ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 85 กับดัก
โม่เทียนเกอนั่งพิงอยู่กับโต๊ะขณะที่กำลังชงชา ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง
ความหมายของคำพูดที่ท่านอารองบอกนางในวันที่นางกลับมานั้นเข้าใจได้อย่างง่ายดาย ในช่วงวันที่ผ่านมานางว้าวุ่นใจ จิตใจของนางเอาแต่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลากลับไปกลับมา
ในวันนั้นท่านอารองบอกว่านางยังเหลือเวลาอีกหนึ่งร้อยปีที่สามารถใช้อย่างเรื่อยเปื่อยได้… ท่านอารองผู้ซึ่งเป็นคนที่คอยบังคับนางให้ฝึกตนอยู่ตลอดเวลา ได้พูดในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อนี้กับนาง! มันชัดเจนมากทีเดียวว่าสถานการณ์ของเขานั้นแย่ขนาดไหน ท่านอารองได้คิดว่าตัวเขานั้นได้ตายไปแล้ว
ทุกวันนี้นางเลิกตั้งคำถามไปแล้วว่านางจะทำอย่างไรหากท่านอารองตาย หลังจากที่นางเห็นอารมณ์ที่สงบของเขา นางก็ทำใจไว้แล้ว นางจะปล่อยให้ท่านอารองผู้ซึ่งเป็นห่วงนางมาตลอดสิบปีได้พักผ่อนอย่างไร้กังวล
เพียงแต่… นางยังคงรู้สึกเศร้าเมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่เขาจะจากไป
เมื่อใบชาที่อยู่ในกาน้ำชานั้นคลายตัวออก สีของน้ำก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียวจางๆ หลังจากที่นางจัดการตัวเองเรียบร้อย โม่เทียนเกอรินน้ำชาใส่ถ้วยพร้อมยื่นให้กับท่านอารอง “ท่านอารอง จิบชาก่อน” ในชาถ้วยนี้นางใส่พืชวิญญาณเพิ่มพลังใจและสงบจิตลงไว้ด้วย นางหวังว่าการดื่มชาถ้วยนี้จะช่วยให้พลังวิญญาณของท่านอารองดีขึ้น
เยี่ยเจียงดูแก่ชรามากแล้วตอนนี้ ความจริงแล้วถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนจะเข้าสู่ช่วงเวลาสุดท้ายแห่งชีวิต พวกเขาก็จะยังสามารถคงไว้ซึ่งความอ่อนเยาว์ภายนอกได้ พวกเขาจะไม่มีรอยเ**่ยวย่นเหมือนคนที่โลกมนุษย์ สาเหตุที่เยี่ยเจียงดูแก่ลงเช่นนี้เป็นเพราะอาการบาดเจ็บที่ยังคงอยู่ในร่างกายของเขา
พลังวิญญาณของเขาดูดีขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่ดื่มชา “เสี่ยวเทียน ล่าสุดเจ้าบอกว่าพลังวิญญาณภายในร่างกายของเจ้าเปลี่ยนแปลงไปใช่ไหม”
โม่เทียนเกอพยักหน้า “ใช่ มันแปลกมาก พลังวิญญาณมืดค่อยๆ เติบโตในตานเถียนของข้า พลังวิญญาณชนิดอื่นถูกดูดกลืนและเปลี่ยนเป็นความมืด ข้าไม่มั่นใจว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นข้าจึงไม่กล้าที่จะฝึกตนต่อ”
