ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 72
อย่างที่เขาพูดไว้ก่อนหน้านี้ หลังจากได้รับยาสร้างฐานแห่งพลัง ฉินซีก็เริ่มปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเพื่อทำการบรรลุผ่านดินแดน
บนยอดเขาทิศเหนือของเขาอวิ๋นอู้ มีสถานที่บางแห่งซึ่งพลังวิญญาณอุดมสมบูรณ์เป็นพิเศษ สถานที่เหล่านี้ส่วนใหญ่คือถ้ำเซียนของผู้ฝึกตนระดับสูง แต่หลายที่เป็นถ้ำเซียนแบบเปิดและแบบสาธารณะ
ถ้ำเซียนสาธารณะที่ว่านี้เป็นถ้ำที่ทุกคนสามารถใช้ได้ แม้ว่าพวกเขาจะต้องจ่ายค่าเช่าจำนวนค่อนข้างมากให้สำนัก อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกตนที่อยากจะใช้ถ้ำนี้เพื่อสร้างฐานแห่งพลังจะได้รับอนุญาตให้ใช้ถ้ำได้ฟรีและจะได้รับการจัดลำดับความสำคัญก่อน
ม่านพลังถูกวางไว้ทั้งภายในและภายนอกของถ้ำเซียนสาธารณะเหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังผลัดกันเดินตรวจตราอีกด้วย ภายใต้สถานการณ์ปกติ นอกเสียจากว่าคนที่อยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิจะอยู่เกินกำหนดระยะเวลาหนึ่งปี พวกเขาก็ไม่เคยต้องเจอกับการรบกวนใดๆ ถ้ำเหล่านี้ที่จริงแล้วเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิและการบรรลุผ่านเข้าไปสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง
ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเพื่อสร้างฐานแห่งพลังของคนผู้หนึ่ง จะต้องใช้อย่างน้อยสามถึงห้าเดือนขึ้นไปถึงประมาณหนึ่งปี สองเดือนแรกจะใช้ในการบำรุงสุขภาพ ต่อมา หลังจากทานยาสร้างฐานแห่งพลังแล้ว พวกเขาจะต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนเพื่อให้ยาออกฤทธิ์และปรับร่างกายให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลง ถ้าพวกเขาประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลัง พวกเขายังต้องใช้เวลาเพิ่มอีกในการรักษาระดับดินแดนให้เสถียร
ครั้งนี้ ไม่ว่าเขาจะล้มเหลวหรือทำสำเร็จ ฉินซีจะต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งปีก่อนที่เขาจะสามารถออกจากการปิดประตูแห่งจิตได้
โม่เทียนเกอไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้นอกจากอิจฉาและเบื่อ นางอิจฉาเพราะก่อนที่ฉินซีจะเริ่มการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ เขาดูสงบนิ่งมากและไม่ได้ดูกังวลแต่อย่างใด ราวกับว่าเขามั่นใจมาก เนื่องจากเขาดูมั่นใจมาก เขาคงจะรู้วิธีลับอะไรบางอย่าง ในขณะเดียวกัน นางยังต้องใช้เวลาอีกประมาณหนึ่งหรือสองปีเพื่อให้เสร็จสิ้นจากดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณและเพิ่มความเข้าใจในการสร้างฐานแห่งพลังของนาง สำหรับความรู้สึกเบื่อนั้น ก็เพราะว่าถ้าไม่มีฉินซี นางก็ไม่มีใครให้คุยด้วยอีกแล้ว
อาการบาดเจ็บของหลิ่วอีเตาค่อนข้างหนักหน่วง อย่างน้อยที่สุด เขาจะต้องอยู่ในยอดเขาทิศเหนือสามถึงห้าเดือน มู่หรงเยียนได้รับการสนับสนุนทุนจากกลุ่มของนาง จึงได้ไปที่ถ้ำเซียนสาธารณะถ้ำหนึ่งและเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเพื่อให้เสร็จสิ้นจากดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ อีกคนหนึ่งที่นางค่อนข้างคุ้นเคยด้วยคือศิษย์พี่โจว แต่เขาก็เหมือนกันกับฉินซี พอได้รับยาสร้างฐานแห่งพลังแล้วนั้น เขาก็ตรงไปถ้ำเซียนสาธารณะทันทีและเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเพื่อสร้างฐานแห่งพลังของเขา นอกเสียจากว่าเขาจะโชคไม่ดีและเข้าสู่ระดับสิบสองของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ในอนาคต นางคงต้องเรียกเขาว่าอาจารย์ลุงโจวเสียแล้ว
