ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 86 ทำไม
โม่เทียนเกอไม่เข้าใจจริงๆ นางทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง แล้วทำไมเจ้าคนรวยที่ไม่ได้เรื่องได้ราวคนนี้ถึงรู้ได้ว่านางเป็นคนเอาไป?
ขณะนั้นเอง สายตาของเจียงเฉิงเสียนดูแปลกขึ้นในทันใด สายตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้ายทำให้นางรู้สึกราวกับเป็นปลาที่อยู่บนเขียงพร้อมที่จะถูกเขาหั่นได้ทุกเมื่อ
เมื่ออยู่ในอารมณ์เบิกบาน เจียงเฉิงเสียนจ้องมองนางและพูดว่า “เจ้ารู้ไหมว่าข้ารู้ได้อย่างไรว่าสูตรยาเพิ่มพลังการก่อเกิดอยู่ในมือนายคนนั้นน่ะ?”
โม่เทียนเกอรู้สึกค่อนข้างขยะแขยงกับสายตาที่เขามองนาง นางนิ่วหน้าและพูดว่า “ศิษย์พี่เจียง ช่วยอธิบายหน่อย”
เจียงเฉิงเสียนไม่สนใจกับทัศนคติของนาง เขาแค่พูดด้วยรอยยิ้มพึงพอใจว่า “ไม่มีปัญหาที่จะบอกเจ้าตอนนี้ ข้าน่ะโชคดีมากที่ท่านทวดส่งข้าไปที่สำนักเทียนเต้าเพื่อให้จัดการบางเรื่องและตีสนิทกับศิษย์ที่มีชื่อเสียงบางคนไว้ โดยไม่คาดคิด ทันทีหลังจากที่ข้าไปถึงหุบเขา ข้าก็เห็นชายคนนั้นที่ร้านค้า กำลังถามว่าที่ร้านมีเห็ดหลินจือสีม่วงอายุมากกวห้าร้อยปีหรือไม่ แน่นอนว่าของแบบนั้นไม่มีทางขายในร้านเล็กๆ อย่างนั้นอยู่แล้ว”
“ในตอนแรกข้าไม่ได้สนใจเขา แต่ข้าก็เจอเขาในอีกร้านหนึ่งโดยบังเอิญ เขากำลังขายยาเพิ่มพลังการก่อเกิดอยู่! ฮึ่ม! เจ้าของร้านเล็กๆ นั้นไม่มีประสบการณ์และไม่รู้คุณค่าของสิ่งต่างๆ แต่ข้ารู้ว่ายาเพิ่มพลังการก่อเกิดคืออะไร ในตอนหลัง ข้าจึงบอกศิษย์น้องเฉินให้ไปหาเรื่องเขาเพื่อสืบข้อมูลของเขามา เพราะอย่างนั้นข้าเลยรู้ว่าเขาไม่มีผู้เชี่ยวชาญหรือคนสำคัญคอยสนับสนุนอยู่”
เป็นอย่างนี้เอง! ผู้ฝึกตนเดี่ยวคนนั้นคงจะไม่เคยได้ยินว่ายาเพิ่มพลังการก่อเกิดครั้งหนึ่งเคยทำให้เกิดการนองเลือดมาแล้ว เขาอยากจะขายมันเพื่อให้ได้ศิลาวิญญาณมาบางส่วนเพื่อเอาไปซื้อวัตถุดิบเพิ่ม ท้ายที่สุดแล้วเขากลับดึงดูดเคราะห์ร้ายเข้าตัวและต้องเสียชีวิต… จริงสิ! เห็ดหลินจือสีม่วง! ข้าพอจะเดาได้แล้วว่าข้าถูกเจอตัวได้อย่างไร
นางถามว่า “ในเผ่าหูของสำนักเทียนเต้า เจ้าไปถึงที่งานรวมตลาดโดยเร็วและเห็นว่าข้าซื้อเห็ดหลินจือสีม่วงใช่หรือไม่”
เจียงเฉิงเสียนหัวเราะออกมาดังๆ และพูดว่า “เจ้าไม่รู้รึ ข้าไปที่สำนักเทียนเต้าเพื่อจัดการบางเรื่องในเผ่าหู ข้ากลายเป็นเพื่อนกับพวกเขาด้วยซ้ำ ข้าอยู่ข้างในห้องข้างๆ โต๊ะคิดเงินอยู่แล้วตอนที่ได้ยินว่าใครบางคนกำลังซื้อเห็ดหลินจือสีม่วง ด้วยความสงสัย ข้าจึงออกไปดูและก็ต้องประหลาดใจ ข้าเจอเจ้าอีกแล้ว ยิ่งข้าเห็นเจ้ามากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตามากเท่านั้น พอตอนหลัง ในที่สุดข้าก็จำได้ว่าเจ้าเป็นศิษย์สำนักอวิ๋นอู้!”
