ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 82 เห็ดหลินจือสีม่วง
ไม่กี่วันต่อมา ในที่สุดโม่เทียนเกอก็ปรุงยาวิเศษได้จนเสร็จสิ้น
แน่นอนว่านางไม่ได้ใช้วัตถุดิบกว่าหลายร้อยส่วนที่ซื้อมานั้นจนหมด หลังจากการทดลองปรุงยามากกว่าร้อยครั้ง ตอนนี้นางเริ่มจะควบคุมทั้งกระบวนการปรุงยาได้มากขึ้นแล้ว นางสามารถผลิตยาที่เสร็จสมบูรณ์ออกมาได้ห้าถึงหกเม็ดจากกระบวนการปรุงยานี้
ถึงแม้ว่าอัตราความสำเร็จห้าในร้อยส่วนจะต่ำ แต่การทำสำเร็จได้ในอัตราเท่านี้ถือว่าปกติถ้าพิจารณาจากความจริงที่ว่านางยังเป็นมือใหม่ แม้แต่อาจารย์ปรุงยาผู้ยิ่งใหญ่ก็มีอัตราความสำเร็จเพียงแค่ ห้าสิบถึงหกสิบส่วนเวลาที่พวกเขาปรุงยาวิเศษ ในทางกลับกัน อาจารย์ปรุงยาทั่วไปสามารถทำสำเร็จได้แค่ราวๆ สามสิบส่วนเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์เช่นนี้ยังคงทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกผิดหวัง ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไม่มีใครในกลุ่มเย่เชี่ยวชาญในด้านการปรุงยา ถ้าผลงานเช่นนี้ถูกนำไปเปรียบเทียบกับคนในกลุ่มการฝึกตน นางคงต้องถูกจัดให้ไปอยู่ในกลุ่มคนประเภท “ไร้ความสามารถโดยสิ้นเชิง” เป็นแน่
เมื่อเข้าใจว่าความสามารถของนางไม่ดีพอ เป้าหมายของโม่เทียนเกอจึงไม่สูงนัก น่าจะเพียงพอสำหรับนางแล้วถ้านางจะประสบความสำเร็จได้ในอัตราสามสิบส่วนของอาจารย์ปรุงยาปกติทั่วไป ขณะนี้นางมีความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการปรุงยาแล้ว และคาดว่าหลังจากที่นางใช้วัตถุดิบจำนวนเจ็ดร้อยถึงแปดร้อยส่วนนี้จนหมด อัตราความสำเร็จของนางก็จะขึ้นไปถึงสามสิบส่วน และนางจะสามารถศึกษาสูตรยาที่ยากกว่าเดิมต่อไปได้
จากสิ่งที่นางเห็นในสูตรยา ยาเพิ่มพลังการก่อเกิดเป็นยาวิเศษชนิดที่ค่อนข้างปรุงยาก การทำท่ามุทรานั้นซับซ้อนและการควบคุมไฟตานเถียนของนางต้องแม่นยำ มันไม่ใช่ยาวิเศษที่จะสามารถปรุงให้สำเร็จได้ในการลองทำแค่ครั้งเดียว
เมื่อนางลองคิดคำนวณค่าใช้จ่ายอย่างรอบคอบ โม่เทียนเกอรู้ตัวว่านางมองโลกในแง่ดีเกินไป นางปรุงยาวิเศษที่ธรรมดาสามัญที่สุดมาโดยตลอดเพื่อให้ตัวเองคุ้นเคยกับกระบวนการปรุงยา แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ใช้ศิลาวิญญาณไปเกือบจะสองร้อยอันแล้ว หากนางต้องการจะปรุงยาที่ยากขึ้นมาอีกนิด ศิลาวิญญาณที่เหลืออยู่สามพันอันของนางคงจะไม่เพียงพอให้ซื้อวัตถุดิบที่จำเป็นอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น สืบเนื่องจากอัตราความสำเร็จของนางในปัจจุบัน การขายยาวิเศษที่นางผลิตได้เพื่อไปซื้อวัตถุดิบต่างๆ เพื่อที่นางจะได้ปรุงยาต่อไปได้นั้นก็เป็นเพียงแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ
นอกเหนือจากนั้นแล้ว วัตถุดิบสำหรับยาเพิ่มพลังการก่อเกิดก็ไม่ได้มีราคาถูกเลยแม้แต่น้อย แค่พืชที่อายุห้าร้อยปีอย่างเห็ดหลินจือสีม่วงและต้นเฟิร์นอินทรีดำ เมื่อรวมกันก็อาจจะมีราคามากกว่าหนึ่งพันศิลาวิญญาณแล้ว ต่อให้นางโชคดีมากพอที่จะเชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งการปรุงยาโดยใช้ศิลาวิญญาณที่เหลืออยู่สามพันอันของนางไปจนถึงจุดที่นางสามารถเริ่มปรุงยาเพิ่มพลังการก่อเกิดได้แล้วนั้น นางก็อาจมีไม่มากพอในการใช้จ่ายสำหรับวัตถุดิบที่จำเป็นอยู่ดี