นอกเหนือจากตัวนาง เจียงซั่งหังเป็นคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ในบ้าน แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่นางนับว่าเป็นสหาย ตั้งแต่การผนวกสำนัก ไม่เพียงแต่นายคนนี้จะไม่ยอมรับรู้ถึงคนอื่นๆ แต่เขายังกลายเป็นคนหดหู่ยิ่งขึ้น ที่จริงแล้วนางก็ค่อนข้างสับสน เมื่อเจียงซั่งหังเข้าสำนักมา เขาอยู่ในระดับสิบของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณเรียบร้อยแล้ว ณ ตอนนี้ที่ฉินซีได้เข้าสู่การทำสมาธิปิดประตูแห่งจิตเพื่อทำการบรรลุผ่านดินแดน ทั้งที่น่าจะเป็นไปได้ แต่ทำไมเจียงซั่งหังกลับไม่มีการพัฒนาอะไรเลย แน่นอนว่านางคงไม่ไปถามเขาแค่เพราะว่านางสงสัยหรอก อย่างไรเสีย ระหว่างพวกเขาก็ไม่มีมิตรภาพอะไรต่อกันอยู่แล้ว
ที่จริงแล้ว หลังจากนางกลับมาจากการทดสอบ ถ้านางต้องการจะเช่าถ้ำเซียนสาธารณะและเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ นางก็มีเงินมากพอที่จะจ่ายได้ จากกระเป๋าเอกภพเหล่านั้นที่นางได้มา นางมีศิลาวิญญาณมากกว่าหนึ่งพันอัน นางยังได้รับศิลาวิญญาณอีกหลายร้อยอันจากการขายของสำคัญและเครื่องมือวิญญาณบางอย่างด้วย เมื่อรวมศิลาเหล่านั้นทั้งหมด นางจึงมีมากกว่าสามพันอัน เมื่อเอายาวิเศษ เครื่องมือวิญญาณที่ขายออกยาก และของที่นางอาจจะใช้ในอนาคตมาพิจารณาด้วย นางร่ำรวยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนและสามารถเทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังทั่วไปได้เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม นางยังคิดว่าคงจะเป็นการดีกว่าที่จะไม่ทำตัวโดดเด่น เพราะเหตุนั้น นางไม่ได้เอาซากของจระเข้เขี้ยวเหล็กออกมาด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่ทำเรื่องอู้ฟู่อย่างการเช่าถ้ำเซียนเลย โดยทั่วไปแล้วนางไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน
เพราะอย่างนั้น แต่ละวันของนางจึงกลับไปสู่ความเงียบสงบ นอกเหนือจากการฟังเทศน์นานๆ ครั้ง นางก็ใช้เวลาไปกับการฝึกตน และนางก็ไม่ได้ไปรับงานอะไรในโถงคนงาน โชคดีที่หลังจากเหตุการณ์นี้ สำนักก็ละเว้นให้ศิษย์ในระดับเจ็ดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณและระดับสูงกว่าละจากการทำงานเล็กน้อยต่างๆ ดังนั้นมันจึงไม่สำคัญที่นางไม่ได้ไปรับงานอะไร
ตรงข้ามกับความคาดหมายของนาง หลังจากถูกสั่งสอนโดยท่านอารองและไม่มีคนให้คุยด้วย นางสามารถจดจ่อจิตใจอยู่กับการฝึกตนได้โดยแท้จริง เมื่อรวมกับการทานยาวิเศษจำนวนมาก ไม่น่าเชื่อว่านางเพียงแค่ต้องฝึกตนอีกสามเดือนเท่านั้นถึงจะเสร็จสิ้นกับดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ซึ่งนางก็ค่อนข้างประหลาดใจและไม่ได้คาดการณ์มาก่อนว่านางจะมีความเร็วขนาดนั้นในการฝึกตน