จะมีอะไรที่โม่เทียนเกอไม่เข้าใจหลังจากได้ยินเรื่องนี้อีกล่ะ นางประเมินอีกฝ่ายต่ำเกินไปจริงๆ!
ขณะที่นางคิดให้รอบคอบ ครั้งเดียวที่นางเห็นเจียงเฉิงเสียนคือเมื่อสามปีที่แล้วตอนที่นางเข้าสำนักอวิ๋นอู้เป็นครั้งแรก แค่เพราะว่านางบังเอิญเจอเขารุมทุบตีเจียงซั่งหัง ทำไมนางถึงไปตัดสินว่าเขาเป็นคนไม่ได้เรื่องได้ราวไปได้ อีกอย่าง ต่อให้เขารุมเจียงซั่งหัง นั่นเป็นการบ่งบอกหรือว่าเขาไม่มีทักษะอะไรเลย เขาเติบโตมาในกลุ่มใหญ่และมีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังเป็นผู้อาวุโสที่มีสายเลือดเดียวกัน ต่อให้นายเจียงเฉิงเสียนคนนี้เดิมจะเคยเป็นคนไม่เอาไหน แต่เขาก็ยังสามารถถูกสอนให้เป็นจอมวางแผนได้!
แต่อย่างไรก็ตาม นางเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้สายเกินไปเสียแล้ว นางรู้ความผิดพลาดที่ตัวเองทำ แต่ความผิดพลาดของนางนั้นไม่สามารถแก้ไขได้
เจียงเฉิงเสียนยังคงอธิบายต่อไป “โชคดีที่ข้าไม่กล้าจะลงมือในเผ่าหูและกลับไปที่หุบเขาแทน แน่นอนว่าเสี่ยวเอ้อยืนยันว่าเจ้าไม่ได้กลับไปที่โรงเตี๊ยมในคืนนั้น ในตอนหลังข้าก็พบใครบางคนที่ดูเหมือนจะจำเจ้าได้…”
พอเขาพูดถึงตรงนี้ เขาก็จงใจหยุดพูด
ทั้งร่างของโม่เทียนเกอเย็นเยียบเป็นน้ำแข็งทันที เทียนเฉี่ยว!
นางกัดฟันแน่นและถามว่า “เจ้า… เจ้าทำอะไรเทียนเฉี่ยว”
“เป็นอะไรไปล่ะ” ขณะนั้นเจียงเฉิงเสียนไม่สามารถอดกลั้นความกร่างของเขาไว้ได้และระเบิดหัวเราะออกมา สายตาเขาเต็มไปด้วยเจตนามุ่งร้ายซึ่งทำให้นางรู้สึกขยะแขยง เขาพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย หากเจ้าใส่เสื้อผ้าผู้หญิง เจ้าต้องเป็นผู้หญิงที่สวยมากแน่ ทำไมเจ้าต้องแต่งตัวเช่นนี้ด้วยเล่า”
เมื่อโดนเปิดโปงความลับของนางอย่างกะทันหัน โม่เทียนเกอกลัวจนตัวแข็งทื่อและไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เป็นเวลานาน นางรู้สึกสิ้นหวัง ยังไม่แน่ชัดว่าเป็นเพราะเทียนเฉี่ยวหรือเป็นเพราะตัวนางเอง
สายตาเจียงเฉิงเสียนเคลื่อนไปทั่วร่างกายนางราวกับเขากำลังคิดว่าจะเริ่มกลืนกินนางจากตรงไหนดี จากนั้นเขาพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าไม่ควรจะเข้าใจพี่สาวคนดีของเจ้าผิดไปนะ นางยอมตายดีกว่าที่จะบอกความลับของเจ้า! เพราะฉะนั้น ข้าเลยฆ่าสามีของนางต่อหน้านางซะและเค้นจิตวิญญาณของนาง ตอนนั้นล่ะที่ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!”