เยี่ยเจียงครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงพูดขึ้นอย่างช้าๆ “มันไม่เป็นอันตราย เจ้าสามารถฝึกตนต่อได้ อาสองเคยได้ยินว่าหญิงผู้ฝึกตนที่ฝึกตนด้วยวิชาการฝึกตนที่ไม่ธรรมดาจะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางพลังวิญญาณ น่าจะเป็นไปได้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะวิชาการฝึกตนของพวกเขาเอนเอียงไปทางด้านพลังแห่งหยินมากกว่า”
“ในสถานการณ์ของเจ้าน่าจะเป็นเพราะเอกลักษณ์เฉพาะของวิชาฝึกตนที่เจ้าใช้ แต่เพราะก่อนหน้านี้ระดับการฝึกตนของเจ้ายังไม่สูงมากพอ พลังวิญญาณของเจ้าจึงไม่สามารถแปรสภาพให้เป็นพลังหยินบริสุทธิ์ได้ ตอนนี้เจ้าอยู่ขั้นสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณและระดับการฝึกตนของเจ้าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นต่อพลังวิญญาณภายในร่างกายของเจ้า”
“การเปลี่ยนแปลงนี้คงเกิดจากการเร่งภายในตานเถียนของเจ้าในการเตรียมตัวสำหรับกระบวนการสร้างฐานแห่งพลัง ดังนั้นเจ้าควรฝึกตนต่อไป เมื่อพลังวิญญาณทั้งหมดของเจ้าเปลี่ยนแปลงไป เจ้าก็สามารถเริ่มสร้างฐานแห่งพลังได้”
โม่เทียนเกอดีใจที่ได้รับคำตอบนี้ นางพูด “แบบนี้แสดงว่าโอกาสที่ข้าจะประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างนั้นหรือ”
เยี่ยเจียงพยักหน้าพร้อมกล่าวว่า “ควรจะเป็นเช่นนั้น” หลังจากที่คิดระยะหนึ่ง เขาพูดอีกครั้ง “ทำไมเจ้าไม่เดินทางกลับไปที่สำนักล่ะ เจ้าไม่จำเป็นต้องไปถามใคร แค่ไปที่ที่สำนักเก็บพวกตำราและบันทึกเอาไว้ แล้วลองไปหาคำตอบจากที่นั่นดู”
“อือ ข้ารู้”
“เจ้าควรรีบไปเสียแต่ตอนนี้ วันนี้อาสองรู้สึกสุขภาพดีทีเดียว”
“นี่…”
“ไปซะ ถ้าเจ้าไม่รีบไปเสียแต่ตอนนี้ มันอาจจะต้องใช้เวลาอีกนานกว่าเจ้าจะมีโอกาสได้ไปอีกครั้ง”
โม่เทียนเกอเข้าใจในความหมายนี้ ท่านอารองกังวลว่าอาการบาดเจ็บของเขาจะกำเริบขึ้นอีกครั้งและเมื่อเกิดขึ้น นางอาจจะไม่มีโอกาสที่จะออกเดินทางไป ดังนั้นนางจึงไม่กล้าที่จะปฏิเสธและพูด “ตกลง ท่านอารอง ท่านต้องดูแลตัวเองดีๆ นะ”
ชั่วโมงถัดมา โม่เทียนเกอเดินทางมาถึงที่สำนักอวิ๋นอู้
นางไปที่โถงคนงานเป็นอันดับแรกเพื่อแจ้งสำนักถึงการกลับมาของนาง หลังจากนั้นนางจึงกลับไปที่บ้านพัก
ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมกับตอนที่นางจากไป เจียงซั่งหังยังคงเก็บตัวอยู่ในห้องเพื่อฝึกตน สำหรับฉินซีและหลิ่วอีเตา คนหนึ่งยังคงปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ ในขณะที่อีกคนหนึ่ง จากที่ได้ยินรายงานมา ได้เข้าไปที่ถ้ำเซียนที่ใช้ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิโดยเฉพาะ โอ้ ส่วนศิษย์พี่โจวประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังเรียบร้อยแล้วและได้กลายเป็นอาจารย์ลุงโจว!