ในขณะเดียวกัน หลิ่วอีเตายังคงอยู่ในยอดเขาทิศเหนือ นางได้ยินว่ามีอาจารย์ลุงคนหนึ่งชื่นชมเขาและต้องการรับเขาเป็นลูกศิษย์ พอได้ยินข่าวนี้ โม่เทียนเกอก็รู้สึกตัวทันทีว่าเป็นเวลานานแล้วตั้งแต่นางเจอหลิ่วอีเตาครั้งสุดท้าย หลังจากคิดให้รอบคอบ นางจึงตระหนักว่าพวกเขากลายเป็นคนห่างเหินกันไป พอนางคิดถึงเรื่องนี้ นางก็ค่อนข้างรู้สึกผิดและตัดสินใจว่าจะแบ่งเวลาไปเยี่ยมเยียนเขาสักหน่อย
ถึงอย่างนั้นก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วแผนนี้ก็ไม่สำเร็จ เพราะเมื่อนางขึ้นไปถึงยอดเขาทิศเหนือ นางก็ถูกห้ามไม่ให้ไปต่อ เมื่อไม่มีทางเลือก นางจึงต้องให้ของไม่สำคัญบางอย่างกับศิษย์พี่และขอให้เขาส่งข้อความของนางฝากไปถึงหลิ่วอีเตา
ส่วนเหตุผลที่เจียงซั่งหังไม่พยายามสร้างฐานแห่งพลังของเขา โม่เทียนเกอก็ได้ยินมาเหมือนกันทีละเล็กทีละน้อย ปรากฏว่า กลุ่มเจียงมียาวิเศษประเภทหนึ่งที่ช่วยสมาชิกของพวกเขาในการสร้างฐานแห่งพลัง ยาวิเศษนั้นสามารถเพิ่มโอกาสในการสร้างฐานแห่งพลังสำเร็จ แต่ไม่ใช่ยาที่จะปรุงได้ง่ายๆ ทุกรอบของการปรุงยาจะได้ยาที่ปรุงสำเร็จแค่สองสามเม็ดเท่านั้น
เดิมที ด้วยความขยันและระดับการฝึกตนของเจียงซั่งหัง เขาควรที่จะได้รับยาหนึ่งเม็ด แต่โชคร้าย เขาตกเป็นเป้าของการถูกเหยียดหยามภายในกลุ่มเจียง ยิ่งไปกว่านั้น เจียงเฉิงเซียนซึ่งเป็นผู้สืบสกุลโดยตรงของหัวหน้ากลุ่มเจียงคนปัจจุบันก็ต้องการที่จะสร้างฐานแห่งพลังของเขาเช่นกัน ดังนั้น ส่วนแบ่งของเจียงซั่งหังจึงถูกโอนไปให้กับเจียงเฉิงเซียนโดยตรง ทำให้เจียงซั่งหังไม่เหลือทางเลือกใดๆ นอกจากกัดฟันและกล้ำกลืนกับผลลัพธ์เช่นนี้ เนื่องจากยาสร้างฐานแห่งพลังนั้นยากที่จะได้มา เขาจึงวางแผนว่าจะอดทนจนกว่าจะถึงครั้งหน้าที่มียาวิเศษพร้อมอีกครั้งเพื่อสร้างฐานแห่งพลังของเขา
ความคิดของเจียงซั่งหังเป็นเพียงการคาดเดาของโม่เทียนเกอ แต่ไม่ว่าจะดีหรือร้าย พวกเขาก็รู้จักกันมานานกว่าสามปีแล้ว สืบเนื่องจากพฤติกรรมของเจียงซั่งหังในวันธรรมดาทั่วๆ ไป มีแนวโน้มว่านั่นน่าจะเป็นวิธีคิดของเขา
ตอนที่ได้ยินข้อมูลนี้เป็นครั้งแรก โม่เทียนเกอรู้สึกค่อนข้างจะอิจฉาอยู่หน่อย ไม่น่าเชื่อว่ามียาวิเศษประเภทที่สามารถเพิ่มโอกาสของการสร้างฐานแห่งพลังได้สำเร็จ! อย่างไรก็ตาม ในเมื่อพวกเขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับยานี้จากสำนัก ก็คงจะเป็นเพราะยาวิเศษนี้ซับซ้อนเกินไปในการปรุงขึ้นมา หรือวัตถุดิบที่จำเป็นนั้นหายากเกินไป ดังนั้น สำนักจึงไม่สามารถหายานี้มาให้กับศิษย์ธรรมดาได้ ขนาดเจียงซั่งหังยังไม่ได้รับจากกลุ่มเจียง นับประสาอะไรกับโม่เทียนเกอ เพราะฉะนั้น แม้ว่านางจะอิจฉา แต่นางก็ไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้
เมื่อนางเข้าถึงขั้นสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณและไม่สามารถพัฒนาการฝึกตนต่อไปได้ โม่เทียนเกอจึงออกเดินทางลงจากเขา
ถึงแม้ว่าท่านอารองจะตำหนินางอย่างหนักและยังสั่งห้ามไม่ให้นางมาหาเขานอกเสียจากว่านางเข้าใจเรื่องต่างๆ ได้แล้วตั้งแต่ครั้งก่อน แต่นางก็ยังแวะมาหาเขาทุกครึ่งเดือน และท่านอารองก็จะไล่เมื่อนางไปถึงได้ไม่นานและบอกให้กลับขึ้นเขาไปเสียทุกครั้ง อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้แตกต่างไป นางมีเรื่องสำคัญมากต้องบอกเขา
“ท่านอารอง!”