การเค้นจิตวิญญาณ! ดวงตาของโม่เทียนเกอเบิกโพลงเมื่อได้ยินคำเหล่านั้น ภายในมือที่กำหมัดแน่น เล็บของนางแทบจะจิกลงไปในฝ่ามือ
การเค้นจิตวิญญาณ… อาจถือได้ว่าเป็นวิชาที่โหดร้ายที่สุดในโลกแห่งการฝึกตน ผู้คนจะถูกดูดความทรงจำออกจากตัวขณะที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่และจะต้องทนความเจ็บปวดอย่างหนักหนาสาหัสเสียจนพวกเขายอมตายดีกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ อย่างไรก็ตาม วิชานี้จะใช้ได้กับผู้ฝึกตนที่ระดับการฝึกตนอยู่ในดินแดนต่ำกว่าผู้ใช้อย่างน้อยหนึ่งดินแดน เจียงเฉิงเสียนเป็นแค่ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถใช้วิชาเค้นจิตวิญญาณกับเมิ่งซือกุยได้ แต่อย่างไรก็ตาม กับเทียนเฉี่ยวนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย
ผู้ฝึกตนจะลงเอยด้วยการกลายเป็นคนปัญญาอ่อนถ้าวิชาเค้นจิตวิญญาณถูกใช้อย่างเต็มกำลัง ไม่ต้องพูดถึงมนุษย์ธรรมดาเลย! เทียนเฉี่ยว… ตายไปแล้ว ตายเพราะตัวนาง!
โม่เทียนเกอสูดหายใจเข้าลึกๆ และรู้สึกสงบขึ้นมากอย่างไม่น่าเชื่อ นางพูดช้าๆ “คนอื่นไม่รู้ว่าเย่เสี่ยวเทียนคือใคร แต่เจ้าดันเป็นศิษย์สำนักอวิ๋นอู้ เพราะอย่างนั้น เจ้าจึงกลับไปทันที จัดการนัดแนะ รอคอยให้ข้ากลับมาและเดินเข้ามาสู่กับดักของเจ้า”
เจียงเฉิงเสียนพูดพร้อมยิ้มไปด้วย “ถูกต้อง! ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าช่างฉลาดเสียจริง! แต่โชคร้าย บางครั้งคนฉลาดก็ถูกทำลายด้วยความฉลาดของตัวเอง! ถึงแม้ว่าในสายตาเจ้าข้าอาจจะไม่ถือว่าฉลาดนัก แต่พี่สาวของเจ้าคนนั้นก็ให้ข้อมูลข้ามาพอสมควร ข้าแค่ต้องคิดนิดหน่อยและก็เดาได้คร่าวๆ แล้วว่าทำไมเจ้าถึงต้องแต่งตัวเป็นผู้ชาย ร่างกายที่มีพลังแห่งหยินบริสุทธิ์! ฮ่าๆ ในเมื่อสวรรค์ยื่นมือเข้ามาช่วยข้า แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไปได้อย่างไรเล่า!”
ด้วยความสงบนิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ โม่เทียนเกอพูดอย่างแผ่วเบา “งั้นก็หมายความว่าศิษย์พี่เจียงยังไม่ได้บอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้รึ”
เจียงเฉิงเสียนตอบ “แน่นอนสิ ข้าจะแบ่งผลประโยชน์เช่นนี้กับคนอื่นได้อย่างไรกัน”
“ไม่บอกแม้แต่กับบรรพบุรุษของกลุ่มเจียงเลยรึ”
คำถามนี้ทำให้เขาตกตะลึงไปชั่วครู่ เขายังไม่ได้บอกท่านทวดของเขาเพราะเขากลัวว่าท่านทวดจะไม่ให้ผลประโยชน์นี้กับเขา ถ้าเป็นเช่นนั้น—
“อ๊าก!!!”
