออก แนวกั้นภูเขาเขาสูงอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ หน้าผาที่พวกเขาลงมาอยู่ทางทิศเหนือ และใกล้ๆ หน้าผาในเขตตะวันตกเฉียงเหนือคือน้ำพุอาบพิษ เขตเดียวที่นางสามารถออกจากป่านี้ได้คือในฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือที่มีน้ำพุอาบพิษ กระนั้นก็ตาม น้ำพุอาบพิษนั้นอันตรายมาก ไม่เพียงแต่จะมีฝูงสัตว์ปีศาจและหมอกพิษอยู่ทั่วทุกแห่ง แต่ภัยอันตรายที่ไม่รู้ยังซุ่มอยู่ในน้ำอีกด้วย โดยปกติแล้ว ไม่มีใครคิดว่าจะออกจากป่านี้จากบริเวณนั้นแน่
เพราะอย่างนี้ ศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณเกือบพันคนจึงยังต้องอยู่ภายในป่าเขานี้ แม้ว่าป่านี้จะกว้างขวางมาก และคงไม่ง่ายนักที่จะบังเอิญเจอเข้ากับสหาย แต่การเจอเข้ากับคนอื่นๆ นั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย
ภายในเวลาแค่ชั่วโมงเดียวหลังจากที่นางออกจากน้ำพุอาบพิษ นางก็เจอคนหลายกลุ่มเข้าแล้ว สิ่งที่มู่หรงจื่อบอกนางเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพื่อปกป้องความปลอดภัยของตัวเองและเพื่อกำจัดศัตรูของพวกเขา ศิษย์จากทั้งสามกลุ่มจึงเดินทางกันไปเป็นหมู่คณะ
การหลีกเลี่ยงคนพวกนี้ทำให้นางต้องเสียพละกำลังไปอย่างมาก วิชาซ่อนลมปราณของนางเป็นสิ่งที่เรียนรู้มาจากบันทึกของกลุ่มเยี่ย ดังนั้นมันจึงไม่ถือว่ายอดเยี่ยมนัก อย่างไรก็ตาม เพราะจี้หยกซ่อนวิญญาณของนางสามารถรวบรวมและชำระล้างพลังวิญญาณได้ เพื่อช่วยปกปิดร่างกายของนาง ผลของเวทมนตร์และวิชาที่นางใช้จึงค่อนข้างมีพลังมากขึ้น
เพราะนางรู้ดีถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง นางจึงยิ่งรอบคอบมากขึ้น เมื่อไหร่ก็ตามที่นางสัมผัสได้ถึงตัวตนของคนอื่นจากระยะไกล นางจะพาตัวเองออกห่างจากพวกเขาทันที
ระหว่างทาง โม่เทียนเกอเห็นสถานการณ์การต่อสู้ที่น่าสยดสยองได้อย่างชัดเจน มากกว่าครั้งหนึ่งที่นางเห็นร่องรอยจากการต่อสู้ด้วยพลังเวท ทั้งต้นไม้ที่ไหม้เกรียม หินแตกระแหง หรือแม้แต่รอยคราบเลือด จุดสีแดงเข้มแต่ละจุดบนพื้นบางทีอาจจะหมายถึงจุดจบของชีวิต
บางครั้งนางยังบังเอิญเจอเข้ากับศพที่ถูกทิ้งไว้ บ้างอยู่ในชุดคลุมสีม่วง บ้างก็อยู่ในชุดคลุมสีเหลือง และบางคนก็อยู่ในชุดคลุมสีดำด้วยซ้ำ สีหน้าแข็งทื่อบนใบหน้าของพวกเขาล้วนเหมือนกันหมด ทั้งคับแค้นใจและหวาดกลัว นานๆ ครั้งนางก็เห็นใบหน้าที่คุ้นหน้าคุ้นตา พวกเขาเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก โชคดีที่ในหลายคนนั้นไม่มีคนที่นางถือว่าเป็นสหายของนางอยู่ในนั้น หลังจากนั้น นางก็ค่อยๆ รู้สึกชินชา ไม่ว่าจะเห็นเศษซากจากศึกการต่อสู้แบบไหนก็ตาม นางก็ทำเป็นมองไม่เห็นไปได้