เยี่ยเจียงผู้ซึ่งยังพักฟื้นอยู่ในสนามเล็กๆ นั้นยิ่งแก่ชรามากขึ้นไปอีก เขาไม่ลืมตาขึ้นมาเมื่อเขาได้ยินเสียงโม่เทียนเกอ เขาแค่พูดว่า “เจ้ามาที่นี่ทำไม กลับไปฝึกตน!”
โม่เทียนเกอไม่ยอมแพ้ นางพูดว่า “ท่านอารอง ข้าเข้าถึงขั้นสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้ว!”
เยี่ยเจียงลืมตาขึ้นในที่สุด เขาจ้องมองนางและยิ้มบางๆ ให้ “สามเดือน… ไม่เลวเลย”
พอเห็นว่าท่านอารองไม่ได้ทำหน้าบึ้งตึง โม่เทียนเกอถอนหายใจออกและนั่งลงข้างเตียงเหมือนอย่างที่นางมักจะทำบ่อยๆ นางถามว่า “ท่านอารอง ท่านสบายดีไหม”
“สำหรับตอนนี้น่ะ ข้ายังไม่ตายหรอก” พอเห็นนางเป็นกังวล เยี่ยเจียงจึงใจอ่อนลง เขาพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายมากขึ้น “ช่วงหลังนี้อาการบาดเจ็บของอาสองฟื้นตัวดี ข้าประเมินว่าข้าสามารถอยู่ได้จนถึงปีหน้า”
โม่เทียนเกอก้มหัวและนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น นี่ถือว่าเป็นข่าวดี เมื่อสองปีก่อน ท่านอารองบอกว่าอายุขัยของเขาเหลืออีกแค่ประมาณสองหรือสามปี แต่ ณ ตอนนี้ อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ยืนยันได้ว่าเขายังจะมีเวลาอีกปีหนึ่ง
“ในเมื่อเจ้าเสร็จสิ้นจากดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้ว เจ้าควรจะจัดการกับการสร้างฐานแห่งพลังของเจ้าซะ เจ้าได้เตรียมการสำหรับสร้างฐานแห่งพลังของเจ้าอย่างดีแล้วหรือยัง”
โม่เทียนเกอส่ายหน้าและดูงุนงงเป็นที่สุดขณะที่นางพูดว่า “ท่านอารอง ข้าสัมผัสได้ว่าระดับการฝึกตนของข้าไม่ใช่ปัญหา ณ ตอนนี้ เมื่อเป็นเรื่องเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิและสร้างฐานแห่งพลังของตัวเอง ข้ารู้สึกว่าข้ายังขาดอะไรบางอย่างไป”
“ขาดอะไรบางอย่าง…” เยี่ยเจียงพึมพำ “อาสองอธิบายให้เจ้าฟังมานานแล้วเรื่องความสำคัญของความรู้เชิงลึกในการสร้างฐานแห่งพลัง ข้ายังให้เจ้าทำตัวให้คุ้นเคยกับกระบวนการนั้น ตามหลักข้าว่าข้าเตรียมตัวเจ้ามากพอแล้ว หรือว่าบางทีเจ้าอาจจะมีความสงสัยอยู่ในใจ”
โม่เทียนเกอลังเลครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “อาจจะ… ข้ามักจะรู้สึกประหม่าเสมอเมื่อนึกถึงการสร้างฐานแห่งพลังของตัวเอง ข้าไม่มั่นใจถึงผลที่จะออกมาเลยแม้แต่น้อย”
เยี่ยเจียงพูดด้วยความเข้าใจ “ดูเหมือนว่าจิตใจของเจ้ายังไม่พร้อม ซึ่งคงค่อนข้างยากที่จะจัดการ ถ้าเจ้าฝืนตัวเองเพื่อเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิและสร้างฐานแห่งพลังของเจ้า สภาวะจิตใจที่ไม่มั่นคงจะมีผลให้เกิดเหตุการณ์ไม่แน่นอน ซึ่งจะกระทบโอกาสประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังของเจ้า”