ในเวลาเสี้ยววินาทีที่เขาเขว โม่เทียนเกอพลิกข้อมือและปล่อยเข็มบินได้หลายเล่มออกไปยังจุดตายของร่างกายเขาในชั่วพริบตา ปฏิกิริยาของเขาช้า เข็มทั้งหลายจึงทิ่มแทงเขาสำเร็จและทำให้เขาล้มลงที่พื้นในทันที
นางถือเครื่องมือวิญญาณไว้ในมือหนึ่งและเครื่องรางอยู่อีกมือหนึ่ง โม่เทียนเกอพูดอย่างเย็นชาว่า “ข้ารู้ว่าในเมื่อเจ้ากล้าที่จะสู้กับข้าคนเดียว เจ้าต้องมีอุบายอื่นซ่อนไว้อีกแน่ อย่างไรก็ตาม ข้าก็ไม่ได้เป็นคนที่เจ้าจะเหยียบย่ำได้ตามอำเภอใจ!”
ความเดือดดาลปรากฏขึ้นในดวงตาของเจียงเฉิงเสียน ชั่วขณะที่โม่เทียนเกอเขวี้ยงเครื่องรางของนาง เขาก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเอกภพของเขา เกราะอันเล็กสว่างจ้าปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาและยับยั้งการจู่โจมที่กำลังเข้ามา
โม่เทียนเกอขว้างกระบี่ป่าขจีไปทันที ส่งให้มันบินเข้าหาตัวเจียงเฉิงเสียน
เจียงเฉิงเสียนกระวนกระวายใจ หลังจากตั้งรับเครื่องรางที่จู่โจมเข้ามาหลายต่อหลายอัน เกราะสว่างจ้าที่อยู่หน้าเขาเริ่มจะสั่นราวกับมันกำลังจะแตกออก ตอนนี้โม่เทียนเกอยังคงโจมตีต่อไป เขาจึงทำได้แค่ถอยร่นไป ก่อนจะคว้าของหลายอย่างออกมาจากกระเป๋าเอกภพของเขา
พอเห็นเครื่องรางปึกหนาที่เขาถืออยู่ในมือ โม่เทียนเกอนิ่วหน้าและถอยไปอย่างเร็ว ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณต้องอาศัยเครื่องรางในการต่อสู้ด้วยพลังเวทมากเกินไป ดังนั้น นางมีปัญหาแน่ถ้านางต่อสู้กับคนที่มาจากกลุ่มผู้ฝึกตนเพราะพวกเขามีเครื่องรางมากมายอย่างแน่นอน การจะเอาชนะเจียงเฉิงเสียนคงง่ายมากถ้าเขาไม่มีเครื่องรางพวกนั้น แต่โชคร้าย เขามีปัญญาใช้เครื่องรางป้องกันตัวระดับสูงเพื่อสกัดการโจมตีทั้งหมดของนางด้วยซ้ำ
โม่เทียนเกอหยิบเอาเครื่องรางของนางออกมาและตัดสินใจสู้เต็มที่ ถึงแม้ว่าระดับเครื่องรางของนางจะไม่สูงเท่าของเจียงเฉิงเสียน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางไม่มีโอกาสจะชนะสักหน่อย
ถึงอย่างนั้นก็ตาม เจียงเฉิงเสียนก็รื้อค้นกระเป๋าเอกภพของเขา เขาคว้าบางอย่างออกมาและเขวี้ยงมันไปหานาง
โม่เทียนเกอหลบเลี่ยงอย่างรวดเร็วในขณะที่เขวี้ยงเครื่องรางทลายพสุธาออกไปเช่นกัน
เจียงเฉิงเสียนแปะเครื่องรางป้องกันอีกอันบนตัวของเขา รอยยิ้มชั่วร้ายที่มีความหมายแฝงอยู่ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากขณะที่เขาจ้องมองไปยังจุดหนึ่งข้างหลังนาง ทันใดนั้น พลังวิญญาณระลอกหนึ่งพุ่งเข้าหานางจากด้านหลัง
โม่เทียนเกอหลบได้และจึงหันกลับไปดูสิ่งที่อยู่ข้างหลังนาง สีหน้าของนางเปลี่ยนไปทันที
มันคืออาวุธวิเศษที่มีรูปร่างเสมือนเชือกซึ่งเอ่อล้นไปด้วยพลังวิญญาณกำลังพุ่งเข้าหานางราวกับมันมีดวงตามองเห็น