ถึงอย่างนั้น แม้ว่าหลังจากระมัดระวังตัวขนาดนี้ นางก็ยังถูกศิษย์สำนักจื่อซย่าสองคนเจอตัวเข้า
โม่เทียนเกอดูสภาพรอบตัวอย่างรอบคอบ ถือกระบี่ป่าขจีไว้ในมือหนึ่งและถือเครื่องรางมากมายไว้ในมืออีกข้าง
คนสองคนที่รุมล้อมนางคือชายร่างกำยำที่ร่างกายไม่ได้ด้อยไปกว่าหลิ่วอีเตาเท่าไหร่และอีกคนคือหญิงงาม หญิงคนนั้นอยู่ในระดับสิบของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ส่วนชายร่างกำยำอยู่ในระดับเก้า ทั้งสองคนดูจะเชี่ยวชาญในการต่อสู้ด้วยพลังเวท คนหนึ่งยืนหลังนางในขณะที่อีกคนยืนข้างหน้านาง กันทางไว้จนหมด ต้นไม้รอบตัวนางหนาแน่นมาก และที่ที่ทั้งสองคนยืนอยู่บังเอิญเป็นจุดง่ายที่สุดที่นางจะสามารถหนีได้
โม่เทียนเกอขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ในเมื่อการวิ่งหนีคงเป็นไปไม่ได้แน่ นางก็ต้องฆ่าพวกเขาก่อน อย่างไรก็ตาม จากความจริงที่ว่าสองคนนี้สามารถที่จะล้อมรอบตัวนางได้อย่างเงียบเชียบ พวกเขาต้องรับมือได้ยากแน่ นางต้องคิดหาวิธีเพื่อจัดการกับพวกเขา
หลังจากพินิจดูนางอยู่ครู่หนึ่ง ชายร่างกำยำก็ส่งเสียง “โอ้” ขึ้นมาอย่างประหลาดใจและพูดว่า “เหนียงจื่อ เด็กคนนี้ดูเหมือนจะเป็นคนที่ตาเฒ่าเฉินพูดถึง!”
ตาเฒ่าเฉิน? โม่เทียนเกอครุ่นคิด เขาคือชายชราคนนั้นจากสำนักจื่อซย่าที่หนีจากน้ำพุอาบพิษไปได้หรือไม่นะ
ถึงอย่างนั้นก็ตาม นางไม่ได้คาดคิดว่าทั้งสองคนจะเป็นสามีภรรยากันจริงๆ โม่เทียนเกออดไม่ได้ที่จะต้องเหลือบมองที่ภรรยาอีกสักครั้ง ตัวภรรยามีระดับการฝึกตนสูงและหน้าตาสะสวย แต่กระนั้น นางกลับเลือกชายเถื่อนที่มีระดับการฝึกตนธรรมดาเช่นนี้เป็นสามีน่ะหรือ?
พอเห็นหน้าของโม่เทียนเกอ ภรรยาก็หัวเราะหึและพูดว่า “ท่านพี่ อย่างกับเจ้าไม่รู้ว่าตาเฒ่าเฉินน่ะเป็นคนขี้ขลาดมาโดยตลอด แต่น้องชายคนนี้ก็ดูมีเสน่ห์จริงๆ ช่างน่าเสียดาย…”
เมื่อได้ยินภรรยาของเขาเรียกชายอื่นว่ามีเสน่ห์ ชายร่างกำยำร้องออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “เหนียงจื่อ!”
ตัวภรรยาดูจะพออกพอใจมากที่สามีของนางหึง นางปิดปากและระเบิดหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นนางพูดว่า “ท่านพี่จะกังวลอะไรเล่า ไม่ว่าเขาจะมีเสน่ห์แค่ไหน แต่เขาก็กำลังจะตายด้วยน้ำมือพวกเราไม่ใช่หรือ”
ชายร่างกำยำรู้สึกว่านางมีเหตุผลจึงหัวเราะ “สิ่งที่เหนียงจื่อข้าพูดก็ถูก” จากนั้นเขาหันไปหาโม่เทียนเกอและพูดพร้อมกับจ้องถมึงทึง “ไอ้หนุ่ม! เข้ามาและมอบชีวิตของเจ้าซะ!”