“ใช่ ข้ายังตัดสินใจเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิโดยทันทีไม่ได้ ท่านอารอง ข้าควรทำอย่างไรดี”
เยี่ยเจียงบอกว่า “ไม่น่าแปลกใจที่เจ้ารู้สึกแบบนี้ คนทั่วไปต้องรอเป็นเวลานานหลังจากฝึกตนและเข้าสู่ขั้นสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณถึงจะได้รับยาสร้างฐานแห่งพลัง เพราะเหตุนั้น พวกเขาจึงมีเวลามากพอที่จะเตรียมตัว แต่เจ้า ในทางกลับกัน… เพราะว่าอาสอง เจ้าจึงถูกบีบบังคับให้ฝึกตนอย่างเร็วจนกระทั่งเจ้าเสร็จสิ้นจากดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ การพยายามสร้างฐานแห่งพลังของเจ้าตอนนี้จึงเป็นการเร่งรีบเกินไป”
“ถ้าอย่างนั้นข้าควรทำอย่างไร”
เยี่ยเจียงหลับตา ดูเหมือนกำลังใคร่ครวญถึงเรื่องนี้
โม่เทียนเกอมองเขาอย่างกระวนกระวายใจ นางรู้ว่าถึงแม้สถานการณ์ของท่านอารองจะดีกว่าที่พวกเขาคาดไว้ แต่เขาก็ยังมีอายุขัยเหลืออีกเพียงหนึ่งปีเท่านั้น นางอยากให้ท่านอารองได้ดูนางเข้าถึงดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังก่อนที่เขาจะตาย เขาจะได้จากไปอย่างสบายใจ เพราะเหตุนี้ นางจึงไม่สามารถจะเสียเวลาชักช้าในปีหน้านี้ได้
ในที่สุดเยี่ยเจียงก็ลืมตาขึ้นหลังจากดูเหมือนจะตัดสินใจได้แล้ว เขาจ้องมองนางเป็นเวลานานก่อนจะพูดช้าๆ “เทียนเกอ ออกจากเขาและไปท่องเที่ยวให้ทั่วสักพักหนึ่ง”
“หา” โม่เทียนเกออึ้งไป “ท่องเที่ยวไปทั่วงั้นหรือ นั่นหมายความว่าข้าต้องออกจากเขาอวิ๋นอู้และไปจากท่านอารองหรือ”
เยี่ยเจียงพยักหน้า “ถูกต้อง ตราบใดที่ผู้ฝึกตนติดอยู่กับอุปสรรคหรือมีอารมณ์ที่ไม่มั่นคง การออกไปท่องเที่ยวเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหา”
“แต่…” โม่เทียนเกอพูดด้วยความกังวล “หมายความว่าข้าต้องไปจากที่นี่หรือ ท่านอารอง ข้าจะทิ้งท่านไว้ที่นี่คนเดียวได้อย่างไร”
เยี่ยเจียงพูดพร้อมกับยิ้มบางๆ “เจ้ากลัวว่าอาสองจะตายอยู่ที่นี่อย่างกะทันหันหรือ”
โม่เทียนเกอนิ่งเงียบ นางกลัวจริงๆ กลัวว่าพอถึงเวลาที่ท่านอารองตายจากไป นางยังไม่ได้สร้างฐานแห่งพลังของตัวเอง อย่างไรก็ตาม นางยิ่งกลัวมากขึ้นว่าท่านอารองจะจบการเดินทางสุดท้ายเพียงลำพังในขณะที่นางกำลังออกท่องเที่ยวอยู่
เยี่ยเจียงถอนใจและบอกว่า “วางใจเสียเถอะ เมื่ออายุขัยของผู้ฝึกตนกำลังจะหมดลง พวกเขาจะไวต่อโชคชะตาของตัวเองมาก ถ้าอาสองรู้สึกว่าเวลานั้นมาถึงเมื่อไหร่ ข้ายังรอคอยให้เจ้ากลับมาได้ แต่ในระหว่างนั้น เจ้าควรไป ถ้าเจ้ายังอยู่ เจ้าอาจจะต้องใช้เวลามากกว่านี้”
“ท่านอารอง…”
“จงทำตามที่ข้าบอก”
ทำใจลำบากอยู่นาน แต่ท้ายที่สุดโม่เทียนเกอก็ยังคงส่ายหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว “ข้าทำไม่ได้! จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีอันตรายเกิดขึ้นล่ะ ข้าไม่ไปหรอก!”
