ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 80 ปล้นกลับ
โม่เทียนเกอจิบชาจากในถ้วยอย่างช้าๆ ก่อนที่จะตอบ “เหอปี้เซิง [1] เหอปี้ซิว [2] ทั้งสองชื่อเป็นชื่อที่ดี เจ้าเกิดมาทำไม… ทำไมเจ้าต้องฝึกตน พ่อแม่ของเจ้าเป็นคนที่ฉลาดเสียจริง!”
“ฮึ่ม!” เหอปี้ซิวไม่ได้จับความนัยแฝงจากคำพูดของนาง เขายิ้มยิงฟันที่เห็นแล้วน่ารังเกียจแล้วพูด “คำเหล่านั้นเหมาะกับตัวเจ้าเสียมากกว่า ในการที่ต้องมาพบกับพวกข้า เจ้าควรที่จะเสียใจที่พ่อแม่ของเจ้าให้กำเนิดเจ้ามาและเดินบนเส้นทางของผู้ฝึกตน!”
โม่เทียนเกอไม่ได้ขยับเขยื้อน เบื้องหลังถ้วยน้ำชา มุมปากของนางเผยอขึ้นเล็กน้อย
ทั้งสามคนมองหน้ากันเองและขว้างเครื่องมือวิญญาณใส่นาง ทันใดนั้น โม่เทียนเกอติดเครื่องรางลงบนตัวของนาง และในทันทีนางก็ไปปรากฏอยู่ทางด้านหลังของทั้งสามคน นางยกมือขึ้น เข็มล่องหนนับร้อยเล่มถูกเขวี้ยงออกไปจากช่องว่างระหว่างนิ้วมือของนาง
ทั้งสามคนต่างตื่นกลัวและรีบหลบเข็มเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม นางเคลื่อนไหวด้วยความเร็วมาก ทุกคนต่างมีเข็มหลายเล่มแทงเข้าไปตามร่างกาย ระหว่างพวกเขา เหอปี้เซิงเป็นคนที่น่าสังเวชที่สุด ระดับการฝึกตนของเขาต่ำที่สุด ดังนั้นเขารับรู้ถึงสถานการณ์ต่างๆ ช้าเกินไป เมื่อเขาหันกลับ เข็มบินได้ก็ถูกโยนมาที่หน้าอกของเขาแล้ว เขาไม่มีแม้แต่เวลาที่จะต่อกรกับมัน
“อ๊าก!!!” เข็มนั้นมีความเรียวบางเหมือนขนวัว ขณะที่โดนแทงเข้าไปทั้งสามคนต่างรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดและแสบคันในบริเวณนั้นทันที ทั้งสามคนตัวซีดด้วยความหวาดกลัว เหอปี้เซิงผู้ที่ถูกแทงเข้าที่ส่วนสำคัญของร่างกาย ถึงกับโซเซและล้มลงในที่สุด
โดยไม่ให้เสียเวลา โม่เทียนเกอยกมือขึ้นอีกครั้งทำให้อีกสองคนที่เหลือตื่นกลัวและพยายามที่จะหลบเลี่ยง อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้เข็มลอยไปในทิศทางอื่น ทันใดนั้น แผ่นและธงม่านพลังที่ถูกซ่อนอยู่ตามมุมห้องก็หยุดทำงานและพังลงในที่สุด
ทั้งสองคนรู้สึกสับสนเมื่อรู้ว่าโดนหลอก พวกเขายืนขึ้น สั่งเครื่องมือวิญญาณที่อยู่ในมือพุ่งเข้าใส่นางทันที
โม่เทียนเกอเคลื่อนไหวคล้ายผี กระบี่ที่ไม่มีใครรู้ว่าปรากฏขึ้นมาเมื่อไหร่ถูกใช้เพื่อป้องกันการโจมตี นางทำมือเคลื่อนไหวในท่าทางที่รุนแรง ว่องไว และเครื่องมือวิญญาณทั้งสองก็ถูกกระแทกไปในทิศทางอื่น
