ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 68
ช่วยชีวิตคน
ในป่าทึบสามารถมองเห็นเงาของผู้ฝึกตนเหาะอยู่ด้วยความเร็วสูง หลังจากที่ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงตัวตนของผู้ฝึกตนคนอื่นที่อยู่ข้างหลังแล้วเท่านั้นมันถึงหยุด
ช่างโชคร้ายอะไรเช่นนี้ โม่เทียนเกอแตะที่หน้าอก ขณะที่นางรู้สึกว่าลมปราณไม่มั่นคงอย่างรุนแรง ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจ เป็นความผิดของนางเองที่มั่นใจมากเกินไป แค่เพราะนางวางม่านพลังในที่ซ่อนของนาง นางจึงทึกทักเอาว่านางจะต้องปลอดภัย แต่ท้ายที่สุด แรงกระเพื่อมของพลังวิญญาณจากม่านพลังของนางก็ถูกพบเข้าโดยกลุ่มศิษย์สำนักจื่อซย่าที่วางแผนจะล้อมโจมตีนาง
ครั้งนี้นางสามารถหนีมาได้เพราะนางยังมีเครื่องรางหลบหนี และเพราะม่านพลังช่วยยื้อเวลาให้นางได้ ไม่เช่นนั้น หากนางต้องต่อสู้กับคนห้าหรือหกคนนั้นที่เข้าหานางอย่างมุ่งร้าย นางอาจจะตายไปแล้วโดยไม่เหลือแม้แต่เถ้ากระดูกทิ้งไว้
หลังจากถูกพวกเขาตีวงล้อมและจำเป็นต้องใช้เครื่องรางหลบหนี ลมปราณของนางก็เริ่มจะไม่เสถียร นางกลืนยาบำรุงพลังวิญญาณ ครั้นแล้วเงยหน้าขึ้นเพื่อมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว นางนับได้ว่าขณะนี้น่าจะเป็นเวลายามอิ๋น [1] แล้ว ยังเหลืออีกสองชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะเปิดใช้ม่านพลังทางออก
หลังจากการต่อสู้กันอย่างชุลมุนผ่านไป คนที่ยังมีชีวิตอยู่ค่อยๆ น้อยลงและน้อยลง ในขณะที่ภาพศึกการต่อสู้มีจำนวนมากขึ้นและมากขึ้น ขณะที่นางกำลังหนีอยู่นั้น แทนที่จะเจอเข้ากับผู้คน นางกลับเจอเพียงแต่ศพ
ขณะนี้นางรับรู้แล้วว่าพลังวิญญาณในตานเถียนของตัวเองนั้นไม่มั่นคง หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดนางก็ออกไปตามหาต้นไม้ที่ปกคลุมไปด้วยใบไม้ ปีนขึ้นไปด้านบนสุดและค่อยๆ ลบตัวตนของนาง นางไม่ได้วางม่านพลังอะไรไว้ ไม่ได้ใช้จิตสัมผัสเพื่อกวาดดูรอบบริเวณด้วยซ้ำ นางเพียงแต่นั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ และปรับลมปราณ
ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้บาดเจ็บสาหัส ทว่าหากนางไม่ได้ปรับลมปราณและเจอเข้ากับศัตรูรายใหม่ เรื่องต่างๆ คงจะเลวร้ายมาก อย่างไรเสีย ถ้านางเลือกได้ ก็อยากจะเลี่ยงการใช้เครื่องรางหลบหนีอีกอันเพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บเล็กน้อยไม่ให้กลายเป็นบาดเจ็บสาหัส
เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างช้าๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีใครปรากฏตัวขึ้น เห็นได้ชัดว่าที่จริงแล้วไม่ได้มีผู้ฝึกตนที่ยังมีชีวิตอยู่เหลืออยู่ในป่ามากนัก โม่เทียนเกอถอนใจอยู่ภายในใจ การต้องผ่านการต่อสู้อันตรายถึงชีวิตมาหลายต่อหลายครั้ง นางรู้สึกว่านางกลายเป็นคนเฉยชามากเสียจนแม้แต่ความตายก็ยังไม่สามารถกระตุ้นอารมณ์นางได้ง่ายๆ บางที… นางอาจเห็นอะไรมามากเกินไปจนกลายเป็นคนไร้ความรู้สึก นางจะต้องพบเจอความตายอีกมากบนเส้นทางสู่การฝึกตน และหากไม่สามารถทำตัวให้ชินได้โดยเร็ว นางจะเดินบนเส้นทางนี้ต่อไปได้อย่างไร เพราะฉะนั้น อันที่จริงนางก็ดีใจที่สามารถปรับตัวได้เร็ว
เมื่อลมปราณของนางเสถียรขึ้น โม่เทียนเกอจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมาในที่สุด ดูเหมือนว่าจะมีสัตว์ปีศาจอยู่ใกล้ๆ นางได้ยินเสียงคำรามของมันไม่ค่อยชัดนัก อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่มีใครคิดจะจับสัตว์ปีศาจ ท้ายที่สุดแล้ว ขณะที่จำนวนคนตายเพิ่มขึ้น ความเป็นไปได้ที่คนที่ยังมีชีวิตอยู่จะได้รับยาสร้างฐานแห่งพลังก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากฆ่าคนอื่น พวกเขาสามารถยึดข้าวของของคนพวกนั้นมาได้โดยตรง ซึ่งเร็วกว่าการไปฆ่าสัตว์ปีศาจทีละตัวมาก
ตัวนางเองก็ได้สัตว์ปีศาจที่ถูกคนอื่นฆ่ามาหลายตัว หากนางรวมซากสัตว์ปีศาจที่นางฉวยมาจากผู้ฝึกตนสองคนที่นางฆ่าในน้ำพุอาบพิษ ซากจากคู่สามีภรรยาที่ล้อมโจมตีนาง ซากจากกลุ่มคนที่ตายพร้อมกัน และซากลิงปีศาจประมาณสามสิบตัวที่นางมีอยู่เดิมเข้าด้วยกัน นางก็แทบจะได้รับยาสร้างฐานแห่งพลังมาโดยไม่ต้องเอาซากพวกนั้นไปแลกเลยก็ได้
ดังนั้น นางไม่อยากจะสร้างปัญหาให้ตัวเองอีก แค่เพราะนางคุ้นชินกับความตายแล้วไม่ได้หมายความว่านางอยากจะฆ่าคนอื่น ตราบใดที่คนอื่นๆ ไม่เริ่มก่อน นางก็จะไม่ทำอะไร
นางอดยิ้มเหน็บแนมไม่ได้ขณะที่คิดถึงเรื่องนี้ แน่นอนว่านางได้กลายเป็นคนเย็นชาไร้หัวจิตหัวใจไปแล้ว
ทันใดนั้น โม่เทียนเกอก็ลืมตาขึ้นเมื่อนางได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ นางไม่ได้ใช้จิตสัมผัสเพื่อสำรวจบริเวณรอบตัว นางจึงเพิ่งจะรับรู้ถึงตัวตนของพวกเขาเมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้เสียแล้ว
ระหว่างกิ่งไม้และใบไม้ นางมองคร่าวๆ เห็นเท้าหลายคู่ ดูเหมือน… มีสามคน ผู้ชายสองและผู้หญิงหนึ่ง ฝีเท้าของผู้หญิงโงนเงน
แปลก…
โม่เทียนเกอเอียงคอแต่ยังไม่ขยับเขยื้อนขณะที่นางซ่อนตัวอยู่ลับๆ ในเมื่อนางยังไม่สามารถจะปกป้องตัวเองได้อย่างดี นางก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่น
เสียงพวกเขาดังมาจากใต้ต้นไม้ “พี่ใหญ่ ทำไมถึงนานนักกว่าจะไปถึงที่นั่น” เสียงนี้ฟังดูเหมือนเสียงของคนหนุ่ม ยิ่งไปกว่านั้นยังฟังดูร้อนใจมากอีกด้วย
เสียงทุ้มกว่าอีกเสียงตอบว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร! นี่ ยายตัวเหม็น! เจ้าไม่ได้หลอกเราใช่ไหม!”