เมื่อได้ยินข่าวนี้ โม่เทียนเกอรู้สึกยินดีกับเขามาก ถึงแม้ว่าอาจารย์ลุงโจวดูเหมือนไม่ค่อยได้ใส่ใจใครในตอนต้น แต่ความเป็นจริงแล้วเขาเป็นคนที่ดี ถ้าสหายศิษย์ที่อาศัยอยู่ในสวนแห่งนี้มีคำถาม เขามักจะตอบด้วยความจริงใจเสมอ
อีกอย่าง นางมีความสุขเมื่อตอนที่นางอาศัยอยู่ที่นี่ซึ่งต้องขอบคุณความดูแลของเขา ตลอดเวลาสองปีที่นางปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ นางไม่ต้องทำงานกิจธุระอะไรเพราะอาจารย์ลุงโจวอธิบายถึงสถานการณ์ของนางให้กับโถงคนงานฟังด้วยตัวของเขาเอง
เพราะเหตุนี้โม่เทียนเกอจึงครุ่นคิดว่านางควรไปแสดงความยินดีกับเขาหรือไม่ ท้ายที่สุด นางตัดสินใจว่าคงจะดีกว่าถ้าให้ใครสักคนช่วยส่งข่าวให้กับนาง และนางค่อยไปด้วยตัวเองหลังจากเสร็จธุระแล้ว อย่างไรเสีย อาจารย์ลุงโจวก็อาศัยอยู่ที่ยอดเขาทิศเหนือในตอนนี้ มันไม่ค่อยสะดวกกับนางในการที่จะเดินทางไปที่นั่นเท่าไหร่นัก
ขณะที่นางกำลังจะไปที่หอหมื่นบัญญัติ เสียงของใครบางคนจากด้านนอกกำลังเรียกนาง “ศิษย์น้องเยี่ย ศิษย์น้องเยี่ยเสี่ยวเทียนอยู่ที่นี่หรือไม่”
โม่เทียนเกอเปิดประตูห้องและเห็นศิษย์ผู้ชายหน้าตาคุ้นหน้ากำลังยืนอยู่ที่ห้องนั่งเล่น “ศิษย์พี่ มีอะไรหรือ”
เมื่อคนนั้นเห็นนาง เขายิ้มพร้อมพูดว่า “เจ้าคือศิษย์น้องเยี่ย?”
โม่เทียนเกอพยักหน้า “ข้าเอง”
เขาพิจารณานางตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาที่จ้องมองของเขาทำให้นางรู้สึกอึดอัด
หลังจากนั้นเขาพูด “อาจารย์ลุงโจวส่งข้ามาที่นี่ ท่านได้ยินว่าเจ้ากลับมาแล้ว และต้องการที่จะพบเจ้า”
“หืม?” โม่เทียนเกอพูด “ข้าเพิ่งขอให้ศิษย์พี่จากยอดเขาทิศเหนือส่งข้อความถึงเขา นี่เขาได้รับข้อความแล้วหรือ”
คนผู้นั้นสะดุ้งเล็กน้อย “นี่… ข้าเองก็ไม่รู้แต่… อาจารย์ลุงโจวแค่บอกให้ข้ามาส่งข้อความให้”
“อย่างนั้นหรอกหรือ… ขอบคุณศิษย์พี่มาก ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
คนผู้นั้นตอบ “ข้าจะพาเจ้าไปที่นั่นเอง ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่รู้ว่าอาจารย์ลุงโจวอยู่ที่ไหน”
ในเมื่อคนผู้นั้นมีเจตนาที่ดี โม่เทียนเกอจึงบอกว่า “งั้นข้าคงต้องขอขอบคุณศิษย์พี่อีกครั้ง”