หลังจากสิ้นคำพูดของเขา โม่เทียนเกอเคลื่อนไหวทันที กระบี่ป่าขจีถูกส่งออกไปฉับพลัน แต่มันเป็นเพียงการหลอกล่อเท่านั้น ภายใต้แสงสว่างที่แผ่ออกมาจากกระบี่ป่าขจีของนาง เครื่องรางเปลวเพลิงที่นางถืออยู่ในมือมาตลอดถูกโยนไปข้างหน้า
เมื่อความสามารถในการเป็นฝ่ายโจมตีก่อนถูกแย่งไป ทำให้ชายร่างกำยำโกรธจัด เขาเหวี่ยงเครื่องมือวิญญาณในมือไปทางกระบี่ป่าขจี เครื่องมือวิญญาณของเขาเป็นแผ่นเหล็กกลมขนาดใหญ่ ซึ่งดูเหมาะมากเมื่อพิจารณาถึงรูปร่างของเขาในการใช้กำลังเพื่อเอาชนะและใช้เครื่องมือวิญญาณต่อสู้กับคนอื่นอย่างมั่นใจ
โชคร้ายที่วิธีการฆ่าที่แท้จริงของโม่เทียนเกอไม่ได้มาจากเครื่องมือวิญญาณของนาง กระบี่ป่าขจีถูกเรียกกลับมาทันทีหลังจากมันพุ่งไปข้างหน้า ในทางกลับกัน หลังจากกระแทกกระบี่ป่าขจีกลับไป แผ่นเหล็กยังคงมุ่งหน้ามาทางโม่เทียนเกออย่างรุนแรง ขณะเดียวกัน ภรรยาที่อยู่ด้านหลังโม่เทียนเกอก็กางร่มออกและโยนร่มใส่นาง
โม่เทียนเกอไม่ได้ตื่นตระหนก เครื่องรางเปลวเพลิงตรงเข้าเป้า เกิดเสียงระเบิดดัง ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องอย่างน่าสมเพชของชายร่างกำยำ ณ ขณะนั้น แผ่นเหล็กและร่มกำลังจะถึงตัวโม่เทียนเกออยู่แล้ว แต่ตัวนางกลับหายวับไปทันที
ในชั่ววินาทีต่อมา นางกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งเบื้องหน้าชายร่างกำยำ แทงเขาเข้าที่ท้องอย่างโหดเ**้ยมด้วยกระบี่ไม้ในมือนาง ชายร่างกำยำส่งเสียงคำรามโหยหวนก่อนที่เขาจะล้มลงที่พื้นในที่สุด เงียบเชียบและไม่ไหวติง
“ท่านพี่!!!” ภรรยาร้องออกมาและพุ่งไปข้างหน้า โม่เทียนเกอกระโดดหนีโดยใช้วิชาตัวเบาเพื่อเลี่ยงร่มของนาง
ครั้งนี้ การลอบโจมตีของโม่เทียนเกอประสบความสำเร็จก็เพราะระดับการฝึกตนของนางสูงกว่าชายร่างกำยำหนึ่งระดับ และยังเป็นเพราะชายคนนั้นประเมินนางต่ำไปด้วย การแสร้งว่าเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสือเป็นอุบายที่มีประโยชน์ที่สุดในโลกแห่งการฝึกตน
เห็นได้ชัดว่าความรู้สึกของภรรยาที่มีต่อสามีนางค่อนข้างลึกซึ้ง เมื่อนางตระหนักว่าสามีนางตายแล้ว นางพุ่งเข้าใส่โม่เทียนเกอด้วยความโกรธแค้น คันไม้คันมืออยากจะหั่นนางออกเป็นเสี่ยงๆ
อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอไม่มีเจตนาที่จะเผชิญหน้ากับนางตรงๆ คู่ต่อสู้ของนางเสียสติไปแล้ว นางไม่อยากจะถูกลากลงต่ำไปด้วย ทั้งเครื่องรางและเครื่องมือวิญญาณถาโถมเข้าใส่โม่เทียนเกอ แต่ถึงอย่างนั้น นางก็ยังใช้แค่วิชาตัวเบาเพื่อหลบหลีก เมื่อคู่ต่อสู้ของนางดูเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้โดยสิ้นเชิงแล้ว ในที่สุดโม่เทียนเกอจึงเหวี่ยงอาวุธของนาง ทั้งกระบี่ป่าขจี เครื่องราง เมล็ดพันธุ์เพียงกำมือเดียวที่นางมีเหลืออยู่ และของอย่างอื่นถูกขว้างปาออกไป