“แค่กๆ!” ผู้หญิงคนนั้นกระอักกระไอ โม่เทียนเกออดขมวดคิ้วไม่ได้ เสียงนี้…
“ศิษย์พี่ ท่านทั้งสองจะกังวลมากมายไปทำไม ท่านสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณของสัตว์ปีศาจแล้วไม่ใช่รึ สัตว์ปีศาจตัวนั้นก็คือตัวที่เฝ้าผลดวงใจสีแดง”
เสียงมู่หรงเยียน!
คำตอบของมู่หรงเยียนดูเหมือนจะพอรับได้ ชายหนุ่มจึงตอบว่า “สิ่งที่เจ้าพูดก็ดูมีเหตุผล…”
เสียงฝีเท้าของพวกเขาค่อยๆ แผ่วไป แม้ว่าชั่วครู่หนึ่งโม่เทียนเกอจะลังเล แต่ท้ายที่สุด นางก็ปีนลงมาจากต้นไม้อย่างเงียบๆ และตามคนพวกนั้นไปอย่างระมัดระวัง
ระดับการฝึกตนของผู้ฝึกตนชายสองคนนั้นไม่อาจถือได้ว่าสูง คนหนึ่งอยู่ในระดับแปดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ส่วนอีกคนอยู่ระดับเก้า เป็นที่น่าสงสัยจริงๆ ว่าพวกเขาสามารถอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร แถมยังอยู่กับมู่หรงเยียนอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น จากบทสนทนาของพวกเขา มู่หรงเยียนดูเหมือนกำลังจะพาพวกเขาไปตามหาอะไรสักอย่างที่เรียกว่าผลดวงใจสีแดง โม่เทียนเกอไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับผลไม้ชนิดนี้มาก่อน บางทีมันอาจจะเป็นผลไม้ประหลาดงั้นรึ
โม่เทียนเกอส่ายหน้า ล้มเลิกความคิด ถ้ามันเป็นผลไม้ประหลาดอะไรสักอย่างจริง มู่หรงเยียนก็คงจะเก็บมันมานานแล้ว ไม่มีทางที่นางจะรอจนถึงตอนนี้หรอก มู่หรงเยียนคงจะถูกชายสองคนนั้นจับมา นางถึงพูดอะไรเช่นนี้เพื่อหลอกพวกเขา
หลังจากแอบเข้าไปใกล้ โม่เทียนเกอสังเกตการณ์ด้วยความระมัดระวัง เป็นอย่างที่นางคิด มู่หรงเยียนบาดเจ็บและถูกมัดมือไว้ ผู้ฝึกตนชายสองคนนั้นมาจากสำนักจื่อซย่า คนหนึ่งอายุประมาณยี่สิบ ส่วนอีกคนอายุประมาณยี่สิบห้าถึงยี่สิบหกปี
พวกเขาใช้เวลาไม่นานก็เจอตำแหน่งของสัตว์ปีศาจ อย่างไรก็ตาม ไม่นานหลังจากนั้น โม่เทียนเกอเห็นชายทั้งสองคนระเบิดอารมณ์ด้วยความเดือดดาลและคว้าเครื่องมือวิญญาณออกมาในขณะที่พูดว่า “ยายตัวเหม็น! เจ้าบังอาจโกหกพวกเรา!”
มู่หรงเยียนฉลาดมาก นางพยายามเต็มที่ที่จะหลบไปด้านข้างพร้อมกับก่อกวนสัตว์ปีศาจไปด้วยอย่างชาญฉลาด จากนั้นนางก้มต่ำอยู่หลังชายทั้งสองคนเพื่อหลบ สัตว์ปีศาจกระโจนเข้าใส่ชายทั้งสองทันที
สัตว์ปีศาจตัวนี้เป็นเพียงลิงยักษ์ระดับแรก แม้ว่าระดับการฝึกตนของมันจะไม่มีอะไรพิเศษ แต่มันก็แข็งแรงมาก ทั้งมีขนหนาและเนื้อแน่น ชายทั้งสองต้องวุ่นอยู่กับการจัดการกับมันไปชั่วขณะหนึ่ง
มู่หรงเยียนค่อยๆ ล่าถอยมาอย่างเงียบๆ ขณะที่ดูฉากตรงหน้า ใช้โอกาสตอนที่ชายทั้งสองไม่ได้สนใจนาง นางรีบหันกลับและวิ่งหนีไม่คิดชีวิต
“พี่ใหญ่! นางนั่นมันกำลังหนี!” ชายหนุ่มจ้องหลังของมู่หรงเยียนอย่างโกรธเกรี้ยว
ชายคนที่โตกว่าใช้เครื่องมือวิญญาณเพื่อปัดป้องการโจมตีของลิงยักษ์และตะโกนว่า “ไล่ตามนางไป! ในเมื่อนางกล้าหลอกพวกเรา เราจะปล่อยนางหนีไปไม่ได้!”