ภายใต้การถูกไล่ล่าจากอาวุธวิเศษ โม่เทียนเกอทำได้เพียงแค่วิ่งหนีเท่านั้น นางไม่มีแม้แต่พละกำลังเหลือที่จะโยนเครื่องรางอีก
ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณใช้เครื่องมือวิญญาณ และผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังใช้เครื่องมือวิเศษ ในขณะที่ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังและระดับสูงกว่าใช้อาวุธวิเศษ โดยแรกเริ่มอาวุธวิเศษจะถูกขัดเกลาโดยผู้ฝึกตนในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและดินแดนสูงขึ้นไป แล้วเครื่องมือวิญญาณจะเทียบกับของพวกนั้นได้อย่างไร? ต่อให้ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณสามารถใช้เพียงแค่ส่วนน้อยของพลังอาวุธวิเศษ มันก็ยังไม่ใช่อะไรที่ผู้ฝึกตนธรรมดาทั่วไปจะสามารถรับมือได้
ขณะนี้หัวใจโม่เทียนเกอเต็มไปด้วยความเสียดาย แม้ว่านางจะมีอาวุธวิเศษอยู่ในครอบครอง นั่นคือตะเกียงเสน่ห์ แต่นางก็ไม่ได้มีเวลาที่จะขัดเกลามัน จึงไม่สามารถเอามาใช้ได้
ด้วยความยากลำบาก นางพยายามหลบเครื่องรางอีกอันที่พุ่งเข้ามา แต่การก้าวผิดเพียงครั้งเดียวทำให้การเคลื่อนไหวของนางช้าไปหนึ่งก้าว ในชั่วพริบตา สิ่งที่อยู่ด้านหลังนางก็พุ่งเข้าชนนางอย่างเร็วและมัดตัวนางเอาไว้ได้
ขณะที่พลังวิญญาณในร่างกายนางถูกทำให้หยุดนิ่ง ในที่สุดโม่เทียนเกอจึงล้มลงที่พื้น
เจียงเฉิงเสียนซึ่งเห็นว่านางถูกดักจับไว้อย่างแน่นหนาจึงหยุดโจมตีและเริ่มหัวเราะ เขาพูดว่า “นี่คือเชือกดักมังกรที่ข้าได้มาจากท่านทวด เป็นอย่างไรบ้างล่ะ? เจ้าขยับได้ไหม?”
“เชือกดักมังกร…”
“ใช่ เชือกดักมังกร ต่อให้ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังเจอเข้ากับมัน พวกเขาก็อาจจะถูกดักจับได้ถ้าไม่ระวัง” เจียงเฉิงเสียนพูดอย่างภูมิใจขณะที่เขาก้าวมาข้างหน้า
เมื่อสัมผัสได้ว่าพลังวิญญาณทั้งหมดในร่างกายนางถูกกักกันด้วยเชือกดักมังกรเส้นนี้จนถึงขั้นที่นางไม่มีแรงหลือที่จะขัดขืน โม่เทียนเกอรู้สึกหมดหนทางขึ้นมาในทันใด หลังจากสิบปีแห่งความรอบคอบและระมัดระวัง ความลับของนางกลับถูกเปิดเผยโดยไม่คาดคิดเพียงเพราะชั่วขณะเดียวของความเลินเล่อ ทำให้นางต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย…
หลังจากดึงเข็มบินได้หลายเล่มออกจากตัวเขาอย่างระมัดระวังและจัดการกับบาดแผลของเขา เจียงเฉิงเสียนเดินเข้ามาหานางและดึงกระเป๋าเอกภพของนางไปจากเอว เมื่อเขาเปิดดูและตรวจดูของข้างใน เขาก็พูดด้วยความประหลาดใจ “เจ้ามีของหลายอย่างเลยนี่!”
มีบางอย่างแปลกไปในสายตาที่เขาใช้มองนาง เขายังคงพูดต่อ “น่าเสียดาย… ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นคนแปลกไม่เหมือนใคร แต่เจ้าดันเกิดมาผิดเพศ! ถ้าเจ้าอยากจะโทษใครสักคนล่ะก็ เจ้าควรโทษพระเจ้าซะ!”