ทั้งสองคนพยายามที่จะเรียกเครื่องมือวิญญาณของตัวเองกลับมา แต่โม่เทียนเกอโบกมือของนางอีกครั้ง ทั้งสามคนไม่ทันที่จะมองเห็นว่าโม่เทียนเกอเขวี้ยงอะไรมา พวกเขาเห็นเพียงเถาวัลย์หนามที่โตขึ้นมาจากพื้นและขังพวกเขาไว้อยู่ตรงกลาง
การต่อสู้กินเวลาเพียงแค่เสี้ยววินาทีก่อนที่ทั้งสามคนจะอยู่ภายใต้การควบคุมของนางโดยสิ้นเชิง โม่เทียนเกอตบมือพร้อมกับกลับไปนั่งที่ ขณะที่ทั้งสามคนในห้องนั่งเล่นถูกมัดไว้ด้วยเถาวัลย์หนามและได้แต่เพียงร้องด้วยความเจ็บปวด
ในขณะนี้ทั้งสามคนต่างรู้สึกถึงความกลัว ชายหนุ่มแซ่หวงและเหอปี้ซิวผู้ซึ่งร่วมเป็นพยานว่าคู่ต่อสู้ของพวกเขาว่องไวน่ากลัวเพียงไร และเครื่องมือวิญญาณของพวกเขาไร้ประโยชน์ต่อนางแค่ไหน ทั้งสองต่างเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
เหอปี้เซิงเรียกตะโกนออกมาอย่างร้อนรน “ท่านพี่ใหญ่ เขา…”
เหอปี้ซิวไม่มีเวลาที่จะมากังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น เขาตะโกนใส่โม่เทียนเกอ “เจ้า!!! นี่เจ้าซ่อนระดับการฝึกตนของเจ้าเอาไว้หรอกหรือ!!” ระหว่างผู้ฝึกตนเดี่ยวด้วยกันเอง ระดับการฝึกตนของพวกเขาถือว่าสูงอยู่แล้ว ตั้งแต่ที่ทั้งสามคนร่วมมือกันมา เมื่อไหร่กันที่พวกเขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าสังเวชเช่นนี้?
ด้วยรอยยิ้มบางๆ โม่เทียนเกอตอบอย่างเยือกเย็น “ช่างเป็นคนที่ตาต่ำเสียจริง! ทำไมข้าจะต้องซ่อนระดับการฝึกตนของข้าด้วย”
ความแข็งแกร่งของคนที่ต่อสู้ด้วยพลังเวทไม่ได้ขึ้นอยู่กับระดับของการฝึกตนเพียงอย่างเดียว ทั้งสามคนนี้ต้องการที่จะล่อพวกมือสมัครเล่นให้มาที่นี่เพื่อจะโกงเงิน อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ทันได้คิดให้ถี่ถ้วน ถ้าผู้ฝึกตนที่ไม่ได้มีกลุ่มการฝึกตนสามารถฝึกตนได้จนถึงระดับสิบแห่งดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ แล้วผู้ฝึกตนคนนี้จะเป็นมือสมัครเล่นเชียวหรือ
ช่วงเวลาที่นางท่องเที่ยวไปทั่วโลกร่วมกับท่านอารอง นางเห็นการต่อสู้ด้วยพลังเวทระหว่างผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังบ่อยครั้ง อีกทั้งนางก็ได้ประสบกับสถานการณ์เสี่ยงตายต่างๆ ในขณะที่อยู่สำนักอวิ๋นอู้อีก