“ตกลง!” ชายหนุ่มถอนเครื่องมือวิญญาณของเขาและตามมู่หรงเยียนไป
หลังจากสกัดกั้นการโจมตีของลิงยักษ์อย่างยากลำบากอีกครั้ง ชายหนุ่มก็บ่นพึมพำกับตัวเอง “ไม่ได้การแน่ มันแข็งแรงเกินไป! ดูเหมือนว่าข้าต้องใช้ของมีค่าเพื่อสู้กับมันซะแล้ว”
ชายคนนั้นเอาลูกกลมสีม่วงขนาดเท่าไข่นกพิราบออกมาจากชุดคลุมและโยนใส่ลิงยักษ์ ด้วยเสียงดัง “ตู้ม!” ตัวลิงยักษ์ระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ต้นไม้และหินที่อยู่รอบด้านเสียหายยับเยิน พูดง่ายๆ ก็คือ ทุกสิ่งที่อยู่ในรัศมีหนึ่งจั้งถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง
ชายหนุ่มจ้องมองฉากหน้าที่ถูกทำลายย่อยยับด้วยความเจ็บปวด ไม่แน่ชัดว่าอาการปวดใจของเขาเป็นเพราะการระเบิดลิงยักษ์ที่หมายความว่าเขาไม่สามารถเอาซากของสัตว์ปีศาจกลับไปได้ หรือเพราะเขาต้องเสียสมบัติล้ำค่าไปกับการต่อสู้นี้กันแน่ เขาใคร่ครวญถึงอาการปวดใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกัดฟันและหันกลับเพื่อไล่ตามน้องชายของเขาไป
แต่ทว่าหลังจากวิ่งไปได้แค่ไม่กี่ก้าว เขาได้ยินเสียงกรีดร้องของน้องชาย ชายหนุ่มตื่นกลัวและรีบวิ่งไปข้างหน้าด้วยความกังวล “น้องสาม! น้องสาม!”
ในไม่ช้า เขาก็พบน้องชายของเขานอนอยู่ที่พื้น ตรงนั้นไม่มีใครนอกเหนือจากพวกเขา
โม่เทียนเกอดึงตัวมู่หรงเยียนมาด้านข้างและรีบวิ่งสุดชีวิตเพื่อออกจากตรงนั้น จนเมื่อนางไม่สามารถสัมผัสได้ถึงลมปราณของใครตามหลังมานางถึงหยุดวิ่ง
มู่หรงเยียนจ้องมองนางอย่างซาบซึ้ง “ศิษย์น้องเยี่ย ขอบคุณนะ ข้าโชคดีเหลือเกินที่ได้เจอเจ้า มิเช่นนั้นข้าอาจจะ…”
โม่เทียนเกอส่ายหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก ศิษย์พี่มู่หรงไม่จำเป็นต้องเกรงใจ” นางหยุดนิดหนึ่งก่อนจะถามอย่างสงสัย “ศิษย์พี่ เกิดอะไรขึ้น”
พอได้ยินคำถามนี้มู่หรงเยียนหัวเราะด้วยความขมขื่น จากนั้นนางส่ายหน้าและพูดว่า “เพราะข้าไม่เคยชอบการฝึกตนมาก่อน ครั้งนี้ข้าจึงต้องทนกับความทุกข์ทรมาน ข้าเจอเข้ากับศิษย์สำนักจื่อซย่าหลายหน และทุกครั้งข้าก็ต้องเจอกับอันตรายมากมายกว่าจะหนีได้ ตอนหลังข้าบังเอิญเจอสองคนนั้น… ทีแรกพวกเขาอยากจะฆ่าข้า แต่ข้าโกหกพวกเขาบอกว่ามีพืชประหลาดอยู่ที่นี่…”
โม่เทียนเกอผงกหัว ทุกอย่างเป็นอย่างที่นางคาดเดาไว้ นางพูดว่า “สิ่งที่ชายคนนั้นใช้เมื่อครู่นี้คืออะไรหรือ มันทรงพลังขนาดนั้นได้อย่างไรกัน”