ภายใต้สายตาที่จ้องเขม็งของโม่เทียนเกอ เจียงเฉิงเสียนยัดกระเป๋าเอกภพของนางเข้าไปในชุดคลุมของเขาแล้วเข้ามาใกล้นางเพื่อสำรวจใบหน้า เขามองนางอยู่สักพักหนึ่งก่อนจะปล่อยผมของนางและเชยคางขึ้น “ชิ เจ้าดูดีทีเดียวนะ แม้ว่าไม่ถึงกับสวยโดดเด่น แต่เจ้าก็ยังเป็นคนงาม”
โม่เทียนเกอสะบัดหน้าหนีด้วยความรังเกียจ ถ้านางมีโอกาส นางต้องหั่นมือน่าขยะแขยงนั้นออกเป็นชิ้นๆ อย่างแน่นอน
เจียงเฉิงเสียนไม่ได้โกรธ ขณะที่หัวเราะอย่างมีความสุข เขาก็พูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย… อย่าโทษข้าแล้วกันที่ไม่อ่อนโยนเพราะอยากจะทำเรื่องดีๆ กันที่นี่ ข้าไม่อยากรอและต้องมีอะไรผิดแผนไปในขณะที่รอ!”
โม่เทียนขยับหัวออกห่างเขาและรอยยิ้มเยาะปรากฏขึ้น นางรู้ว่าเจียงเฉิงเสียนอยากจะทำอะไรกับนาง แต่นางไม่ได้โง่ขนาดที่คิดว่าการร้องขอความเมตตาจะมีประโยชน์อะไร ถ้านางสามารถรอดชีวิตไปได้ สักวันหนึ่งนางจะต้องแก้แค้นเขาให้หนักกว่าสิ่งที่นางต้องทนทุกข์ในตอนนี้อีกสิบเท่า
เจียงเฉิงเสียนที่ยิ่งมีความสุขยิ่งขึ้นเมื่อเห็นรูปลักษณ์ปัจจุบันของนางกล่าวว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ที่จริงแล้วหน้าตาของเจ้าดูดีกว่าพวกสาวงามสมองทึบพวกนั้นตั้งเยอะ ข้าไม่เคยคาดคิดเลยว่าหญิงงามตัวแสบจะมีรสชาติที่พิเศษเช่นกัน!”
นางไม่อยากจะตอบเขาและอยากแกล้งทำเป็นว่านางไม่ได้รู้สึกอะไร… แต่เมื่อมือที่น่ารังเกียจคู่นั้นเริ่มที่จะเคลื่อนไปทั่วร่างกายของนาง ในที่สุดนางก็ลืมตาขึ้นและพูดอย่างโกรธแค้นว่า “ไปตายซะ!”
แต่กระนั้น เจียงเฉิงเสียนกลับหัวเราะด้วยท่าทางร่าเริงสุดขีด “เวลาแห่งการไขปริศนามาถึงแล้ว ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าใส่อะไรเนี่ย ทำไมมันแข็งนัก ข้าไม่รู้สึกอะไรเลย”
“อ้อ… เสื้อผ้าที่เจ้าใส่ช่างหนาเสียจริง! แต่ไม่เป็นไรหรอก หากเป็นเรื่องอย่างการเปลื้องผ้าหญิงงามแล้วละก็ ข้ายินดีที่จะทำ!”
โม่เทียนเกอกัดปากของนางแรงมากเสียจนเลือดเริ่มไหลขณะที่นางอดทนกับมือคู่นั้นที่ลูบคลำไปทั่วทั้งร่างของนาง นางบอกกับตัวเองซ้ำๆ ว่านางต้องอดทน ถึงแม้นางจะอยากตาย แต่นางจะไม่ฆ่าตัวตายเพราะเรื่องนี้แน่ นางต้องมีชีวิตอยู่… อยู่จนถึงวันที่นางสามารถหั่นผู้ชายคนนี้ออกเป็นชิ้นๆ ให้ได้!
อย่างไรก็ตาม การต้องอดทนผ่านตอนนี้ไปก็ทำให้หางตานางชุ่มไปด้วยน้ำตา