“แล้วถ้าเจ้าต้องไปล่ะ”
“ข้าไม่ไปแน่นอน!”
เยี่ยเจียงหลับตาลง เห็นได้ชัดว่าไม่อยากเถียงกับนางต่อไป เขารู้ว่าเด็กคนนี้ดื้อรั้นแค่ไหน เมื่อก่อนนั้น ตอนที่เขาบาดเจ็บระหว่างการล่าสัตว์ปีศาจและถูกสหายของเขาทิ้งไว้เพราะบาดแผลของเขารุนแรงเกินไป ก็เป็นเพราะเจ้าเด็กคนนี้นี่แหละที่วิ่งเข้าไปในป่าเพื่อตามหาเขาโดยไม่คำนึงถึงชีวิตของตัวเอง ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งสองคนอาหลานจึงสามารถผ่านความยากลำบากเกือบถึงชีวิตและหนีออกจากป่ามาได้
“เสี่ยวเทียน เอาแผ่นจารึกชีวิตของอาสองไปและเริ่มการเดินทางของเจ้าซะ”
โม่เทียนเกอประหลาดใจแต่ก็ร้องออกมาอย่างสับสน “ท่านอารอง…”
เยี่ยเจียงหลับตาลงอีกครั้งและถอนหายใจ “ถ้าอาสองเจอกับเหตุร้ายอะไรเข้า เจ้าเพียงแค่ต้องดูที่แผ่นจารึกชีวิตก็จะรู้ได้ ทีนี้สบายใจหรือยัง”
“ข้า…”
เยี่ยเจียงไม่พูดอะไรอีก เขาหยิบแผ่นหยกจารึกออกจากชุดคลุมของเขาแทน และทำท่ามุทราด้วยมือขวาของเขาขณะที่พึมพำร่ายคาถาบางอย่าง หลังจากไม่นาน หยดเลือดสีแดงสดปรากฏขึ้นจากบริเวณหว่างคิ้วของเขา ความเร็วของการร่ายคาถาเร่งเร็วขึ้นและในไม่ช้าเขาจึงตวัดนิ้ว หยดเลือดหยดนั้นไหลไปตามท่าทางของเขาเข้าสู่แผ่นหยกจารึกในชั่วพริบตา ทันใดนั้น แผ่นหยกจารึกสีขาวสนิทกลายเป็นสีแดงเข้ม
เยี่ยเจียงไออย่างหนักหลังจากเขาทำเสร็จ
“ท่านอารอง!” โม่เทียนเกอรีบช่วยพยุงเขาพร้อมกับลูบหลังไปด้วย
เวลาผ่านไปสักพักและในที่สุดเยี่ยเจียงจึงควบคุมลมปราณของเขาได้ ขณะที่เขาโบกมือ เขาก็ส่งแผ่นหยกจารึกให้กับนางและกล่าวว่า “ถ้าข้ามีอุบัติเหตุ เลือดสกัดภายในแผ่นจารึกนี้จะเหือดแห้งไป เจ้าแค่ต้องกลับมาทันทีที่เจ้าเห็นว่าสีของมันกำลังเปลี่ยนไป”
โม่เทียนเกอรับมาอย่างเงียบๆ ในเมื่อท่านอารองให้แผ่นจารึกชีวิตของเขาแก่นาง หมายความว่าเขาตัดสินใจแน่ชัดแล้ว
เยี่ยเจียงโบกมือเป็นคำสั่งให้นางกลับไปและบอกว่า “นี่คงพอ กลับไปและรายงานต่อสำนักว่าเจ้าจะออกเดินทาง ให้ไปทันทีหลังจากที่เจ้าเก็บข้าวของแล้ว จำไว้ว่า จงเปิดใจและอย่าคิดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับการฝึกตน เจ้ากลับมาได้หลังจากครึ่งปี”
โม่เทียนเกอนิ่งเงียบอยู่สักพัก แต่ไม่นานหลังจากนั้น สีหน้าเด็ดเดี่ยวก็ปรากฏบนใบหน้าของนาง นางพยักหน้าและพูดว่า “ข้ารู้ ท่านอารอง”