“นั่น… ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน มันไม่ใช่เครื่องมือวิญญาณหรืออาวุธวิเศษ มันดูเหมือนจะเป็นของพิเศษที่ถูกขัดเกลาแล้วโดยใช้จิตของสัตว์ปีศาจและเวทมนตร์ที่มีธาตุสายฟ้า มันจะระเบิดถ้าถูกโยนด้วยพลังวิญญาณ พลังของมันยิ่งใหญ่นัก จากการสังเกตของข้า ไม่มีใครสามารถยับยั้งมันได้”
เป็นครั้งแรกที่โม่เทียนเกอเห็นอะไรแบบนี้ พลังของมันช่างน่ากลัว บางทีอาจจะไม่มีศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณคนไหนที่จะสกัดกั้นมันได้ และเป็นเพราะเหตุนั้น โม่เทียนเกอจึงเลือกที่จะวิ่งหนี ท้ายที่สุดแล้วนางก็ไม่อยากจะเอาชีวิตไปเสี่ยง
พอเห็นมู่หรงเยียน โม่เทียนเกอก็อดคิดถึงมู่หรงจือไม่ได้ หลังจากขัดแย้งในตัวเองอยู่ชั่วขณะ นางตัดสินใจว่าจะบอกมู่หรงเยียนเกี่ยวกับเขาหลังจากพวกนางออกไปได้ ในตอนนี้อันตรายมีซุ่มซ่อนอยู่ทุกหนแห่ง ถ้าจู่ๆ มู่หรงเยียนได้ข่าวว่าพี่ชายของนางจากไปแล้ว สภาพจิตใจของนางต้องไม่มั่นคงแน่นอน ซึ่งก็จะส่งผลต่อความสามารถของนางในระหว่างการต่อสู้ จากนั้นโม่เทียนเกอจึงถามว่า “ศิษย์พี่มู่หรง ท่านตั้งใจจะทำอะไรต่อไป”
คำถามนี้ทำให้มู่หรงเยียนยิ้มเจื่อนๆ อีกครั้ง “ข้าจะไม่โกหกศิษย์น้องเยี่ย ก่อนที่เราจะเข้ามา ข้าทะเยอทะยานมาก ข้ามุ่งมั่นว่าจะพยายามเพื่อให้ได้รับยาสร้างฐานแห่งพลัง ข้าเพิ่งมารู้ตัวตอนนี้ว่าข้ามั่นใจมากเกินไป ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมารู้สึกเสียใจ ข้าแค่หวังว่าข้าจะสามารถออกจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย จากนั้นข้าจะขยันฝึกตนก่อนที่จะทำอย่างอื่นต่อไป”
โม่เทียนเกอแอบพยักหน้าเมื่อนางได้ยินคำพูดของมู่หรงเยียน ดีแล้วล่ะ เห็นได้ชัดว่ามู่หรงเยียนจะได้สติแล้ว ความพยายามของมู่หรงจือไม่สูญเปล่า
“ศิษย์น้องเยี่ย…” มู่หรงเยียนดูท่าทางลังเล แต่ที่สุดแล้วนางก็ส่ายหน้า “ช่างมันเถอะ ข้าจะบอกเจ้าถ้าข้ามีชีวิตออกไปได้ ข้าจะเจอเจ้าอีกถ้าข้ามีโอกาส”
โม่เทียนเกอตกใจ “ศิษย์พี่มู่หรง ท่านจะไม่เดินทางไปกับข้าหรือ”
จู่ๆ มู่หรงเยียนก็หันหน้า “ศิษย์น้องเยี่ยไม่ว่าอะไรหรือที่ต้องเดินทางไปกับข้า”
โม่เทียนเกองุนงง หรือว่านางอาจคิดว่าเราไม่อยากไปกับนาง? หลังจากครู่หนึ่ง โม่เทียนเกอยิ้มให้นางตรงๆ และพูดว่า “ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ”
หลังจากเห็นสีหน้าของโม่เทียนเกอ มู่หรงเยียนหัวเราะอายๆ “ข้าคิดมากไป…”