คนแบบสามคนนี้ที่วางม่านพลังและใช้ผงเสน่ห์ก่อนที่จะลงมือ คนที่ขาดความระมัดระวังและเชื่องช้านั้นด้อยกว่าเมื่อเทียบกับศิษย์ของสามกลุ่มการฝึกตนเสียอีก แล้วพวกเขาจะเทียบเท่ากับนางได้อย่างไร
เมื่อตอนที่ชายหนุ่มพูดพล่ามบนถนน โม่เทียนเกอก็สัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติได้ทันที แต่ด้วยความที่นางได้ผ่านการต่อสู้ระยะประชิดมามากจึงทำให้มีความกล้ามากมาย เมื่อนางเห็นถึงเล่ห์เหลี่ยมที่ซุ่มซ่ามของเขา นางก็รู้ได้ทันทีว่าคู่ต่อสู้ของนางไม่ได้มีอะไรพิเศษนัก
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางก็ว่างและเบื่อ ดังนั้นนางจึงลองตามมาดู มันคงจะดีที่สุดถ้ามันไม่ใช่กับดัก แต่ถ้าอีกฝ่ายมีความตั้งใจมุ่งร้ายจริง นางก็เพียงแค่ต้องหลอกพวกเขากลับ ด้วยสูตรยาเพิ่มพลังการก่อเกิดอยู่ในมือของนาง นางเพิ่งมีความต้องการเงินอย่างมาก การปล้นคนอื่นเป็นวิธีการหาเงินที่เร็วที่สุด และหากเป็นสถานการณ์ปกติทั่วไปนางก็คงไม่ทำแบบนี้ แต่ในเมื่อตอนนี้มีคนที่ต้องการจะปล้นนางก่อน แล้วนางจะปล่อยพวกเขาไปโดยที่ไม่ได้อะไรเลยได้อย่างไร
ย้อนกลับไปตอนที่นางมาถึงที่นี่ นางพบร่องรอยของม่านพลังบางอย่างในห้องและมั่นใจมากขึ้นในสิ่งที่นางสงสัย อย่างไรก็ตาม ม่านพลังนั้นเป็นเพียงแค่ม่านพลังสุริยาแผดเผาที่ไม่ได้สำคัญอะไร นางจึงไม่ใส่ใจอะไรนัก
“จ..เจ้า…” ชายหนุ่มแซ่หวงเปรยอย่างประหลาดใจ “เจ้าดื่มชาถ้วยนั้นไปแล้วนี่ แล้วทำไม…”
โม่เทียนเกอยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้งก่อนตอบ “เจ้าพูดถึงผงเสน่ห์ที่อยู่ในชาถ้วยนี้อย่างนั้นหรอกหรือ ยาฟื้นคืนสติสามารถรับมือกับมันได้ดีทีเดียว” หนึ่งในส่วนผสมหลักของผงเสน่ห์คือละอองเกสรดอกไม้หยก หลายปีก่อนหน้านั้นที่โลกมนุษย์ นางถูกวางยาจากใครบางคนที่ใช้ละอองเกสรดอกไม้หยก ตอนนี้เมื่อนางเชี่ยวชาญมากขึ้น แล้วนางจะจำกลิ่นดอกไม้นั้นไม่ได้ได้อย่างไร
ทั้งสามคนตระหนักรู้ทันทีว่าคนผู้นี้กำลังเล่นเป็นหมูที่จะกินเสือ!
ชายหนุ่มแซ่หวงมองไปด้านข้างทางเหอปี้เซิงคนที่นอนเหยียดอยู่บนพื้น พร้อมกับสบถคำสาป “ทั้งหมดก็เพราะเจ้า ไอ้โง่นี่! มีตาหามีแววไม่! ครั้งนี้พวกเราจะตายก็เพราะเจ้า!”
เหอปี้เซิงบาดเจ็บดังนั้นเขาจึงพูดออกมาได้อย่างยากลำบาก อย่างไรก็ตาม เขาก็พูดด้วยความร้อนรน “เจ้า… เจ้าโทษข้าทุกอย่าง… ได้อย่างไร”
“แล้วถ้าไม่โทษเจ้า ข้าจะโทษใครได้!” ชายหนุ่มพูดอย่างดูถูก “มันคือคนที่เจ้าพากลับมาไง!”