“ไม่ต้องเกรงใจไป ไปกันเถอะ”
เมื่อพวกเขาเดินออกไปจากสวน โม่เทียนเกอถาม “ข้าขอถามแซ่ของศิษย์พี่ได้หรือไม่”
ผู้นั้นรีบเดินอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินคำถามของนาง เขาไม่ได้หันกลับมาเมื่อเขาตอบว่า “แซ่ของข้าคืออู๋”
“โอ้ ศิษย์พี่อู๋ ศิษย์พี่เป็นศิษย์จากยอดเขาทิศเหนือเช่นกันหรือ”
คำถามของนางทำให้ศิษย์พี่อู๋รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อยและฝีเท้าของเขาก็ช้าลง เขาตอบ “ใช่แล้ว อาจารย์ของข้าชื่อชิงอวี่ เจ้าน่าจะจำท่านได้”
“อ้อ ท่านคือศิษย์ของอาจารย์ลุงชิงอวี่นั่นเอง! ข้าอยากจะเจอท่านมาตั้งนาน” โม่เทียนเกอยกยอเขาอย่างสุภาพ ศิษย์พี่อู๋เชิดคางขึ้นอย่างพอใจ ทำให้โม่เทียนเกอต้องกลั้นหัวเราะทีเดียว
ความจริงแล้วที่โม่เทียนเกอพูดว่า “ข้าอยากจะเจอท่านมาตั้งนานแล้ว” เพราะในฐานะศิษย์ของอาจารย์ลุงระดับการสร้างฐานแห่งพลัง ศิษย์พี่อู๋ควรจะเป็นศิษย์พิเศษด้วยระดับขั้นการฝึกตนที่ล้ำลึก ทั้งๆ ที่อายุเขาก็ประมาณสามสิบแล้ว แต่ระดับการฝึกตนของเขายังคงอยู่แค่ระดับเจ็ดของดินแดนแห่งการหลอมรวมพลังวิญญาณเท่านั้น…
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดเลย หลังจากที่ได้เห็นศิษย์พี่อู๋เรียกนางว่า “ศิษย์น้อง” ทั้งที่มีระดับการฝึกตนอยู่ระดับเจ็ดของดินแดนแห่งการหลอมรวมพลังวิญญาณเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าเขาต้องมีคนที่คอยหนุนหลังอยู่แน่นอน
นางมักจะไม่พูดสิ่งที่คิดออกมา เมื่อเห็นปฏิกิริยาของศิษย์พี่อู๋ นางรู้ว่าเขาเป็นคนที่รักในชื่อเสียงของเขา ถ้านางพูดสิ่งที่เป็นด้านลบและเขาได้ยินมัน พวกเขาคงจะต้องแตกหักกันอย่างแน่นอน
เดินไปสักระยะหนึ่งโม่เทียนเกอก็ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “ศิษย์พี่อู๋ นี่เรากำลังไปในเส้นทางไหน ทางนี้ไปที่ยอดเขาทิศเหนือแน่หรือ”
ศิษย์พี่อู๋เดินด้วยความเร็วขั้นสุด เขาตอบโดยที่ไม่หันหลังกลับ “อาจารย์ลุงโจวมาจัดการธุระอยู่ที่ยอดเขาทิศใต้ เร็วรีบไป!”
โม่เทียนเกอขมวดคิ้วและตามเขาไปในอีกทิศทางหนึ่ง เมื่อนางเห็นว่าเส้นทางนั้นเริ่มเปลี่ยวไร้ผู้คนและนี่เป็นเส้นทางที่ไม่เคยผ่านมาก่อน นางหยุดทันทีและเรียก “ศิษย์พี่อู๋!”