ภรรยาโมโหที่เห็นโม่เทียนเกอใช้วิธีเดียวกับนางในการต่อสู้ นางแปะเครื่องรางป้องกันตัวไว้บนร่างกายและใช้ร่มของนางปัดป้องการโจมตี อีกมือของนางกำเครื่องรางทั้งกองไว้ ตั้งใจว่าจะโยนเข้าใส่โม่เทียนเกอ
อย่างไรก็ตาม นางไม่มีโอกาสทำเช่นนั้น ก่อนที่นางจะโยนเครื่องรางได้ทัน นางรู้สึกเจ็บปวดในร่างกาย มือที่ถือร่มอยู่ไร้เรี่ยวแรงและปล่อยอาวุธลง จากนั้นนางล้มลงหัวทิ่มพื้น
เมื่อยืนยันได้ว่าคู่ต่อสู้ของนางตายแล้ว โม่เทียนเกอเก็บข้าวของของพวกเขา จัดการกับศพ และหนีออกจากบริเวณนั้นทันที
แม้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะดูราบรื่นเพราะนางสามารถจัดการคนสองคนได้ในเวลาไม่นาน แต่ในความเป็นจริง ความสูญเสียที่นางต้องเจอก็มีไม่น้อย เพื่อทำร้ายให้ชายร่างกำยำบาดเจ็บอย่างเร็ว นางต้องใช้เครื่องรางเปลวเพลิงไปห้าถึงหกอัน ซึ่งมีค่าเท่ากับศิลาวิญญาณหลายสิบอัน ยิ่งไปกว่านั้น นางยังใช้เครื่องรางซ่อนกายอันประเมินค่าไม่ได้ที่ท่านอารองใช้ศิลาวิญญาณจำนวนมากซื้อมาอีกด้วย
การฆ่าภรรยาโดยอาศัยความได้เปรียบช่วงที่นางคลุ้มคลั่งดูเหมือนกับว่าโม่เทียนเกอใช้วิธีเดียวกันกับที่นางใช้โจมตีชายร่างกำยำ แต่อันที่จริง นางใส่เข็มบินได้ระยิบระยับที่มู่หรงจื่อทิ้งไว้ผสมเข้าไปในเครื่องรางของนางด้วย เป็นวิธีที่ทำให้นางทะลุผ่านร่มและแนวป้องกันของภรรยาได้อย่างลับๆ
แม้ว่าทุกวันนี้นางจะมีประสบการณ์ในการต่อสู้ด้วยพลังเวทหลายครั้ง แต่นี่เป็นการต่อสู้ครั้งที่ประสบความสำเร็จที่สุดของนาง นางสามารถตัดสินใจได้ในเวลาเสี้ยววินาที เดินเกมได้อย่างทันท่วงที ไม่ทำพลาดระหว่างต่อสู้ และเป็นฝ่ายได้เปรียบในชั่วพริบตา
โม่เทียนเกอนึกทบทวนการต่อสู้ในใจอย่างรอบคอบ มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องอยู่ในสภาวะจิตสงบนิ่งและมุ่งมั่น จับรายละเอียดของการต่อสู้ได้ ตัดสินใจถูกต้องได้ในเสี้ยววินาที และทำให้ทุกการโจมตีมีผล
นางต้องคงสภาพจิตใจเช่นนี้ไว้ ท้ายที่สุดแล้ว ในการต่อสู้ด้วยพลังเวท นี่คือสภาวะที่ดีเยี่ยมที่สุด
โม่เทียนเกอหันกลับเมื่อนางรับรู้ว่ามีคนอยู่ข้างหน้านาง แต่ถึงอย่างนั้น นางยังไม่ได้วิ่งไปไกลเลยเมื่อนางสัมผัสได้อีกครั้งถึงตัวตนของคนหลายคนอยู่ใกล้ๆ เมื่อไม่มีทางเลือก นางซ่อนลมปราณ ปีนขึ้นต้นไม้ และซ่อนตัว
พวกแรกที่ผ่านมาเป็นกลุ่มผสมกันระหว่างศิษย์โรงเรียนจินเตาและสำนักอวิ๋นอู้ โม่เทียนเกอไม่ต้องการที่จะเปิดเผยตัวและทักทายพวกเขา กลุ่มใหญ่เช่นนั้นเดินทางไปด้วยกันคงจะถูกพบเจอได้ง่ายมากและการต่อสู้มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นแน่นอน แม้ว่าการมีคนมากกว่าจะช่วยให้มีความปลอดภัยขึ้นมากหน่อย แต่ยิ่งพวกเขามีความขัดแย้งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มความเป็นไปได้ของการตายมากขึ้นเท่านั้น
ใช้เวลาไม่นานคนพวกนี้ก็จากไป แต่โม่เทียนเกอตัดสินใจว่าจะอยู่บนต้นไม้แทนที่จะลงไปข้างล่าง หลังจากนั่งลงและควบคุมลมปราณ นางจึงหยิบกระเป๋าเอกภพที่เพิ่งได้ออกมา