ใบหน้าของเหอปี้เซิงเต็มไปด้วยความโกรธ โดยไม่คาดคิดคำพูดเหล่านั้นเหมือนกับสลักลงไปบนอาการบาดเจ็บของเขา ด้วยความโกรธ เขาไม่สามารถพูดได้อย่างชัดเจนนอกจากพูดว่า “เจ้า…” เท่านั้น
ครั้นเห็นน้องชายตัวเองถูกปฏิบัติด้วยเช่นนี้ เหอปี้ซิวจึงพูดกลับด้วยความโกรธ “หวงเว่ยเหริน ปกติเวลาที่น้องสองของข้าพาคนกลับมา เจ้าก็ได้ผลประโยชน์อยู่หลายอย่าง! ในเมื่อเจ้าบ่นว่าเขาไม่สามารถทำงานได้อย่างที่เจ้าต้องการ งั้นทำไมเจ้าไม่ทำเสียเองเล่า”
โม่เทียนเกออยากหัวเราะแทบขาดใจเมื่อนางได้ยินชื่อของชายหนุ่ม หวงเว่ยเหริน… นิสัยที่คดงอ [3] … คนพวกนี้สมชื่อจริงๆ!
หวงเว่ยเหรินยังคงตะโกนต่อไป “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่ามันจะโง่ดักดานได้ถึงเพียงนี้”
“เจ้าเองก็ไม่รู้สึกถึงอะไรเช่นกันนี่!”
“มัน… มันเป็นเพราะข้าเชื่อน้องของเจ้าไง!”
โม่เทียนเกอไม่รู้เลยว่านางควรที่จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ทั้งสามคนนี้น่าจะมีอะไรผิดปกติที่สมองของพวกเขา ในจุดนี้พวกเขายังคงเถียงกันไม่หยุด นี่ทำให้นางรู้สึกว่านางยังไม่บรรลุผลเสียที เฮ้อ…
นางเคาะลงที่โต๊ะพร้อมพูดว่า “พวกเจ้าเถียงกันพอแล้วหรือยัง”
สองคนหยุดการโต้เถียงลงในทันที เหอปี้ซิวจ้องไปที่เหอปี้เซิงคนที่นอนไม่ขยับอยู่บนพื้น หลังจากรู้สึกขัดแย้งในตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงขอร้อง “สหายนักพรตเยี่ย… ศิษย์พี่เยี่ย… พวกข้าต้องตาบอดกันเป็นแน่ที่ไม่รู้ถึงอำนาจความสามารถของท่าน ได้โปรดไว้ชีวิตพวกข้าด้วย!”
หวงเว่ยเหรินร่วมด้วย “ใช่ๆๆ! ทั้งหมดเป็นเพราะพวกข้าตาบอดไปกันเอง พวกข้าไม่ทันได้สังเกตว่าท่านคือปรมาจารย์! ท่านเป็นคนที่น่านับถือและใจกว้าง ได้โปรดอย่าเสียเวลาของท่านกับพวกข้าเลย”
โม่เทียนเกอมองไปที่พวกเขาแต่ยังคงเงียบเฉย หลังจากที่นางเห็นว่าทั้งสามคนกลัวจนหัวหดนางจึงพูดขึ้นอย่างช้าๆ “ปล่อยพวกเจ้าไปน่ะหรือ ข้าก็ทำได้นะ… แต่ก่อนอื่นบอกข้ามาว่าพวกเจ้าหลอกมาทั้งหมดกี่คนแล้ว แล้วพวกเจ้าหลอกลวงพวกเขาอย่างไร”
ทั้งสามคนรู้สึกยินดีเมื่อได้ยินดังนั้น เหอปี้ซิวและหวงเว่ยเหรินหยุดเถียงกัน พวกเขามองหน้ากันเองก่อนที่จะผลักความรับผิดชอบกันไปมา
“เจ้าบอกเขาสิ”
“มันคงดีกว่าถ้าเจ้าเป็นคนบอกนะ”
“ข้าจำไม่ได้แล้ว”