ทั้งสองคนยิ้มให้แก่กัน ความรู้สึกเหินห่างซึ่งเกิดขึ้นหลังจากหายนะบังเกิดต่อสำนัก จู่ๆ บัดนี้ได้หายไปแล้ว สีหน้าของมู่หรงเยียนไม่แข็งทื่ออีกต่อไปในขณะที่ตัวนางก็มีชีวิตชีวาขึ้นเล็กน้อย “ศิษย์น้องเยี่ย ข้าประเมินเจ้าต่ำไป ข้าไม่เคยคิดเลยว่าคาถาของเจ้าจะทรงพลังขนาดนี้… อนิจจา ข้าขี้เกียจเกินไปจริงๆ”
โม่เทียนเกอพูดติดตลก “ดีแล้วที่ท่านรู้ตัวว่าขี้เกียจ ข้ารู้ว่าความสามารถของข้านั้นแค่ปานกลาง เพราะฉะนั้นข้าจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องขยัน…” นางจ้องมองท้องฟ้าที่มีดวงดาวแพรวพราวอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าถึงเวลายามเหม่า [2] แล้ว นางจึงพูดว่า “ยังเหลือเวลาอีกสองชั่วโมง ศิษย์พี่ เราเริ่มมุ่งหน้าไปที่จุดศูนย์กลางกันได้แล้ว”
ความลังเลปรากฏขึ้นบนใบหน้ามู่หรงเยียน “เราจะไปแล้วรึ คงมีคนหลายคนเลยที่อยากจะไปที่จุดศูนย์กลางตอนนี้ เราไม่ควรจะเลี่ยงพวกเขาหรอกหรือ”
โม่เทียนเกอตอบว่า “วางใจได้ ม่านพลังทางออกกำลังจะเปิดแล้ว ในเมื่อทุกคนต่างอยากจะออกไป พวกเขาคงไม่ก่อปัญหาแน่ ที่จริงมันน่าจะปลอดภัยกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อยด้วย”
สิ่งที่โม่เทียนเกอพูดก็ค่อนข้างมีเหตุผล ดังนั้น ในที่สุดมู่หรงเยียนจึงตัดสินใจเชื่อนางและพูดตรงๆ ว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าจะทำตามการตัดสินใจของศิษย์น้องเยี่ย”
โม่เทียนเกอพยักหน้าก่อนจะถามว่า “ศิษย์พี่ อาการบาดเจ็บของท่านเป็นอย่างไรบ้าง จะมีปัญหาไหมถ้าเราจะไปต่อตามทางของเรา”
มู่หรงเยียนจึงบอกว่า “ไม่มีปัญหา ข้าแค่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น”
ในเมื่อมู่หรงเยียนมั่นใจ โม่เทียนเกอจึงไม่ลังเลอีกต่อไป “เอาละ ไปกันเถอะ”
ทั้งสองคนใช้วิชาตัวเบาและรีบมุ่งไปยังจุดศูนย์กลาง
ยิ่งพวกเขาเข้าใกล้ตรงใจกลางเท่าไหร่ ก็ยิ่งเห็นคนมากขึ้น มู่หรงเยียนเป็นกังวลมากในขณะที่นางถามด้วยเสียงต่ำๆ “ศิษย์น้องเยี่ย เราจะไม่เป็นอะไรแน่ๆ ใช่ไหม”
โม่เทียนเกอคว้ามือของมู่หรงเยียนมาและยิ้มให้นางมั่นใจ “ไม่ต้องกังวลหรอก เชื่อข้าเถอะ”
ใบหน้าของมู่หรงเยียนเปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีในขณะที่นางพยักหน้า “อื้อ”
อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอไม่ทันเห็นและยังคงจับมือของมู่หรงเยียนเอาไว้ขณะที่พวกเขารีบเร่งไปยังตำแหน่งทางออก
——
[1] ยามอิ๋น 03:00-05.00 น.
[2] ยามเหม่า 05:00-07:00น.