หลังจากปวดหัวมาชั่วขณะหนึ่ง โม่เทียนเกอจึงสงบสติอารมณ์ นางอดเยาะเย้ยตัวเองไม่ได้กับความกังวลที่ไม่ได้เป็นความจริง ขณะนี้นางเพิ่งเริ่มหัดเรียน ยังไม่แน่ชัดเลยว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีก่อนที่นางจะสามารถปรุงยาเพิ่มพลังการก่อเกิดได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางก็ไม่จำเป็นต้องพยายามอย่างหนักเท่าตอนที่นางต้องฝึกตนอีกแล้ว ถ้านางหาเงินได้ในเวลาหลายๆ ปีอย่างต่อเนื่อง สักวันหนึ่งนางก็จะมีเงินมากพอ
นอกจากนี้ ต่อให้นางได้ครอบครองยาเพิ่มพลังการก่อเกิด นางก็ยังไม่แน่ใจว่าจะประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังของนางในการลองครั้งแรก
ถ้านางทำไม่สำเร็จ นางคงต้องต่อสู้เพื่อยาสร้างฐานแห่งพลังอีกเม็ดในอีกสิบปีให้หลัง ถ้ายังไม่ได้ผลอีก ก็คงต้องเพิ่มไปอีกสิบปี… ตอนนี้นางเพิ่งอายุยี่สิบปีและนางยังมีเวลาเหลืออีกร้อยปี ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว
ด้วยความคิดเช่นนี้ โม่เทียนเกอจึงปลดปล่อยตัวเองจากการปรุงยาที่ไม่จบไม่สิ้นไป
มีเวลาเหลือน้อยกว่าครึ่งเดือนก่อนที่งานรวมพลเซียนของสำนักเทียนเต้าจะเริ่มขึ้น จำนวนคนในเมืองที่ตีนเขานี้ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โชคดีที่นางได้เช่ากระท่อมไปเมื่อหลายวันก่อน มิเช่นนั้น ถ้านางรอจนถึงตอนนี้ นางคงต้องลงเอยด้วยการนอนกลางแจ้งแน่
ขณะที่นางมุ่งหน้าไปยังถนนและดูผู้ฝึกตนผ่านมาและผ่านไป โม่เทียนเกอตัดสินใจที่จะตามกระแสของผู้คนไป ณ ขณะนั้นนางเข้าถึงขั้นสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ โอกาสของนางในการสร้างฐานแห่งพลังมีแนวโน้มที่ดีและนางก็ค่อนข้างร่ำรวย ทุกอย่างช่างน่าพอใจ… ยกเว้นแต่ความเป็นจริงที่ว่าท่านอารองกำลังจะตายจากไป แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่นางไม่มีโอกาสจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้
อายุขัยของผู้ฝึกตนเกี่ยวข้องกับระดับการฝึกตนและวิธีที่พวกเขาดูแลสุขภาพของตัวเอง ในสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือระดับการฝึกตน ยิ่งระดับการฝึกตนสูง อายุขัยก็จะยิ่งยาวนานขึ้น การบรรลุผ่านเข้าสู่ดินแดนถัดไป อย่างน้อยที่สุดจะสามารถเพิ่มอายุขัยของพวกเขาได้ถึงหนึ่งร้อยปี
ยกตัวอย่างเช่น อายุขัยของผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณจะอยู่ระหว่างหนึ่งร้อยถึงสองร้อยปี อายุขัยของผู้ฝึกตนที่ระดับการฝึกตนต่ำกว่าระดับสี่ของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณจะมีอายุถึงจุดที่มนุษย์ธรรมดาถือว่ามีชีวิตยืนยาว นั่นคือหนึ่งร้อยปี อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านเข้าสู่ระดับที่สี่ พวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้จนถึงประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบปี หากว่าระดับการฝึกตนของพวกเขาดีเยี่ยมมากและเข้าถึงจุดสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ พวกเขาสามารถอยู่ได้จนถึงอายุสองร้อยปีเลยทีเดียว
อย่างไรก็ดี หากพวกเขาข้ามผ่านจากดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณไปสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังได้ พวกเขาจะได้รับอายุขัยเพิ่มอีกหนึ่งร้อยปี!
ระดับการฝึกตนของท่านอารองอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ถ้าเขาดูแลสุขภาพตัวเองอย่างดี เขาคงจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกอย่างน้อยห้าสิบปี แต่เนื่องจากบาดแผลที่เขาต้องทนทุกข์ทรมานในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นรุนแรงเกินไป อายุขัยของเขาจึงใกล้จะสิ้นสุดลงในขณะที่เขากำลังจะมีอายุได้สามร้อยปีเท่านั้น
ในเมื่อท่านอารองไม่มีความหวังในการก้าวไปสู่ดินแดนถัดไป อายุขัยของเขาจึงถูกยืดออกไปได้โดยการใช้ยาอายุวัฒนะเท่านั้น ยาอายุวัฒนะหนึ่งเม็ดจะเพิ่มอายุขัยของผู้ใช้ได้หนึ่งร้อยปี แต่ก็เป็นเวลานานหลายร้อยปีมาแล้วตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ยาอายุวัฒนะมีให้เห็น ต่อให้มียาปรากฏออกมา ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่มากมายคงจะต่อสู้แย่งชิงกันเพื่อยาเพียงเม็ดเดียว ดังนั้นมันจึงไม่มีทางเลยที่โม่เทียนเกอจะเข้าถึงยานี้ได้
ด้วยรอยยิ้มเศร้าใจ โม่เทียนเกอเดินขึ้นไปบนเขาตามกระแสคนที่หลั่งไหลไป พวกเขาเป็นเพียงผู้ฝึกตนตัวจ้อยซึ่งไม่มีทางได้ส่วนแบ่งในยาพิเศษพวกนั้นแน่ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงยอมรับชะตากรรมของตัวเอง
ประตูหลักของสำนักเทียนเต้าช่างดูสมชื่อในฐานะกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในคุนอู๋ ประตูหลักทั้งบานถูกแกะสลักจากหยกวิญญาณชิ้นใหญ่ยักษ์ เมื่อแสงอาทิตย์ตกกระทบ จะสะท้อนแสงเจ็ดสีออกมาทำให้ดูสว่าง สุกใส และเจิดจ้า เมฆที่ลอยอยู่รอบๆ บริเวณทำให้คนที่ผ่านไปมารู้สึกราวกับพวกเขากำลังเดินเข้าไปในแดนสวรรค์
โม่เทียนเกออดที่จะถอนใจไม่ได้ ไม่แปลกใจเลยที่สัญลักษณ์ของสำนักเทียนเต้าคือประตูเซียนและเมฆมงคล จากชั่ววินาทีที่ได้เห็นประตูของสำนักเทียนเต้า คงเป็นไปได้ยากที่พวกเขาจะไม่คิดถึงภาพทิวทัศน์นี้
เนื่องจากการรวมพลเซียนยังไม่เริ่มขึ้น ผู้มาเยี่ยมเยียนที่ไม่ใช่ศิษย์ของสำนักเทียนเต้าจึงไม่สามารถผ่านประตูของสำนักไปได้ เหมือนกับผู้เยี่ยมชมคนอื่นๆ โม่เทียนเกอต้องหันหลังกลับลงเขาและกลับไปยังกระท่อมของนาง
โม่เทียนเกอไม่ได้มีความชื่นชมอะไรมากมายนักต่อสำนักเทียนเต้า ถึงแม้ว่าสำนักอวิ๋นอู้จะด้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับสำนักเทียนเต้า แต่ท้ายที่สุดแล้วกลุ่มการฝึกตนก็เหมือนกันหมด เพียงแค่ศิษย์สำนักเทียนเต้าได้รับการปฏิบัติดูแลที่ดีกว่าเล็กน้อยเท่านั้นเอง
แน่นอนว่านางไม่ได้ดูถูกกลุ่มการฝึกตน แม้ว่านางจะวางแผนที่จะออกจากสำนักอวิ๋นอู้นานแล้ว แต่เหตุผลเบื้องหลังก็คือเพื่อแยกตัวออกจากความขัดแย้ง ขณะนี้นางยังต้องหากลุ่มอื่นเพื่อหาที่อยู่อาศัยให้ตัวเอง ไม่ได้มีเหตุผลอื่นใดนอกไปจากการหาความคุ้มครองจากอำนาจและอิทธิพลของกลุ่มและลดปัญหามากมายที่นางอาจจะต้องเผชิญ
เมื่อนางกลับมาถึงในเมือง โม่เทียนเกอนึกได้ว่ายาครอบจักรวาลของนางหมดจึงไปที่ร้านโถงร้อยหญ้า
ภายในร้านโถงร้อยหญ้า ตามโต๊ะคิดเงินยังเต็มไปด้วยกลุ่มคนที่รุมล้อม นางไม่อยากจะต้องแทรกตัวผ่านพวกเขาและคิดว่ายาครอบจักรวาลเป็นยาสามัญมากพอที่ไม่ว่าจะซื้อที่ไหนก็เหมือนกัน โม่เทียนจึงเตรียมที่จะออกจากร้าน
ขณะที่นางกำลังจะหันหลังกลับ นางก็บังเอิญเจอชายชราที่ขายวัตถุดิบและสูตรยาให้นางยังคงนั่งอยู่ที่มุมร้าน เขากำลังโบกมือให้นาง
เอ๋ เขากำลังเรียกเราใช่ไหม
พอเห็นว่าโม่เทียนเกอหยุดชะงัก ชายชราก็ยิ่งโบกมืออย่างกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น
โม่เทียนเกอเดินไปหาเขาและถามด้วยความสงสัย “เจ้าเรียกข้าหรือ”
ชายชรายิ้มและกุมมือเพื่อแสดงความเคารพแก่นาง เขาพูดว่า “แน่นอนขอรับ วันนี้ท่านสหายนักพรตต้องการจะซื้ออะไรหรือ”
โม่เทียนเกอจึงตอบ “ข้าแค่อยากจะซื้อยาครอบจักรวาลนิดหน่อย”
“อ้อ” ชายชรามองนางอย่างสนอกสนใจก่อนจะถามว่า “หรือว่าท่านมาเพื่อเข้าร่วมงานรวมพลเซียนขอรับ”
แทนที่จะตอบ โม่เทียนเกอถามกลับ “ทำไมสหายนักพรตถึงเรียกข้ามารึ”
ชายชราเผยรอยยิ้มในขณะที่เขาหรี่ตา “ไม่มีอะไรขอรับ แค่เรามีชะตาต้องกัน พอตาเฒ่าคนนี้เห็นท่านก็เลยอยากจะทักทาย อย่างไรก็ดี ท่านสหายนักพรตต้องการอะไรหรือไม่ ท่านบอกข้าได้เลยบางทีข้าอาจจะช่วยได้”
โม่เทียนเกอเหลือบมองเขาอย่างระมัดระวัง นางมาแค่เพื่อซื้อยาครอบจักรวาลนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรพิเศษในคำขอของนางสักหน่อย ทำไมชายคนนี้ถึงดูเหมือนเขาอยากจะประจบเรานัก?
ชายชราเป็นคนมีประสบการณ์ เมื่อเขาเห็นสีหน้าของนาง เขาก็รีบโบกไม้โบกมือและบอกว่า “ท่านสหายนักพรตโปรดอย่าเข้าใจผิด ตาเฒ่าเพียงแค่มีข่าวมาบอกที่อาจจะเป็นประโยชน์กับท่านน่ะขอรับ”
ข่าวรึ โม่เทียนเกอจ้องเขาอย่างสงสัย
ชายชรายื่นกระดาษหนังสัตว์ให้นางซึ่งเขาดึงออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้และพูดอย่างมีนัยว่า “ท่านสหายนักพรตสนใจหรือไม่”
โม่เทียนเกอรับกระดาษไปและเห็นว่ามีเพียงประโยคเดียวเขียนอยู่ในมุมด้านบนสุด “รายการสินค้าในงานรวมตลาดของร้านค้าเผ่าหู”
นางเงยหน้าขึ้นและจ้องชายชราที่อยู่ตรงหน้า รอคอยคำอธิบาย
ชายชราโน้มตัวมาใกล้ขึ้นและพูดว่า “เผ่าหูเป็นเผ่าผู้ฝึกตนที่ใหญ่ที่สุดในสำนักเทียนเต้าของเรา ในเมืองนี้ นอกเหนือจากร้านค้าหลายร้านที่เป็นของสำนัก ร้านของเผ่าหูนั้นเป็นร้านที่มีอิทธิพลมากที่สุด งานรวมตลาดครั้งนี้มีสินค้าคุณภาพสูงสุดที่อยู่ในคลังมานำเสนอ”
โม่เทียนเกอถามด้วยความประหลาดใจ “ในเมื่อมันเป็นสินค้าที่คุณภาพดีที่สุด แล้วมันถูกเก็บอยู่ในคลังได้อย่างไร”
ชายชราพูดพร้อมรอยยิ้ม “ท่านสหายนักพรต ในโลกนี้มีพืชวิญญาณและวัตถุวิญญาณมากมายหลายชนิดเหลือเกิน ของบางอย่าง ทั้งๆ ที่เป็นของหายากและมีคุณภาพสูงก็ยังอาจถูกทิ้งขายไม่ออกมาเป็นเวลานาน ร้านค้าใหญ่ๆ ที่ทำธุรกิจมานานจะเก็บสะสมสินค้าคุณภาพดีพวกนี้ไว้อย่างแน่นอน ถ้าร้านค้าอยากจะขายของพวกนี้ มันคงไม่ดีถ้าจะขายโดยตรงบนโต๊ะแสดงสินค้า ต่อให้มันถูกจัดเรียงไว้บนโต๊ะแสดงสินค้า ข้าก็เกรงว่าบนโต๊ะจะไม่มีที่มากพอที่จะวางได้หมด อย่างไรก็ตาม ถ้าร้านไม่เอาของพวกนั้นออกมาขาย มันก็จะไปทับซ้อนกับสินค้าในร้านอีกหลายอย่าง”
“เพราะอย่างนั้น ร้านค้าใหญ่ๆ บางร้านจึงโละสินค้าตกค้างในคลังของพวกเขาทุกสามปี ห้าปี หรือสิบปีโดยการจัดงานรวมตลาด ในเวลานั้น ของทุกอย่างที่ขายจะถูกวางให้เห็น ดังนั้นผู้คนจึงสามารถเลือกได้ตามสบาย อย่างไรก็ตาม ในเมื่อของพวกนั้นล้วนเป็นสินค้าคุณภาพสูงทั้งสิ้น คนที่ถูกเชิญให้เข้าร่วมงานรวมตลาดจึงไม่ใช่ผู้ฝึกตนธรรมดาทั่วไป แต่ละคนจะต้องมีความน่าเชื่อถือและต้องผ่านกระบวนการคัดเลือกมาอย่างรอบคอบแล้ว”
ประโยคสุดท้ายของเขาทำให้นางประหลาดใจจึงพูดไปว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมเจ้าถึงมาบอกข้าเรื่องนี้”
ชายชราเหลือบมองนางก่อนจะเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “เพราะข้าเห็นว่าท่านสหายนักพรตค่อนข้างรวย มีท่าทางมั่นคงและมีระดับการฝึกตนดีพอใช้ เพราะอย่างนั้น ข้าคิดว่าท่านน่าจะมีคุณสมบัติเหมาะสำหรับงานรวมตลาดนี้”
“งั้นหรือ” โม่เทียนเกอเลิกคิ้วและถามว่า “ข้าขอทราบตัวตนของสหายนักพรตที่สามารถตัดสินว่าใครมีคุณสมบัติสำหรับงานรวมตลาดครั้งนี้ได้หรือไม่”
ชายชรายิ้มด้วยสีหน้าค่อนข้างพึงพอใจ “แม้ว่าตาเฒ่าคนนี้จะไม่ใช่ผู้ฝึกตนระดับสูง แต่ข้ามาจากเผ่าหู ผู้ฝึกตนทุกคนในเผ่าหูมีสิทธิ์ที่จะแนะนำคนหนึ่งหรือสองคนให้เข้าร่วมในงานรวมตลาด”
“เข้าใจล่ะ…” ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมชายชราคนนี้ถึงมีเส้นสายที่ดีทั้งที่มีระดับการฝึกตนต่ำ ที่แท้ก็เพราะเขามีคนหนุนหลังนี่เอง
เมื่อเห็นว่าโม่เทียนเกอยังไม่ให้คำตอบจริงจัง ชายชรากะพริบตาเล็กๆ ของเขาและถามว่า “อย่าบอกนะว่าท่านสหายนักพรตไม่อยากไป ท่านน่าจะรู้ว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่จะทำกำไรได้อย่างง่ายดายที่นั่น”
โม่เทียนเกอยังดูแผ่นกระดาษหนังสัตว์อยู่ เมื่อไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร นางจึงเหลือบตามองชายชราและถามว่า “แล้วสหายนักพรตจะได้ประโยชน์อะไรจากการแนะนำคนให้ไปร่วมงานรวมตลาดหรือ?”
ชายชราอึ้งไป ในไม่ช้า เขาลูบเคราในขณะที่ยิ้มอย่างไม่น่าไว้ใจ “ถูกต้อง! ถ้าสหายซื้อของอะไรสักอย่าง คนที่แนะนำสหายคนนั้นไปก็จะได้ค่านายหน้า 0.1% ถึงแม้ว่ามันจะไม่เยอะ แต่ก็เป็นค่าตอบแทนสำหรับการทำงานหนักของเราไม่ว่ากรณีใดก็ตาม”
แค่มองปราดเดียว โม่เทียนเกอก็เห็นแล้วว่าชายชราคนนี้ไม่ได้พูดความจริง ผลประโยชน์นั้นต้องไม่ใช่เรื่องที่เขาบอกนางแน่นอน ถึงอย่างนั้น โม่เทียนเกอก็ขี้เกียจเกินกว่าจะมาขุดคุ้ยในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นางยังคงใช้เวลาอย่างช้าๆ ในการตรวจดูรายการสินค้าที่จะมีวางขาย
พอเห็นว่านางทำตัวแบบนี้ ชายชรารู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาเล็กน้อย เขาอดที่จะถามไม่ได้ว่า “ท่านสหายนักพรต ท่านอยากไปหรือไม่”
หลังจากอ่านรายการทั้งหมด โม่เทียนเกอพูดพร้อมกับยิ้มให้ “ข้าจะไปดูสักหน่อย คงไม่เป็นอะไรถ้าข้าจะไม่ซื้ออะไรใช่ไหม”
ในที่สุดชายชราก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกเมื่อเขาได้ยินคำตอบของนาง เขายิ้มและพยักหน้า “ท่านแค่ต้องจ่ายศิลาวิญญาณสองอันเพื่อเป็นค่าเข้าและก็ถือว่าเป็นอันเสร็จขอรับ”
“ศิลาวิญญาณสองอันรึ”
ชายชราเผยรอยยิ้มค่อนข้างเจ้าเล่ห์ของเขาอีกครั้ง เขากล่าวว่า “ท่านสหายนักพรต ได้โปรดอย่าบอกว่าท่านไม่สามารถจ่ายได้เลย ตาเฒ่าคนนี้มีสายตาที่ค่อนข้างดีในการมองคนนะขอรับ แม้ว่าท่านสหายนักพรตจะไม่ได้ดูร่ำรวยมหาศาล แต่ท่านก็น่าจะมีทรัพย์สินและสมบัติจำนวนหนึ่ง อีกอย่าง ด้วยสินค้าคุณภาพดีตั้งมากมาย ศิลาวิญญาณสองอันไม่ได้แพงอะไรเลยถึงแม้ท่านจะไปที่นั่นแค่เพื่อดูความคึกคักของที่จัดงานก็ตามที”
ในเมื่อนางปกปิดตัวตนของนางในเมืองนี้มาโดยตลอด ชายชราคนนี้จึงจัดว่ามีสายตาแหลมคมมาก โม่เทียนเกอพยักหน้าและยิ้มก่อนจะตอบว่า “ตกลง ขอบคุณมาก แล้วงานรวมตลาดจะเริ่มเมื่อไหร่หรือ ต้องใช้รหัสผ่านอะไรหรือไม่”
พอได้ยินคำถาม ชายชราจึงหยิบแผ่นไม้จารึกออกมาและมอบให้นาง
โม่เทียนเกอรับแผ่นจารึกมาและตรวจดู มันทำมาจากวัสดุทั่วไป ข้างหนึ่งถูกสลักด้วยคำว่า “หู” ในขณะที่อีกข้างสลักด้วยหมายเลข “หนึ่งสองห้า”
ชายชรากล่าวว่า “นี่คือหมายเลขประจำตัวของท่าน ในงานรวมตลาดท่านสามารถซื้อของได้ก็ต่อเมื่อท่านมีแผ่นนี้อยู่ในมือเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะมีของกำนัลอยู่ด้วย ดังนั้นท่านห้ามทำแผ่นนี้หายเด็ดขาด เมื่องานรวมตลาดจบลง เผ่าหูจะรับแผ่นนี้คืนจากท่านเอง”
โม่เทียนเกอพยักหน้า
ชายชรายังคงอธิบายต่อ “งานรวมตลาดจะจัดขึ้นพรุ่งนี้เย็นเวลายามจอ เมื่อถึงเวลานั้น ถ้าท่านสหายนักพรตไปที่หอลมเย็นไม่ไกลจากที่นี่ จะมีคนเข้ามาแนะนำท่านต่อไป”
“ส่วนกฎของการซื้อขาย ท่านซื้ออะไรก็ได้ตามสบาย ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของใครมาก่อนก็ได้ไปก่อน ท่านสหายนักพรตไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะต้องเจอความขัดแย้งกับคนอื่นๆ”
โม่เทียนเกอรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก ขณะที่นางโบกกระดาษหนังสัตว์ในมือ นางก็ถามว่า “เป็นไปได้ไหมที่ข้าจะเก็บกระดาษนี้ไว้”
ชายชราตอบพร้อมกับรอยยิ้มสดใส “ได้แน่นอน ในเมื่อท่านสหายนักพรตจะเข้าร่วมอยู่แล้ว กระดาษนี้จึงเป็นของท่าน แต่ช่วยกรุณาเก็บเป็นความลับด้วยนะขอรับ”
“ได้สิ ถ้าเช่นนั้น ข้าขอตัว”
ชายชราแสดงท่าผายมือและพูดว่า “เชิญขอรับ”
โม่เทียนเกอประสานมืออีกครั้งเป็นการร่ำลาชายชราและออกจากร้านค้าไป
ขณะที่นางเดินอยู่บนถนน นางยกกระดาษในมือขึ้นมาพร้อมกับยิ้มไปด้วย
ท่ามกลางรายการสิ่งของต่างๆ มีอยู่แถวหนึ่งที่สะดุดตานาง “เห็ดหลินจือสีม่วงอายุกว่าร้อยๆ ปี”