“ข้าพูดไม่ได้”
ทั้งสองคนต่างผลักหน้าที่ในการตอบนี้ให้กันไปมาระยะหนึ่ง สุดท้ายหวงเว่ยเหรินก็พูด “พวกข้าทั้งสามเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยวจากบริเวณใกล้เคียงกับสำนักเทียนเต้า ด้วยไร้ซึ่งทักษะอื่น พวกข้าไม่สามารถฝึกตนได้สำเร็จ ดังนั้นพวกข้าจึงคิดวิธีการนี้ขึ้นมา… มีผู้ฝึกตนต่างถิ่นอยู่มากรอบสำนักเทียนเต้า พวกเขาส่วนมากมาเพราะชื่นชมชื่อเสียงของสำนักเทียนเต้าว่าเป็นสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในคุนอู๋ และหลายคนมาที่ตลาดนัดแห่งนี้เพื่อซื้อสินค้า พวกข้าคิดว่าด้วยผู้ฝึกตนต่างถิ่นที่ไม่มีใครควบคุมดูแลตั้งมากมาย คงไม่มีใครรู้หากพวกข้าหลองลวงพวกเขามาสักหนึ่งหรือสองคน ดังนั้นพวกข้าจึงเริ่มงานปล้นแบบไร้ต้นทุนนี้ขึ้นมา”
“ในเมื่อระดับการฝึกตนของพวกเจ้าตอนนี้ก็ไม่ได้ต่ำเลย ไม่ได้หมายความว่าพวกเจ้าหลอกลวงคนอื่นมาเป็นเวลานานแล้วหรอกหรือ ด้วยวิธีการของพวกเจ้า อย่าบอกนะว่าไม่เคยเจอเข้ากับปัญหามาก่อน”
หวงเว่ยเหรินกล่าว “มันมีปัญหาอยู่ข้างนอกนั่นแต่พวกข้าคอยระมัดระวังตัวอย่างดี พวกข้าไม่เคยยุ่งกับคนของสำนักเทียนเต้าและไม่เคยมองหาคนที่มาจากกลุ่มการฝึกตน พวกข้ามองหาเพียงแค่ผู้ฝึกตนต่างถิ่น คนที่ส่วนมากแล้วไม่ได้มีพลังมากมายนัก ถึงแม้ว่าจะมีคนที่เก่งกาจอยู่บ้าง แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถทนอยู่ได้เมื่อพวกข้าใช้ม่านพลังและผงเสน่ห์”
ที่เขาพูดก็มีเหตุผล ถ้าไม่ใช่เพราะนางเชี่ยวชาญเกี่ยวกับม่านพลังและจำได้ถึงกลิ่นของผงเสน่ห์ บางทีนางอาจจะติดกับดักนี้ได้เช่นกัน
“คนอื่นๆ เขาโง่พอที่จะถูกหลอกได้ด้วยวิธีการไร้สาระของพวกเจ้าเชียวหรือ”
ทั้งสามคนดูอึดอัดมากขึ้นเมื่อได้ยินคำถาม เหอปี้ซิวตอบ “พวกข้าเลือกเป้าหมายอย่างชาญฉลาด ถ้าเป็นผู้ฝึกตนต่างถิ่นที่มาสำนักเทียนเต้าเพื่อแลกเปลี่ยนเคล็ดลับเกี่ยวกับลัทธิเต๋า พวกข้าก็จะแสร้งทำตัวเป็นผู้ฝึกตนสำนักเทียนเต้า ถ้าพวกเขามาเพื่อซื้อสิ่งของ พวกข้าก็จะแสร้งว่ามีเครื่องมือวัสดุคุณภาพสูงอยู่แต่ไม่ทันได้ระวังตัว…”
“เอ้อ” คนเหล่านั้นโง่ขนาดนั้นเชียวหรือ
“ช่วงหลังมานี้เพราะสำนักเทียนเต้ากำลังจะจัดงานรวมพลคนอมตะ ก็จะมีคนบ้านนอกหลายคนเป็นกลุ่มคนที่ไม่เคยเห็นโลกแห่งความเป็นจริงมาก่อน ดังนั้นพวกข้าก็จะ…”