ศิษย์พี่อู๋ไม่แม้แต่จะตอบสนอง หลังจากที่เขาก้าวเดินไปอีกหลายก้าวและพบว่านางไม่ได้ตามมา เขาจึงหันกลับถามด้วยความรำคาญ “นั่นเจ้าทำอะไร”
โม่เทียนเกอสำรวจรอบด้านก่อนที่จะจ้องมองเขาอย่างระแวง นางพูด “ศิษย์พี่อู๋ ท่านจะพาข้าไปที่ไหน”
เมื่อเขาได้ยินคำถามนาง แววตาเขาก็หรี่ลง เขาพูดด้วยความตะกุกตะกัก “ไม่ได้พาไปที่ไหน…”
เมื่อเห็นท่าทางของเขา โม่เทียนเกอก็รู้สึกชัดเจนขึ้นมาในทันทีว่ามีสิ่งที่ผิดปกติเกิดขึ้น ทันใดนั้น นางไม่สนใจอีกต่อไปว่าเขาเป็นศิษย์พิเศษหรือไม่ นางหยิบเครื่องมือวิญญาณออกมาเพื่อกันไว้ก่อนและพูดด้วยเสียงที่เยือกเย็นว่า “ศิษย์พี่อู๋ ท่านคิดว่าข้าโง่นักหรือ ถ้าพวกเรายังคงเดินต่อไปในถนนเส้นนี้ พวกเราก็จะไปถึงหน้าผา อาจารย์ลุงโจวจะพบข้าที่หน้าผาอย่างนั้นหรือ”
เมื่อเห็นว่าเจตนาแอบแฝงของเขาถูกจับได้แล้ว เขาชำเลืองมองข้างทาง กัดฟันแน่นและพูดด้วยเสียงอันดัง “ศิษย์น้องอยากจะกลับไปตอนนี้น่ะหรือ สายไปเสียแล้ว!”
โม่เทียนเกอยิ้มอย่างเย้ยหยัน “ศิษย์พี่อู๋ มีแค่ท่านเพียงคนเดียว แล้วต้องการที่จะหยุดข้าน่ะหรือ”
คนผู้นี้ไม่ได้คาดคิดว่าในการต่อสู้นางจะไม่ได้คิดว่าเขาเป็นคู่ต่อสู้เลยแม้แต่น้อย เขาพูดอย่างตะกุกตะกักอีกครั้ง “ศิษย์น้องเยี่ย ใจเย็นๆ … ไม่จำเป็นที่จะต้องสู้กัน…”
โม่เทียนเกอประหลาดใจเมื่อเห็นท่าทางของเขา ไม่ว่าอะไรก็ตามคนผู้นี้คือศิษย์ชั้นหัวกะทิ เขาจะเป็นคนที่ขี้ขลาดแบบนั้นได้อย่างไร
นางรู้ทันทีว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง ดังนั้นทำไมนางจึงจะต้องตามเขาไปด้วย? อีกอย่าง คนผู้นี้คือศิษย์ชั้นหัวกะทิ การโจมตีเขาจะทำให้นางลำบาก ดังนั้นนางจึงหันกลับและเดินจากมาโดยที่ไม่พูดอะไรอีก
“ศิษย์น้องเยี่ย!”
โม่เทียนเกอไม่ตอบ
ไม่นานนัก การผันผวนของพลังวิญญาณเกิดขึ้นทางด้านหลังนาง ด้วยการตอบสนองอย่างรวดเร็วนางหลบออกจากทาง ทันใดนั้นร่างกายของนางก็เย็นไปด้วยเหงื่อ
สิ่งที่มุ่งตรงมาหานางความจริงแล้วเป็นเครื่องรางระดับสูงเรียกว่า “น้ำแข็งแห่งมหาสมุทรสีฟ้า!” ถ้าสิ่งนั้นติดที่ตัวนาง นางคงจะถูกแช่แข็งในทันทีและทำได้เพียงแค่มองตัวเองถูกเหยียบย่ำเป็นแน่
สุดท้ายแล้ว ศิษย์พี่อู๋ต้องการที่จะทำอะไร!