เมล็ดพันธุ์ที่นางมีหมดสิ้นไปเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม ในกระเป๋าเอกภพของศิษย์สำนักจื่อซย่ามีเครื่องรางและยาวิเศษค่อนข้างมาก นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือวิญญาณค่อนข้างดีอีกหลายชนิด แต่สำหรับศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณ เครื่องมือวิญญาณที่ยังไม่ได้ถูกขัดเกลาด้วยตัวเองจะยังไม่พร้อมใช้งานและจัดว่าเป็นแค่ของสำรองเท่านั้น
นอกเหนือจากของพวกนั้น เข็มบินได้ที่มู่หรงจื่อทิ้งไว้ก็ค่อนข้างมีประโยชน์ การควบคุมเข็มบินได้พวกนี้จำเป็นต้องใช้จิตสัมผัส ไม่ใช่พลังวิญญาณ ดังนั้น ข้อจำกัดที่ขัดขวางศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณจากการใช้เครื่องมือวิญญาณสองอย่างในเวลาเดียวกันจึงนำมาใช้กับเข็มพวกนี้ไม่ได้ ถ้าเข็มบินได้เหล่านี้ถูกใช้อย่างเหมาะสม ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณจะไม่สามารถปกป้องตัวเองจากมันได้แน่
หลังจากเก็บของทุกอย่างที่ดูน่าจะมีประโยชน์ต่อการต่อสู้ โม่เทียนเกอกระโดดลงจากต้นไม้และเดินทางต่อ หลังจากเดินมาเป็นระยะทางหนึ่ง อย่างไรก็ตาม นางถึงกับตกตะลึง
ศพจำนวนมากของศิษย์จากทั้งสามกลุ่มนอนแผ่อยู่บนพื้น เมื่อนางเห็นหน้าของศิษย์สำนักอวิ๋นอู้ที่ตาย นางก็จำได้ว่าพวกเขาคือคนในกลุ่มที่เพิ่งจะเดินผ่านต้นไม้ที่นางอยู่ไป ปรากฏว่าพวกเขาเจอเข้ากับกลุ่มของศิษย์สำนักจื่อซย่าและตายไปพร้อมกัน
โม่เทียนเกอส่ายหน้าและเริ่มเก็บกระเป๋าเอกภพของพวกเขา ก่อนจะจุดไฟเพื่อเผาศพทั้งหมดนั้น
ไม่ต้องพูดเลยว่ายังมีอีกหลายบริเวณที่นางไม่ได้ผ่านไป นางเห็นคนตายอย่างต่ำก็ห้าสิบถึงหกสิบคนแล้วแค่จากเส้นทางที่นางเดินผ่าน… จำนวนคนที่จะมีชีวิตออกจากที่นี่อาจจะน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนคนตอนแรกเสียอีก
เมื่อนางคิดถึงเรื่องนี้ นางอดยิ้มเยาะไม่ได้ สำนักจื่อซย่าคงไม่เคยคาดคิดไว้ละสิ พวกเขาผนวกสำนักอวิ๋นอู้และโรงเรียนจินเตา แต่ผลที่ตามมาคือการสูญเสียศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณระดับสูงนับไม่ถ้วนจากสำนักของพวกเขาเอง ยิ่งไปกว่านั้น ในหมู่คนพวกนี้คือศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณที่มีโอกาสสูงสุดในการสร้างฐานแห่งพลังของตัวเอง แบบนี้ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังของพวกเขาก็จะลดลงอย่างมากภายในอีกร้อยปีข้างหน้า แทนที่จะกลายเป็นหนึ่งในแปดกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พวกเขาจะต้องอ่อนแอลงมากอย่างแน่นอน
นางไม่กลัวการถูกลงโทษจากการฆ่าคนอื่นๆ ตอนออกไปจากที่นี่ เพราะเมื่อถึงตอนนั้น สำนักจื่อซย่าก็จะรู้ตัวว่าไม่สามารถสูญเสียศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว