ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 84 รีบกลับไปอย่างเร่งด่วน
หญิงผู้ฝึกตนเดินนำโม่เทียนเกอไปที่มุมของห้องโถง นางผลักประตูไม้ที่ดูแสนจะธรรมดาเปิดออกและกล่าวว่า “นายท่าน เชิญเจ้าค่ะ”
โม่เทียนเกอมองดูสภาพห้อง มันเป็นเพียงห้องธรรมดาเมื่อเทียบกับห้องโถงนั้น พอเห็นว่าในห้องว่างเปล่า นางก็พยักหน้า บอกว่า “ขอบคุณ”
หญิงผู้ฝึกตนยังคงมีกิริยาท่าทางนอบน้อม นางโค้งคำนับก่อนจะถอยออกไป
หลังจากประตูปิดก็เหลือนางอยู่เพียงคนเดียวในห้อง โม่เทียนเกอถอนหายใจอย่างโล่งอก นางเห็นว่ามีเก้าอี้ยาวจึงนั่งลงและเช็ดหน้าอย่างค่อนข้างอ่อนล้า
อันที่จริง ไม่สำคัญด้วยซ้ำว่าเจียงเฉิงเสียนเห็นนางหรือไม่ จากตั้งแต่แรกมาจนถึงตอนนี้ เขาไม่รู้ตัวว่านางเห็นเขาขโมยยาวิเศษมา แต่มันก็แค่เพราะตัวนางเองรู้สึกไม่สบายใจและจะรู้สึกดีกว่าถ้าเขาไม่เห็นนาง เพราะอย่างนั้นนางจึงพยายามเลี่ยงความเป็นไปได้ของเหตุการณ์อะไรก็ตามที่อาจจะเกิดขึ้น
หลังจากนางตรวจดูกระเป๋าเอกภพของตัวเองเพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าที่เพิ่งซื้อมาใหม่ยังคงอยู่ข้างใน นางหลับตาลงทันทีและเริ่มทำสมาธิเพื่อปรับลมปราณของนาง
สองชั่วโมงผ่านไปโดยเร็ว เมื่อนางลืมตาอีกครั้ง หญิงผู้ฝึกตนคนที่พานางเข้ามาในห้องก็เปิดประตูเข้ามาและพูดด้วยความเคารพว่า “นายท่าน งานรวมตลาดจบลงแล้วเจ้าค่ะ เชิญท่านออกไปได้”
โม่เทียนเกอพูดว่า “ข้ารู้ ข้าจะออกไปเมื่อข้างนอกมีคนน้อยลงแล้ว”
เหตุผลของนางเป็นเรื่องปกติ หญิงผู้ฝึกตนจึงตอบว่า “เจ้าค่ะ ใช้เวลาได้ตามสบายเจ้าค่ะ”
หลังจากประมาณสิบห้านาทีผ่านไป โม่เทียนเกอสันนิษฐานว่าคงไม่มีคนเหลืออยู่ในห้องโถงมากแล้ว นางจึงออกมาจากห้อง
แน่นอนว่าพวกคนที่ยังเหลืออยู่ในห้องโถงมีเพียงหญิงผู้ฝึกตน ภายใต้คำสั่งของคนงานหลายคน พวกนางกำลังเก็บกวาดของต่างๆ
หลังจากกวาดสายตามองไปทั่วห้องโถงและไม่เห็นเจียงเฉิงเสียน นางจึงเดินอาดๆ ออกจากหอลมเย็นของเผ่าหู จากนั้นนางแอบเดินทางกลับไปยังกระท่อมที่เช่าไว้
เหตุการณ์วันนี้ทำให้นางตระหนักว่าวิชามายาแปลงกายนั้นสำคัญมาก หากมิใช่เพราะวิชามายาแปลงกายของนางแย่มาก นางก็คงไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ เช่นนี้
ถึงอย่างนั้น พอนางคิดถึงผลงานของวันนี้ ก็ยากที่นางจะข่มความตื่นเต้นเอาไว้ได้ เห็ดหลินจือสีม่วงไม่ใช่ของที่จะหากันได้ง่ายๆ แต่ต้นเฟิร์นอินทรีดำนั้นค่อนข้างธรรมดาสามัญ หลังจากนางกลับไปที่บ้าน นางก็คงจะสามารถหามันมาครอบครองได้อย่างง่ายดายตราบใดที่นางถามร้านค้าของสำนักให้ซื้อให้ในนามของนาง
นางล้มตัวลงนอนอย่างอารมณ์ดี อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไปสักพัก จู่ๆ นางก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดมาจากตรงหน้าอก นางนิ่วหน้าขณะที่ครุ่นคิดถึงสาเหตุของความเจ็บปวดนี้ แต่ในวินาทีถัดมา นางก็ต้องตัวซีดเผือดด้วยความหวาดกลัวและรีบคว้าเอาแผ่นจารึกชีวิตของท่านอารองออกมาซึ่งนางใส่ติดตัวอยู่ตลอด แน่นอนว่าสีแดงเข้มตามเดิมของแผ่นหยกจารึกดูค่อนข้างจางลงเกือบจะกลายเป็นสีชมพู ท่านอารอง! ท่านอารองเป็น…
นางดูซีดเซียวอย่างมาก โม่เทียนเกอลุกขึ้นและเก็บข้าวของ โดยไม่มีการหยุดพักแม้แต่น้อย ในเวลาเพียงไม่นานนางก็เปิดประตูและก้าวออกไป รีบออกจากม่านพลังอย่างไม่คิดชีวิต
การเปลี่ยนสีของแผ่นจารึกชีวิตบ่งบอกว่าอาการบาดเจ็บของท่านอารองกำลังรุนแรงยิ่งขึ้น! เหมือนเช่นที่นางคิดไว้ก่อนหน้านี้ ท่านอารองแค่พยายามจะปลอบใจนาง! อาการของเขาไม่ดีขึ้นอย่างแน่นอน แต่เขาก็ยังดื้อดึงอยากจะให้นางออกเดินทางไปท่องเที่ยว นี่ยังไม่ถึงสองเดือนด้วยซ้ำแต่เขากลับ… ต่อให้นางรีบเร่งกลับไปอย่างสุดพลัง นางก็ยังต้องใช้เวลามากกว่าสิบวันกว่าจะไปถึงที่นั่น นางไม่รู้เลยว่าท่านอารองจะสามารถอดทนอยู่จนถึงเวลาที่นางกลับไปได้หรือไม่
จิตใจนางร้อนรุ่มไปด้วยความกังวล โม่เทียนเกอใช้ความพยายามทั้งหมดที่มีรีบกลับไปยังเขาอวิ๋นอู้ ตลอดทางนางไม่แม้แต่จะหยุดพักเลยสักจุดเดียว แม้เมื่อพลังวิญญาณของนางหมดสิ้น นางก็กินยาครอบจักรวาลเข้าไปแทนการหยุดพัก บางครั้งบางคราวนางก็จะดูแผ่นจารึกชีวิต โชคดีที่สีของแผ่นจารึกชีวิตยังไม่อ่อนลงไปมากกว่าเดิม
สิบวันให้หลัง โม่เทียนเกอพุ่งเข้าไปในสนามหญ้าเล็กๆ ที่ท่านอารองอาศัยอยู่ นางตะโกนเรียก “ท่านอารอง!”
เมื่อไม่ได้ยินเสียงใดอยู่ข้างใน โม่เทียนเกอรีบเข้าไปในห้อง ในไม่ช้า สีผิวของนางกลับซีดเผือดอย่างน่ากลัว
ท่านอารองนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง
โม่เทียนเกอรีบก้าวเข้าไปหาเขาเพื่อจับชีพจร
เขายังมีชีวิตอยู่แต่พลังวิญญาณของเขาดูวุ่นวายมาก พอรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย นางจึงหยิบยาอนุคืนสภาพมาและป้อนให้ท่านอารอง
เพราะว่านางเป็นกังวลอย่างมาก นางจึงไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด อาจจะเป็นเพียงแค่ชั่วขณะหนึ่ง หรืออาจจะเป็นเวลานานมากๆ แล้ว ในที่สุดท่านอารองก็ส่งเสียงออกมาเบาๆ
“ท่านอารอง!” โม่เทียนเกอร้องเรียก
เยี่ยเจียงลืมตาและพยายามอย่างหนักที่จะยิ้มให้ ด้วยความยากลำบาก ในที่สุดเขาก็สามารถเค้นคำพูดออกมาได้สองคำ “ยาวิเศษ…”
โม่เทียนเกอรีบไปหยิบยาอนุคืนสภาพทั้งหมดที่นางมีออกมาจากในกระเป๋าเอกภพและถามว่า “ท่านอารอง ท่านหมายถึงยาพวกนี้หรือ”
เยี่ยเจียงพยักหน้า เมื่อนางป้อนยาทั้งหมดนั้นให้กับเขา เขาลุกขึ้นนั่งได้ด้วยการช่วยเหลือของนางและเริ่มปรับลมปราณของตัวเอง
ครั้งนี้เขาต้องใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ ในการฟื้นตัว
ท้องฟ้ามืดลงและสว่างขึ้นอีกครั้ง เมื่อสีผิวของท่านอารองค่อยๆ ดีขึ้น ในที่สุดเขาจึงลืมตาขึ้นมา
ขณะนี้ท่านอารองพ้นขีดอันตรายแล้ว ความเครียดของโม่เทียนเกอซึ่งตึงเครียดมาหนึ่งวันเต็มจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลงได้ อย่างไรก็ตาม นางยังคงถามอย่างเป็นกังวล “ท่านอารอง รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”
เยี่ยเจียงส่ายหน้าและตอบว่า “ข้าสบายดี”
เมื่อเห็นว่าสีผิวของท่านอารองยังดูซีดเซียว โม่เทียนเกอถามด้วยความห่วงใย “ท่านสภาพเป็นแบบนี้แต่ยังบอกว่าตัวเองสบายดีงั้นรึ ท่านอารอง บอกข้ามาตามตรง เกิดอะไรขึ้นหรือ”
เยี่ยเจียงยิ้มปลอบใจนาง “ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ ข้าลืมไปว่าข้ากินยาอนุคืนสภาพไปจนหมดแล้วและบาดแผลก็แย่ลง พอไม่มียาอยู่พักหนึ่ง ร่างกายของข้าก็เลยทนไม่ไหวจึงเกิดอุบัติเหตุขึ้น” หลังจากเขาอธิบายจบ เขาจ้องมองนางด้วยความเป็นห่วงและถามว่า “เสี่ยวเทียน เจ้ากลับมาเพราะข้าหรือ เป็นความผิดของข้าเองที่เลินเล่อ สร้างแต่ปัญหาให้กับเจ้า…”
โม่เทียนเกอรีบส่ายหน้าทันที “ไม่สำคัญหรอก ข้าเจออะไรบางอย่างที่จะมีประโยชน์อย่างมากเมื่อข้าสร้างฐานแห่งพลังของตัวเองและข้าก็กำลังจะกลับอยู่พอดี ท่านอารอง ท่านไม่เป็นอะไรจริงๆ ใช่ไหม”
“ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าข้าไม่เป็นอะไร อย่ากังวลกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย แล้วเจ้าไปเจออะไรเข้ารึ?”
โม่เทียนเกอสำรวจดูท่านอารองอย่างระมัดระวัง ถึงแม้ว่าลมปราณของเขายังอ่อนแออยู่แต่ก็คงที่มากกว่าก่อนหน้านี้ เพราะอย่างนั้นนางจึงเชื่อเขาอย่างไม่เต็มใจนัก จากนั้นนางเอาสูตรยาสำหรับยาเพิ่มพลังการก่อเกิดออกมาและพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ท่านอารอง ดูนี่สิ!”
เยี่ยเจียงรับแผ่นหยกบันทึกไปด้วยความกังขา หลังจากเขาใส่จิตสัมผัสของเขาลงในหยกบันทึก สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นความประหลาดใจทันที เวลาผ่านไปนานก่อนที่เขาจะถอนใจออกมาในที่สุดและกล่าวว่า “งั้นมันก็คือยาเพิ่มพลังการก่อเกิดสินะ… เจ้าไปได้ของชิ้นนี้มาจากที่ไหน”
โม่เทียนเกอถามด้วยความประหลาดใจ “ท่านอารอง ท่านรู้จักยานี้ด้วยหรือ”
สีหน้าโหยหาถึงความหลังปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเยี่ยเจียงขณะที่เขาพูดว่า “เมื่อสองร้อยปีก่อน ยาเพิ่มพลังการก่อเกิดนี้จุดชนวนให้เกิดการนองเลือดขึ้น ผู้ฝึกตนทุกคนที่อายุมากกว่าสองร้อยปีต้องรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน”
“การนองเลือด?”
เยี่ยเจียงพยักหน้าช้าๆ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังรำลึกถึงเรื่องนี้อยู่ เขากล่าว “ในขณะนั้น อาสองยังเป็นผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณ ในขณะที่พ่อของเจ้ายังอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง และกลุ่มเรายังมีบรรพบุรุษระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่มีใครรู้ว่ายานี้ปรากฏขึ้นมาจากสถานที่ที่ผู้ฝึกตนดึกดำบรรพ์คนไหนทิ้งไว้ แต่มันก่อให้เกิดความขัดแย้งในหมู่ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่และระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังส่วนใหญ่ในขั้วท้องฟ้า”
“ตอนแรกยาถูกพบโดยผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง และการต่อสู้เพื่อที่จะได้ครอบครองยานั้นไม่มีที่สิ้นสุด ในภายหลัง ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่หลายคนมาเพื่อยุติปัญหา เป็นเพราะการต่อสู้เหล่านี้ทำให้ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังของเราบาดเจ็บและล้มตายก่อนถึงเวลาอันควร ในท้ายที่สุด สูตรยาก็สูญหายและเราไม่เคยรู้ว่าใครได้มันไป… เจ้าไปได้มันมาจากที่ไหนรึ”
โม่เทียนเกอตอบว่า “จากผู้ฝึกตนเดี่ยวระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณ ข้าก็ไปได้มันมาโดยบังเอิญเช่นกัน” หลังจากนั้นนางจึงเล่าทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ำวันนั้น
ครั้นนางเล่าจบ เยี่ยเจียงนิ่งเงียบอยู่นาน หลังจากคิดมาเป็นเวลานานแต่ก็ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ เขาจึงพูดว่า “บางทีคนผู้นั้นอาจจะแค่โชคดีก็ได้ นี่ก็ถือว่าเป็นชะตาลิขิตประเภทหนึ่งเหมือนกัน” จากนั้นเขายิ้มให้โม่เทียนเกอและพูดว่า “เสี่ยวเทียน มูลค่าของสิ่งนี้ไม่สามารถประมาณได้ ดูเหมือนว่าสวรรค์ก็จะกำลังช่วยเจ้าอยู่เหมือนกัน”
เมื่อเห็นว่าท่านอารองของนางมีความสุขมากเพียงใด โม่เทียนเกอก็รู้สึกสุขใจไปด้วย นางพูดต่อ “นอกจากนี้ข้ายังซื้อเห็ดหลินจือสีม่วงอายุหกร้อยปีที่งานรวมตลาดมาด้วย ข้านี่โชคดีเสียจริงๆ”
“อ้อ หายากนะ เห็ดหลินจือสีม่วงอายุหกร้อยปีนับว่าเป็นของหายากเลยทีเดียว”
“จริงด้วย หากไม่ใช่เพราะดวง ข้าก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานขนาดไหนก่อนที่ข้าจะมีโอกาสได้ซื้อ… จริงสิ! ท่านอารอง! ข้ากำลังคิดว่าคงจะดีถ้าข้าจะเรียนเกี่ยวกับการปรุงยา ท่านคิดว่าอย่างไรบ้าง”
เยี่ยเจียงพยักหน้า “มันเป็นการตัดสินใจของเจ้า” หลังจากเขาตอบเช่นนั้นเขาก็พูดชมนาง “การตัดสินใจของเจ้าเริ่มจะมีความคิดดีมากขึ้นเรื่อยๆ ข้าค่อยโล่งใจหน่อย”
“แต่ดูเหมือนว่าข้าจะไม่มีพรสวรรค์ในการปรุงยาเอาเสียเลย ข้าใช้วัตถุดิบไปหนึ่งร้อยส่วนเพื่อปรุงยาวิเศษระดับต่ำ แต่ได้ยาที่เสร็จสมบูรณ์ออกมาแค่หกเม็ดเท่านั้นเอง”
เยี่ยเจียงอดที่จะพูดพร้อมกับหัวเราะไปด้วยไม่ได้ “เป็นเรื่องปกติ เจ้าไม่ต้องดูถูกตัวเองนักหรอก อาจารย์ปรุงยาส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ตอนที่พวกเขาเพิ่งเริ่ม พรสวรรค์รึ คนที่มีพรสวรรค์มักจะเป็นคนส่วนน้อยเท่านั้นล่ะ คนที่ไม่ย่อท้อต่างหากคือผู้เชี่ยวชาญ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเถอะ เจ้ายังเด็กนัก ยังมีเวลาอีกมากกว่าร้อยปีให้เจ้าได้ใช้อย่างเรื่อยเปื่อย”
“ข้าเข้าใจ” โม่เทียนเกอลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามเขาอีกครั้ง “ท่านอารอง อาการบาดเจ็บของท่าน…”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่สามารถปิดบังนางได้ สุดท้ายเยี่ยเจียงก็ถอนหายใจและกล่าวว่า “ก็ได้ อาสองจะบอกความจริงกับเจ้า อาการของข้าที่จริงไม่ดีเท่าไหร่…ก่อนที่เจ้าจะกลับมา ข้าสลบนานเกินไป บาดแผลของข้าจึงยิ่งรุนแรงมากขึ้น ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว แค่อยู่กับข้าผ่านช่วงเวลาสุดท้ายของข้าไปก็พอ…”