เมื่อเห็นว่านางมองเขาด้วยสายตาที่ดุร้าย ความกลัวปรากฏขึ้นบนสีหน้าของศิษย์พี่อู๋ แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นความโกรธ ในที่สุดเขาก็หยิบเครื่องรางอีกอันออกมา
เครื่องรางระดับสูงไม่ใช่ราคาถูกๆ และยังแข็งแกร่งมาก เครื่องรางทั่วไปที่มีจำนวนมากก็ไม่ได้ง่ายที่จะต่อกรด้วย ในการต่อสู้ทางด้านพลังเวทก่อนหน้านี้ของนาง โม่เทียนเกอพยายามเลี่ยงที่จะปะทะโดยตรงกับเครื่องรางของคู่ต่อสู้ ปกตินางจะแก้ปัญหาการต่อสู้ก่อนที่คู่ต่อสู้ของนางจะมีโอกาสหยิบเครื่องรางออกมา ในตอนนี้อย่างไรก็ตามเนื่องจากนางไม่เต็มใจที่จะสู้ โอกาสนั้นจึงถูกช่วงชิงไปโดยศิษย์พี่อู๋
“ศิษย์พี่อู๋” โม่เทียนเกอพูดอย่างเยือกเย็น “ท่านทำอย่างนี้ทำไม ข้าเชื่อว่าข้ามิได้ทำให้ท่านขุ่นเคือง มิใช่หรือ”
ในขณะนี้ อีกเสียงหนึ่งที่ฟังมีอำนาจมากตอบ “เจ้าไม่ได้ทำให้เขาขุ่นเคือง แต่เป็นข้า!”
เมื่อโม่เทียนเกอหันกลับและเห็นคนผู้นั้น นางตกใจเป็นอย่างมาก
ไม่ไกลจากนางนัก บนเส้นทางเล็กๆ ที่พาไปถึงหุบเขา ชายคนหนึ่งกำลังเดินมาหานาง
เจียงเฉิงเสียน!
สีหน้านางเปลี่ยนไป ความคิดของนางเคลื่อนที่ไวกว่าแสง ความคิดแรกของนางคือสูตรยาเพิ่มพลังการก่อเกิดที่เจียงเฉิงเสียนไม่ได้ไปเพราะการที่เขาประมาทนั้นถูกพบเข้าแล้ว อย่างไรก็ตาม นางยังคงสงสัยอยู่ว่าเขารู้ได้อย่างไรว่านางมีมันอยู่ ถัดไป นางคิดว่าเจียงเฉิงเสียนซ่อนตัวอยู่ที่จุดนี้ได้อย่างไร แต่นางไม่สามารถสัมผัสถึงเขาได้เลยจนเขาเดินเข้ามาใกล้นาง เขาจะต้องใช้วิชาซ่อนลมปราณแน่นอน ถ้าอย่างนั้นเขาคงจะต้องเตรียมตัวอยู่นานเพื่อที่จะดวลกับนาง
หากนางฆ่าเจียงเฉิงเสียน นางจะยังมีที่ยืนอยู่ในเขาอวิ๋นอู้นี้อีกหรือไม่ หัวหน้าสำนักย่อยเจียงแห่งเขาอวิ๋นอู้คงจะกินนางทั้งเป็น… ผิดแล้ว สำหรับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังของกลุ่มเจียง นี่เขาต้องใช้วิธีนั้นเพื่อจัดการนางเชียวหรือ นางเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณตัวเล็กๆ เท่านั้น สำหรับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังนางไม่ได้มีค่าอะไรน้องจากมดตัวเล็กๆ ที่สามารถตายได้เพียงแค่การบี้ครั้งเดียว
อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้มีเวลาให้นางคิดมากนัก นางล้วงมือเขาไปในกระเป๋าเอกภพและในวินาทีถัดมาแผ่นม่านพลังและธงม่านพลังก็ลอยออกมามากมาย
เจียงเฉิงเสียนเยาะเย้ยด้วยเสียง “ฮึ่ม” และหันไปทางศิษย์พี่อู๋ เขาพูดด้วยความโกรธ “ไร้ประโยชน์สิ้นดี! แค่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังทำไม่ได้! ไปคอยระวังไว้!”