โม่เทียนเกอเข้าใจว่าเขาหมายถึงอย่างไร ด้วยการที่มีผู้ฝึกตนมาที่นี่หลายคน ก็จะมีคนที่ไร้เดียงสามาร่วมด้วยจำนวนไม่น้อย ดังนั้นการหลอกลวงบางคนคงเป็นเรื่องง่าย อีกอย่าง ในช่วงเวลาของงานรวมพลผู้อมตะมันก็จะมีความชุลมุนวุ่นวายเป็นธรรมดากว่าช่วงปกติอยู่แล้ว โดยทั่วไปก็จะไม่มีใครให้ความสนใจพวกเขา ดังนั้นก็จะทำให้คนพวกนี้ยิ่งหยิ่งทะนงในตัวเอง เมื่อพวกเขาเห็นว่าระดับการฝึกตนของนางอยู่สูงเมื่อเทียบกับอายุที่ยังน้อยและเสื้อผ้าที่แสนจะธรรมดา พวกเขาก็คิดว่านางคงเป็นคนไร้เดียงสาและทะเยอทะยานมาก
“เช่นนั้น… ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเจ้าก็ปล้นของมาได้เยอะเลยสินะ”
หวงเว่ยเหรินสะดุ้ง เขามองมาที่นางและพูดว่า “ความจริงแล้ว พวกข้าก็ไม่ได้อะไรมากนัก…”
โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ “ไม่ได้อะไรมากนักหรือ งั้นพวกเจ้าก็เอาออกมาให้หมด เร็วเข้า เอาออกมา แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า…”
“หา”
“ถ้าพวกเจ้าจะปฏิเสธไม่เอาออกมาก็ไม่เป็นไรหรอกนะ หลังจากที่ข้าหั่นพวกเจ้าเป็นชิ้นๆ ข้าก็สามารถใช้เวลาได้เรื่อยๆ ในการหาของพวกนั้นอยู่แล้ว”
มองดูทั้งสามคนอึกอักและสับสนทำให้ความรู้สึกเศร้าซึมของโม่เทียนเกอดีขึ้นทันที การใช้ความโชคร้ายของผู้อื่นเพื่อปลอบประโลมตัวเองนั้นช่างได้ผลยิ่งนัก
“ท่านพี่ใหญ่” เหอปี้เซิงคนที่นอนแผ่หราอยู่บนพื้นพูดอย่างขมขื่น “ข้า… ข้าไม่อยากตาย”
เหอปี้ซิวและหวงเว่ยเหรินต่างดูขัดแย้งอยู่ภายในตัวเอง ทั้งสองคนใช้สายตาเพื่อถกเถียงกันเกี่ยวกับเรื่องนี้
เมื่อโม่เทียนเกอเห็นปฏิกิริยาของพวกเขา นางเพียงแค่หัวเราะเบาๆ หันฝ่ามือของนางขึ้นด้านบนทำท่ากวักมือเรียก ทันใดนั้นเข็มบินได้ก็กลับมาอยู่บนมือของนาง รวมถึงเล่มที่ติดอยู่บนร่างกายของคนทั้งสามด้วย เหอปี้ซิวและหวงเว่ยเหรินรู้สึกสบายขึ้น แต่เหอปี้เซิงถูกแทงด้วยเข็มบินได้หลายเล่ม ตอนนี้เมื่อเข็มทั้งหลายถูกถอดออกไปจากร่างกายที่บาดเจ็บของเขาแล้ว เขาก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดทันที “ท่านพี่! ท่านพี่! เอาของให้เขาไปเถอะ!”
เมื่อเห็นความทรมานของเหอปี้เซิง เหอปี้ซิวรีบตะโกนออกมา “ตามนั้นก็ได้! พวกข้าจะให้ทุกอย่างกับเจ้า!”
โม่เทียนเกอยิ้มอย่างมีเลศนัยและพูด “โยนกระเป๋าเอกภพของพวกเจ้าทั้งหมดมาให้ข้า!”
ถึงแม้ว่าเหอปี้เซิงจะบาดเจ็บอยู่ แต่เขาก็เป็นคนที่กลัวที่สุด ดังนั้นเขาจึงเป็นคนแรกที่โยนกระเป๋าเอกภพของเขาออกมาด้วยอาการสั่นเทา เมื่อเห็นท่าทางของเขา เหอปี้ซิวกัดฟันและหยิบกระเป๋าเอกภพของตัวเองออกมาเช่นกัน
ในทางกลับกัน หวงเว่ยเหรินไม่ยินดีที่จะทำตาม ทั้งสองคนจ้องเขม็งไปที่ร่างกายของเขา หลังจากที่จ้องกันอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กลั้นใจโยนกระเป๋าของเขาไปทางโม่เทียนเกอ
หลังจากที่ได้กระเป๋าเอกภพและเปิดดูของด้านในเรียบร้อยแล้ว นางก็เก็บเข้าไปในเสื้อคลุมของนางอย่างสบายๆ
เมื่อเห็นว่าเหล่าคนโกงและโจรปล้นทั้งสามที่อยู่ด้านหน้ากำลังจ้องมองนางอย่างหงุดหงิด นางยิ้ม หยิบเครื่องรางจากกระเป๋าเอกภพของนางและโยนไปด้านหน้า
“ตู้ม!” ห้องนั่งเล่นทั้งห้องปกคลุมไปด้วยเปลวไฟ หลังจากนั้นทั้งสามคนตะโกน “เจ้าไม่รักษาสัญญา! เจ้าบอกว่าจะไว้ชีวิตพวกข้ามิใช่หรือ!”
โม่เทียนเกอหันกลับและเดินไปที่ประตู ในขณะที่โบกมือนางก็พูดว่า “เจ้าไม่ได้ส่งของทุกอย่างที่เจ้ามี ในเมื่อของที่เจ้าให้มามันไม่พอให้ข้าไว้ชีวิตเจ้าทั้งหมด ข้าก็จะเอาชีวิตของพวกเจ้ามาครึ่งหนึ่งแทน”
เมื่อนางเดินออกไปจากบ้าน ก็ใช้เวลากำหนดเส้นทางของนางอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงเดินช้าๆ ไปที่ถนนบนเส้นทางของนาง
ทั้งสามคนนั้นไม่ได้มอบของทั้งหมดมาให้ แต่โม่เทียนเกอไม่ใช่โจรเต็มตัว นางขี้เกียจที่จะต่อสู้เพื่อให้ได้ของเหล่านั้นมา ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้ฆ่าพวกเขา แต่นางก็ได้ให้บทเรียนเพื่อระบายความโกรธของนาง ไฟที่ก่อขึ้นนั้นมากพอที่จะทำให้พวกเขาตายไปครึ่งหนึ่ง
นางมีรอยยิ้มเปื้อนอยู่บนใบหน้าเมื่อนางมาถึงที่ถนน เพียงแค่หนึ่งเครื่องรางหลบหนีและหนึ่งเครื่องรางไฟนรก แต่นางกลับได้ครอบครองศิลาวิญญาณจำนวนหลายร้อยอัน ธุรกิจด้านนี้นั้นเยี่ยมยอดจริงๆ!
——
[1] เหอปี้เซิง (何必生) (Hé Bìshēng) คำว่า เหอปี่ หมายความว่า “ทำไมต้อง” และเซิงสามารถหมายถึง “เกิดมา”
[2] เหอปี้ซิว (何必修) ซิว ในที่นี้หมายถึง “การฝึกตน”
[3] หวั่งเหวยเหริน (枉为人) ออกเสียงคล้ายกับคำว่า หวงเหวยเหริน (黄为仁) แต่มีความหมายว่าความประพฤติ/พฤติกรรมที่คดงอ