ด้านหน้าของเจียงเฉิงเสียน ศิษย์พี่อู๋รีบก้มหน้าอย่างนอบน้อม “รับทราบขอรับ ศิษย์พี่เจียง”
โม่เทียนเกออดที่จะแค่นหัวเราะอย่างเย็นชาไม่ได้ สรุปแล้วศิษย์พี่อู๋ก็คือขี้ข้าของเจียงเฉิงเสียนนั่นเอง ไม่แปลกใจเลยที่เขาช่างเป็นคนขี้ขลาด!
เมื่อศิษย์พี่อู๋เดินออกไปไกล เจียงเฉิงเสียนก็หันกลับมาพิจารณาม่านพลังชีวิตและความตายห้าธาตุที่โม่เทียนเกอรีบวางไว้ สีหน้าเย้ยหยันปรากฏขึ้นที่หน้าของเขาขณะที่พูดว่า “ต้องการที่จะใช้ม่านพลังต่อสู้กับข้างั้นหรือ ฮึ่ม!”
โม่เทียนเกอนึกขึ้นได้ทันทีว่าเจียงเฉิงเสียนมีกระจกทลายสวรรค์อยู่ในมือ มันเป็นอาวุธวิเศษที่สามารถทำลายม่านพลังได้!
ในขณะนั้น เจียงเฉิงเสียนก็หยิบกระจกออกมาจริงๆ ลำแสงสีเขียวสะท้อนออกมาจากกระจกและตกกระทบบนแผ่นม่านพลังของนา
“ตูม! แผ่นม่านพลังของนางระเบิดออก!
ม่านพลังนี้ถูกปรับปรุงและวางอย่างเร่งรีบ ดังนั้นมันจึงมีพลังที่เปราะบางกว่าปกติ
ถึงแม้ว่าปฏิกิริยาของโม่เทียนเกอจะเปลี่ยนไป นางก็รีบสงบจิตสงบใจและพูดถากถาง “แล้วถ้าข้าใช้ม่านพลังไม่ได้ จะมีอะไรให้เกรงกลัวอีกหรือ”
“เจ้า!!!” เจียงเฉิงเสียนตะโกนอย่างโกรธแค้น เขารู้ว่านางตั้งใจเยาะเย้ยเพราะปรัชญาแห่งลัทธิเต๋าของเขานั้นไม่ได้ดีเลย
โม่เทียนเกอจ้องไปที่เขาและถามอย่างหนักแน่น “ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าข้าทำให้ศิษย์พี่เจียงขุ่นเคืองอย่างไรจึงทำให้ศิษย์พี่เจียงต้องมาวางกับดักเพื่อที่จะดวลกับข้า”
เจียงเฉิงเสียนระเบิดหัวเราะเมื่อเขาได้ยินคำถามเช่นนั้น เขาหัวเราะอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดอย่างล้อเลียน “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่แน่ใจว่าคนที่เอาสูตรยาเพิ่มพลังการก่อเกิดไปลับหลังข้าคือเจ้า แต่พอเห็นท่าทางของเจ้าตอนนี้ข้าก็รู้ได้ทันที! เจ้าจะยังหลอกตัวเองคิดว่าข้าไม่รู้อย่างนั้นหรือ”
โม่เทียนเกอไม่เชื่อในเรื่องบังเอิญนัก หากเจียงเฉิงเสียนไม่ได้มาเพราะสูตรยา นางก็คิดว่าจะสารภาพอยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงอยากจะถามเขาดูก่อน เพราะเหตุนั้น ตอนนี้นางจึงรู้ได้อย่างแน่ชัดว่าเขามาเพราะสูตรยา นางก็ไม่ได้รู้สึกผิดหวังเช่นกัน
นางตระหนักดีว่าโอกาสที่นางจะรอดในครั้งนี้ช่างน้อยเหลือเกิน แต่นางก็ยังใจเย็นอย่างไม่น่าเชื่อ นางไม่ได้นึกถึงสิ่งอื่นใดและถามเขาออกไป “เช่นนั้นหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วศิษย์พี่เจียงรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อย่างไร”